หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
ดราม่า,ชาย-ชาย,4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
จวนของเซียนอันดับหนึ่งอย่าง หยางเฟยหรง หาใช่สถานที่ที่ใครจะย่างกรายเข้าไปได้ง่าย ว่ากันว่าภายในจวนเต็มไปด้วยของล้ำค่าและสมุนไพรหายาก หากผู้ใดเผลอพลาดเพียงนิด อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น สมุนไพรบางชนิดยังเป็นพิษร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิตได้ในพริบตา
แม้คำลือเหล่านั้นจะเป็นความจริง ทว่ามันกลับไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ซุกซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ สิ่งที่ทำให้จวนต้องถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนา มาจากความลับบางอย่างที่แม้แต่ศิษย์เอกทั้งสองของเขายังมิอาจล่วงรู้
เช้านี้ควรจะเป็นช่วงเวลาสงบ เหมาะแก่การปรุงโอสถของเฟยหรงเช่นทุกครั้ง ทว่ากลับต้องชะงักกลางคัน เพราะศิษย์ผู้ไม่ได้ความ ดันสร้างเรื่องให้เขาเสียก่อน
“กว่าเจ้าจะหยุด คงเป็นตอนที่หลันฮวาสลบไปรอบที่สี่แล้วกระมัง” เสียงเปรยดังขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย
น้ำเสียงของเฟยหรงนุ่มนวล สีหน้าแลดูอ่อนโยนไม่ต่างจากเดิม แต่ท่าทีเช่นนี้ ไม่สามารถใช้กับมู่เซียวได้ ในเมื่อทั้งสองรู้ไส้รู้พุงกันมานานเกินกว่าจะตบตาแค่เพราะรอยยิ้มบนหน้า รวมถึงเยว่เทียนด้วยเช่นกัน
“จิ้งจอกน้อย ชื่อหลันฮวานี่เอง” มังกรหนุ่มพึมพำในลำคอ
ขณะนี้ร่างสูงเจ้าของจวนกำลังเตรียมจะป้อนยาให้หลันฮวาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ฝ่ามือหนาโอบแผ่นหลังอย่างเบามือ จัดