หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้ - ตอนที่ 9 TW โดย yuki yuki @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,ชาย-ชาย,4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ

รายละเอียด

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้ โดย yuki yuki @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา

ผู้แต่ง

yuki yuki

เรื่องย่อ

สารบัญ

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-Trigger warning โปรดอ่านก่อน,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่1 [TW],เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่2 [TW],เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่3 [TW],เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 4 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 5 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 6 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 7 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 8 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 9 TW

เนื้อหา

ตอนที่ 9 TW

หลายชั่วยามต่อมา ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แสงสว่างเรือนราง คืนเดือนดับ.. ไร้แสงจันทราส่องสว่าง มีเพียงแสงจากตะเกียงภายในจวนลอดผ่านเข้ามาจากภายนอก 

“อ๊ะ ท่านพี่เยว่ขอรับ.. ปล่อย..น้องนะ..” เด็กหนุ่มร่างบางสะอื้นเสียงแหบแห้ง

สวบ!

หลันฮวาถูกจับพลิกคว่ำลงกับพื้นไม้เยียบเย็น สะโพกถูกจับมือใหญ่จับยกขึ้น ตำแหน่งสูงขึ้นพอดีกับแก่นกายใหญ่หนา มือแกร่งจับยึดเอวบางแน่น ดวงตาคมกริบจ้องช่องทางบวมแดงด้วยแววตาครุกกรุ่นด้วยโทสะ ก่อนกระแทกเข้าภายในอย่างไม่ปราณี จิ้งจอกหิมะตัวน้อยตัวสั่นเทาด้วยความทรมาน สองเข่ากระแทกเสียดสีกับพื้นไม้เย็นเฉียบ

นับเป็นคราแรกที่หลันฮวาถูกคนบนเรือนร่างจับกดลงบนพื้น เพียงเพราะตัวเขาทั้งทรมานและหวาดกลัวจนพยายามดิ้นหนีจากด้านบนเตียงไม้ เมื่อโดนคว้าเอวไว้ได้ทันจึงถูกบุรุษร่างสูงพลิกคว่ำลงอย่างเช่นคราวนี้

หลันฮวาถูกเยว่เทียนรังแกยาวนาน หยาดน้ำสีขาวขุ่นถูกปล่อยเต็มรูจนไหลพรากลงตามขาอ่อน เสียงของเนื้อและน้ำเฉอะแฉะชวนให้ใบหน้าร้อนผ่าว

ใบหน้างดงามทั้งทรมานและมึนงง สำหรับหลันฮวานั้น.. เยว่เทียนเปรียบเหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง อีกฝ่ายดูแลเขาอย่างดี ทว่าวันนี้ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจราวกับคนละคน เด็กนหนุ่มนึกอยากเอ่ยถามเหลือเกิน.. ตลอดเวลาที่ผ่านมา.. คนคนนี้เสแกสร้งต่อเขาตลอดงั้นหรือ? หรืออย่างไรกันแน่.. ทว่ากลับหวาดกลัวคำตอบเหลือเกิน

ใครจะกล้าถามกันเล่า..

เยว่เทียนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของคนใต้ร่าง คิ้วเรียงยาวขยับเข้าหากกันนึกสงสัยว่าเหตุใดคนงามจึงได้เงียบลงไร้เสียงวิงวอน พลันเกิดความห่วงใยกลัวเด็กน้อยจักเป็นอะไร มือหนาจับเอวบอบบางก่อนพลิกร่างให้หลันฮวานอนหงายได้อย่างง่ายดาย 

“อย่ากัดปาก” เยว่เทียนเอ่ยเสียงดุ เมื่อเห็นจิ้งจอกหิมะในอ้อมแขนกัดริมฝีปากจนขึ้นสีแดงช้ำ ปากแตกจนโลหิตไหลซึม 

เห็นดังนั้นในใจพลันเจ็บปวดขึ้นมา เยว่เทียนก้มลงมอง ฝ่ามือจับประคองใบหน้าหยกงามหวังจะจูบเพื่อปลอบประโลมเล็กน้อยตามความเคยชิน ทว่าหลันฮวากลับหันหน้าหนีทันทีที่เห็นเขาก้มหน้าลง ทำให้เยว่เทียนค้างเติ่งบนอากาศ

“หลันฮวา” น้ำเสียงทุ้มกดต่ำกว่าปกติ 

ความห่วงใยถูกโทสะครอบงำเมื่อเห็นเด็กน้อยปฏิเสธตนเอง เมื่อนึกถึงอาจารย์ของตนที่ก้มลงจูบได้โดยคนใต้ร่างไม่ขัดขืนยิ่งทำให้เขากำมือที่จับเอวบางไว้แน่น

เจ้าของชื่อเองก็รู้สึกขนลุกชันทั่วทั้งตัว เมื่อสัมผัสได้ว่าตนทำให้อีกฝ่ายโหโมเข้าเสียแล้ว.. เขา.. ตัวเขามิได้อยากปฏิเสธเสียหน่อย ที่เผลอหลบสัมผัสเมื่อครู่เพียงเพราะความกลัวและความสับสนเท่านั้น..

แต่ยามนี้ต่อให้พูดอย่างไร ท่านพี่เยว่คงไม่ฟังเขาแล้ว

.

.

“ผ่านมาหนึ่งคืนแล้ว เยว่เทียนยังไม่ออกจากห้องอีกรึ” มู่เซียวกล่าวขณะยืนพิงขอบประตูและสูบยาไปพลาง คิ้วเรียงเลิกขึ้น

“คงเก็บกดเพียงเพราะฝ่าฝืนพันธสัญญามิได้กระมัง” 

ส่วนอีกสาเหตุ.. คงเพราะอยากใช้กลิ่นตนเองกลบกลิ่นคนอื่นแบบไม่ลืมหูลืมตานั่นแหละ ดูท่าว่าเจ้าเยว่เทียนนั่นคงโมโหมากเหลือทน เฟยหรงนึกไปจึงส่ายหน้า

อย่างไรก็ผ่านมานานจริงตามที่ศิษย์ผู้นี้ว่า ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังกรอบประตูห้องที่ปิดสนิท ภายนอกห้องไม่ได้ยินเสียงจากด้านใน ทว่าสาเหตุที่บุรุษสองคนยืนรอตรงนี้ครึ่งค่อนคืนเพียงเพราะคนในห้องยังไม่ออกมา

ทางออกมีเพียงทางเดียวคือประตูไม้หนาที่มู่เซียวยืนพิงอยู่

“ว่าแต่เจ้าเคยเจอจิ้งจอกน้อยมาก่อนใช่หรือไม่?” มู่เซียวหันมาเอ่ยถาม

“เป็นเช่นนั้น” เฟยหรงเอ่ยเสียงทุ้ม เนื่องจากมิใช่ความลับสำคัญอันใด ไม่ได้ลำบากใจที่จะตอบเสียหน่อย

ไม่รู้เป็นเพราะมู่เซียวเบื่อหน่ายหรือนึกสนใจเด็กน้อยคนงามผู้นั้นกันแน่ ปากของอีกฝ่ายคล้ายไม่มีหูรูด มักเอ่ยถามเฟยหรงมิหยุด กลายเป็นว่าตัวเขาจำต้องเล่าตั้งแต่สมัยก่อนที่จะรับมู่เซียวกับเยว่เทียนเป็นลูกศิษย์

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า ตัวเขาเคยเจอหลันฮวามาก่อน ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปเป็นบุตรบุญธรรมตระกูลเสวี่ยเสียอีกกระมัง 

ในอดีต เขาออกคำสั่งให้เยว่เทียนฆ่าล้างตระกูลตนเองแล้วยึดตำแหน่งผู้นำเผ่าจิ้งจอกปีศาจไว้ในกำมือ แต่เยว่เทียนเหมือนไม่พอใจกับคำสั่งนั้นนัก เพื่อมิให้ผิดแผนเฟยหลงจึงตามอีกฝ่ายไปดูให้เห็นกับตา 

ยามนั้นเฟยหรงแอบอยู่บนหลังคา ดวงตาเรียวยาวจับจ้องสถานการณ์ในเผ่า ทว่าในตอนที่สอดส่องกลับบังเอิญเหลือบเห็นผู้นำตระกูลเสวี่ยยืนพูดคุยกับบุตรบุญธรรมอยู่ไม่ไกล เด็กน้อยผู้นั้นดูแล้วตัวน้อยนัก ซ้ำผิวยังขาวสะอดสะอ้าน หากเทียบกับมนุษย์ก็ดูจะไม่เกินสิบห้าปี

บิดานั้นย่อมต้องรักบุตรเป็นธรรมดา ทว่าหากสังเกตสายตาและการกระทำของผู้นำตระกูลแล้วนั้น.. กลับเกินคำว่าบิดาไปเสียหน่อย บิดาใช้มือโอบไหล่ มิหนำซ้ำยังใช้มือลูบวนตามลาดไหล่บาง บิดาใช้หัวแม่มือลูบริมฝีปากบางน่าสัมผัสของเด็กน้อย รวมถึงคำพูดจาไม่น่ารื่นรมย์อย่างการบังคับให้เด็กน้อยตรงหน้าร่วมนอนเสพสังวาสกับตนคืนนี้ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องปกติที่บิดาและบุตรชายจะนอนด้วยกันเป็นบ้างครั้ง.. เช่นนี้นับว่าเป็นบิดา?

บิดาเดรัจฉานล่ะสิไม่ว่า

ทว่าไม่ทันได้สังเกตเรื่องราวของบิดากับบุตรบุญธรรมต่อ เสียงทุ้มต่ำของศิษย์กลับดังขึ้น

“ข้าจะเริ่ม.. จบทุกอย่างแล้ว” 

เยว่เทียนเริ่มฆ่าล้างตระกูลตนเองแล้ว

ในทีแรกเฟยหรงคิดว่าลูกศิษย์ของเขาจักฆ่าทุกคนตรงหน้าเสียอีก ทว่าอีกฝ่ายกลับละเว้นหนึ่งชีวิต 

จิ้งจอกเก้าหางตัวน้อย เส้นผมสีขาวยาวนุ่มนั่นชวนให้คนนึกอยากลูบ

หลังจากฆ่าล้างตระกูลสำเร็จ อำนาจทั้งหมดถูกเยว่เทียนกุมบังเหียนของตระกูลเอาไว้ 

เยว่เทียนในยามนั้นได้ขอให้เฟยหรงลบความทรงจำและตัดหางจิ้งจอกตัวน้อยไปเจ็ดหาง หลังจากนั้นเยว่เทียนจึงตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นด้วยความรักใคร่ระคนเอ็นดู

หลันฮวา..

“อย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าไป เผ่าจิ้งจอกนั้นหางคือพลัง ซึ่งการตัดหางส่งผลให้อาหลันร่ายกายอ่อนแอฉับพลัน” เพราะเหตุนั้นเยว่เทียนจึงไว้ใจเฟยหรง เพราะมีเพียงผู้เดียวที่สามารถรักษาหลันฮวา นั่นก็คือตัวเขา 

“อะไรกัน ที่แท้จิ้งจอกน้อยนั่นเป็นจิ้งจอกเก้าหางหรอกหรือ เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดามารดาของจิ้งจอกน้อยเป็นผู้ใด?”

เฟยหรงเลิกคิ้ว กาแสดงแออกบนใบหน้าไม่แปรเปลี่ยนทว่าแววตากลับประหลาดชอบกล 

“บิดาของจิ้งจอกน้อยนั้นข้าไม่รู้ แต่กับมารดาน่ะหรือ.. ข้ารู้จักดีเชียว”

มู่เซียวยืนพิงขอบประตู คิ้วเรียงยาวเลิกขึ้น แม้การแสดงออกยังคงเดิม หากแต่น้ำเสียงนั้นกลับกดต่ำลง บรรยากาศพลันเริ่มอึดอัดขึ้นมา จิตสังหารแผ่ซ่านจากกายของเฟยหรง ดวงตไร้ความอ่อนโยนอย่างที่ผู้คนมักกล่าวถึง

 ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ จักมีผู้ใดรู้ว่าเซียนอันดับหนึ่งที่ผู้คนต่างนับถือนั้นจอมปลอมถึงเพียงใด คำยกยอ คำเชยชมมากมายกลบความบิดเบี้ยวของตัวเขาเอาไว้ มันผู้ใดที่ล่วงรู้ความลับ นอกเสียจากคนที่ตัวเขาไว้วางใจ.. ไม่มีผู้ใดรอดพ้นไปได้

ปล่อยให้ความลับรั่วไหลมิได้หรอก

‘ผู้เป็นมารดาของจิ้งจอกน้อยก็คงไม่ธรรมดา เพราะแค่เอ่ยถึง.. เจ้าเซียนกำมะลอนี่ก็ออกอาการขนาดนี้ หากให้เดาคงฆ่าไปแล้วกระมัง’ มู่เซียวนึกแต่ไม่เอ่ยออกมา

เฟยหรงนึกถึงสตรีผู้นั้นทีไรก็พาอารมณ์เสียทุกที เขากระแอมไอก่อนเปลี่ยนเรื่องถามไถ่

“ว่าแต่.. เจ้าเอาแต่เรียกหลันฮวาว่าจิ้งจอกน้อย ไม่รู้หรือว่าเจ้าอายุมากกว่าเสี่ยวหลันไม่ถึงห้าสิบปีเลยด้วยซ้ำ”

“เอ๊ะ?”

มู่เซียวเบิตาโพลง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายมีร่องรอยแห่งความประหลาดใจ

“ตัวเล็กถึงเพียงนั้นน่ะหรือ?”

ผู้เป็นอาจารย์ยกน้ำชาขึ้นดื่มอย่างสง่างาม ไม่สนใจศิษย์เอกที่หลังรู้ความจริงก็บ่นพึมพำกับตนเองไม่หยุด เดิมทีเจ้าคนนี้ก็พูดมากเป็นทนเดิม ไม่นับว่าน่าแปลกใจ

แต่มู่เซียวกลับยังคงสับสน เด็กตัวแค่นั้นน่ะหรือจะรุ่นราวคราวเดียวกับตนได้? สำหรับมนุษย์เพียงแค่ห้าสิบปีอาจจะดูห่างหลายช่วงอายุ แต่มิใช่กับเผ่าปีศาจที่มีอายุไขนับพันปี

“เดี๋ยวก่อน ตอนพวกเรารังแกจิ้งจอกน้อย ข้าเห็นพันธสัญญาอันที่สองของเจ้า มิใช่ว่าแอบซุกซ่อนศิษย์เพื่อเอามาฆ่าพวกข้าหรอกกระมัง?”

เฟยหรงยังไม่ทันได้ตอบ ประตูไม้ที่มู่เซียวเพิ่งผละออกพลันแง้มออกเชื่องช้า

มือน้อย ๆ จับบานประตูไว้ ร่างของหลันฮวาปกคลุมด้วยอาภรณ์บางที่ใช้มือกุมไว้ช่วงอก 

อาภรณ์ตัวนี้สั้นนัก คลุมได้ถึงเพียงสะโพกเท่านั้น เผยให้เห็นเรือนกายขาวผ่อง ร่องรอยกัด ดูด หรือแม้แต่หยาดน้ำขาวขุ่นที่ผสมเลือดที่ไหลตามขาเรียวบาง เสื้อหล่นจากไหล่ข้างหนึ่ง ไหปลาร้าเต็มไปด้วยรอยแดงก่ำจนน่าสงสาร

เฟยหรงสังเกตุสีหน้าคนงามที่ดูอ่อนล้า ที่สำคัญดูเหมือนจะเริ่มมีอาการป่วยไข้ร่วม

แขนแกร่งของมู่เซียวโอบรัดเอวบอบบางเอาไว้เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยกำลังจะเผ่นออกจากห้องทั้งทีร่างกายอ่อนแอเพียงนี้ หากปล่อยให้ออกไปแล้วล้มหน้าคะมำ.. ใบหน้างดงามนี้คงเสียหายพอดีสิ

ใบหน้าหยกงามจมแผงอกแกร่ง มู่เซียวพลันนึกลกได้ว่าตนเองถือยาสูบเอาไว้ จึงรีบโยนเจ้าสิ่งนั้นลงสระบัวหน้าจวน พยายามใช้มือสะบัดกลุ่มควันรอบด้านให้จางลง

ร่างบางในอ้อมกอดมู่เซียวดิ้นต่อต้าน ทว่าเพราะร่างกายอ่อนแรงนัก ดิ้นได้ไม่ทันไรก็เหนื่อยหอบแล้ว ลำพังแค่หนีจากเยว่เทียนก็แทบไม่เหลือแรงให้หนีจากใครได้อีก สองขาสั่นแทบยืนไม่อยู่ ยังดีที่มีมู่เซียวคอยประคองเอวไว้

“ข้าไม่เคยสอนเจ้าให้วิ่งหนีข้าออกไปเช่นนี้.. หลันฮวา ”

เยว่เทียนเอ่ยเสียงเยียบเย็นในขณะที่เดินออกมาจากห้อง เขายังคงสวมใส่กางเกงสีเข้ม ท่อนบนมีเพียงเอาภรณ์ตัวสั้นปกคลุมบางส่วน เผยให้เห็นมัดกล้ามแน่นเกร็งและตราพันธสัญญา

หลันฮวาได้ยินเสียงเยว่เทียนพลันสะดุ้ง มือรีบเกาะชายเสื้อของบุรุษที่โอบเอวตัวเองไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว ร่างกายเล็กสั่นเทาจนน่าสงสาร หางนุ่มฟูทั้งสองเกี่ยวพันร่างหนาคล้ายกับกลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง

“เจ้าอย่าดุนักเลย จิ้งจอกน้อยก็ตัวแค่นี้”

“ท่านพี่มู่..ช่วยด้วย ฮือ น้องกลัว..”

มู่เซียวได้ยินเสียงหวานร้องไห้พร้อมเอ่ยอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเขา เห็นดังนั้นยิ่งนึกสนุกทำมองไปยังใบหน้าบึ้งตึงของศิษย์น้องตนเอง ได้เห็นเยว่เทียนอารมณ์เสียเช่นนี้.. ลำพังแค่วิ่งหนีก็แย่แล้ว นี่ยังวิ่งมาหาคนที่เกลียดอีกนี่สิ เจ้าเยว่เทียนคงโมโหจนนึกอยากฆ่าคนเลยกระมัง?

เฟยหรงมองบุรุษสามคนตรงหน้าสลับไหมา

เมื่อสัมผัสได้ว่าหากเขาไม่เข้าไปห้ามไว้ จวนของเขาคงพังไม่เหลือชิ้นดี 

ร่างสูงโปร่งขยับเดินเข้าไปร่วมวงสนทนา ทว่าก็อดเอ่ยกับเยว่เทียนมิได้ “เจ้าคงไม่คาดคิดว่าเสี่ยวหลันจะกลัวเจ้า จนกระทั่งยอมไปขอความช่วยเหลือกับผู้อื่นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”

หลันฮวานิ่งเงียบ ก้มหน้าลงไม่สบตาเย่เทียน มือกำอาภรณ์สีแดงเข้มไว้แน่น สองหูยังคอยฟังบทสนทนา ทว่าความกลัวและความเหนื่อยล้าจากร่างกายที่ถูกรังแกจากทุกคน ทำให้เขาไม่รู้ว่าบุรุษเหล่านี้กำลังพูดอันใดกัน

ปวดหัวจัง.. จิ้งจอกน้อยครวญเสียงแผ่ว

“แล้วจะทำอย่างไรกับจิ้งจอกน้อย ล่ามโซ่เช่นเดิมรึ?”

หากเป็นเช่นนั้นหลันฮวาคงคลายความกังวลใจได้บ้าง ตัวเขาถูกเยว่เทียนล่ามโซ่ไว้ตลอด ไม่นับว่าน่ากลัวอันใด.. จิ้งจอกน้อยชินชาไปแล้ว

เฟยหรงนิ่งเงียบพลางทำสีหน้าครุ่นคิดชั่วครู่

“ครั้งนี้ถ้าอยากให้เด็กน้อยหวาดกลัวและจดจำไว้ล่ะก็.. เยว่เทียน เจ้าก็หักข้อเท้าเสี่ยวหลันเสียสิ”

สิ้นสุดคำสั่ง หลันฮวาจากที่สีหน้าย่ำแย่แล้ว ตอนนี้กลับแย่ลงกว่าเดิม ร่างบางสั่นระริกใบหน้าซีดเผือด เมื่อหันไปมองผู้พูด อีกฝ่ายกับแสดงสีหน้าเรียบเฉยอย่างกับที่พูดมาคือเรื่องปกติ

“ข้าไม่เห็นด้วย”มู่เซียวกล่าวเสียงแข็ง

หลันฮวาเบิกตาโพลง ดวงตาคู่สวยเงยหนึ้นมองมู่เซียว ทั้งตกใจและดีใจที่บุรุษข้างกายยังปกป้องเขาบ้าง แต่เมื่อมองไปยังเยว่เทียนที่ควรจะเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ

เยว่เทียนจ้องมองมายังร่างกายที่สั่นระริก ในที่สุดจึงเอ่ยออกมา

“ข้าเห็นด้วย”

หัวใจของหลันฮวาคล้ายถูกของหนักกระแทกจนเริ่มแตกสลาย ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ

ทั้ง.. ทั้งที่ท่านพี่เยว่อ่อนโยนกับเขามาตลอด..

เฟยหรงพยักหน้ารับ “สองต่อหนึ่ง ฝั่งข้าชนะ เช่นนั้นก็จับตัวเสี่ยวหลันไว้”

จิ้งจอกน้อยส่ายหน้า น้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดกลัว

มู่เซียวไม่พอใจกับคำสั่งก็จริง ทว่าจะขัดขืนพันธสัญญาก็มิได้ เขานั่งลงกับพื้นเย็น ดึงร่างบางมานั่งบนตักแกร่ง ใช้มือขวาจับรวบข้อมือเล็กเอาไว้ แขนแกร่งโอบเอวคนบนตักป้องกันการหลบหนี

เยว่เทียนขมวดคิ้วยุ่ง นึกหึงหวงที่มู่เซียวใกล้ชิดกับหลันฮวามากเกินไป 

เหตุใดหลันฮวาของเขาต้องนั่งตักเจ้าคนนี้ด้วย?

แต่เพราะอยากรีบพาคนตัวเล็กกลับเข้าห้อง จึงได้แต่กัดฟันกรอด ร่างสูงขยับไปนั่งคุกเข่าลง ยกข้อเท้าเรียวบางที่น่าทะนุถนอมขึ้นมาตั้งท่าเตรียมจะทำลาย

“ทะ..ท่านพี่เยว่ อย่า..อ๊ะ!!”

เสียงหวานขาดหายก่อนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เสียงบางสิ่งหักดังเข้ามาในหูทว่าตัวเขาหาได้สนใจเสียงนั้นไม่ หลันฮวากำมือแน่น ข้อเท้าบอบบางเจ็บปวดจนร่างสั่นระริก เสียงของกระดูกเมื่อครู่ยังดังกังวานอยู่ในหู

“เจ็บ! ฮือ มันเจ็บ..” หยาดน้ำตาไหลรินเป็นสาย สองมือบางเอื้อมไปกอบกุมข้อเท้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถึงกับผิดรูป แต่จากผิวที่ขาวเรียบเนียนแทนที่ด้วยสีม่วงช้ำดูน่ากลัวแถมยังขยับไม่ได้อย่างที่ใจนึก

เยว่เทียนไม่สนใจความทรมานของหลันฮวา เขายกเท้าข้างที่ยังไม่ถูกหักขึ้นมากอบกุมไว้อย่างทะนุถนอม ทว่าแววตากลับแสนน่าหวาดกลัว ต่อให้คนโง่เง่าเพียงใดก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเยว่เทียนคิดจักทำอันใด

ร่างบางทั้งกลัวทั้งสับสน ดวงตาเริ่มพร่าเบลอจากม่านน้ำตาที่เอ่อคลอ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าใช่บุรุษที่ตนรู้จักหรือไม่ แต่ว่า.. 

มือเรียวเล็กยื่นมือเอื้อมไปจับชายเสื้อเยว่เทียนอย่างหวาดกลัว เอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา

“ท่านพี่เยว่ถือว่าน้องขอ จะไม่วิ่งหนีแล้ว”

หากปล่อยให้ท่านพี่เยว่หักข้อเท้าเขาต่อไป ตัวเขาคงตายเพราะความทรมานเป็นแน่..

หลันฮวาเห็นเยว่เทียนยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ยิ่งใจเสีย ดวงตาคู่สวยปิดลงด้วยความกลัว คิดว่าตนคงไม่รอด ต้องกลายเป็นคนเดินไม่ได้ไปแล้ว..

“ทำเพียงเท่านี้เด็กน้อยก็จำแล้วกระมัง”

เฟยหรงกล่าวเสียงเรียบ ในคราแรกตัวเขาเองต้องการให้เยว่เทียนหักเพียงข้างเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ตั้งท่าจะหักอีกข้าง จึงคิดจะเอ่ยห้ามเสียหน่อย ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าสิ้นหวัง พร้อมพูดขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเทาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเยว่เทียนเพียงแค่ข่มขู่ให้กลัวจนไม่กล้าขัดขืน

“ใช่ ข้าหวังว่าเขาจะจดจำได้”

มือหนาปล่อยข้อเท้าบางให้เป็นอิสระ จิ้งจอกตัวน้อยลืมตาขึ้น หยาดน้ำตาแห้งเหือดเต็มหนา ขอบตาแดงก่ำ มือกอบกุมข้อเท้าข้างที่ถูกหักเอาไว้

เยว่เทียนลูบเส้นผมนุ่ม ก่อนอุ้มหลันฮวากลับเข้าห้องเดิม ครั้งนี้เด็กน้อยไม่ปฏิเสธแล้วจึงพึงพอใจไม่น้อย

มู่เซียวเหลือบมองตามหลังก่อนหันหลังกลับ สองขาก้าวจะเดินออกจากห้อง แต่เฟยหรงกลับเอ่ยพูดขึ้นก่อน

“ข้านึกแปลกใจที่เจ้าคัดค้านนะ” เฟยหรงเอ่ยถึงเรื่องที่ให้หักขาเด็กน้อยนั่นเอง

ภายนอกมู่เซียวที่ดูเหมือนบุรุษรักสนุก ที่ผ่านมาก็เป็นคนที่ทำให้หลันฮวาหวาดกลัวไม่ต่างจากเฟยหรงเลย มิหนำซ้ำยังมากกว่าเสียอีก ตัวเขาเลยนึกแปลกใจไม่น้อย 

มู่เซียวนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกำลังคิดถึงบางอย่าง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม ใบหน้าเรียบเฉยจริงจัง

“ก็แค่..มันทำให้นึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนนั้น เลยอดไม่ได้ที่จะห้าม.. แค่นั้นเอง”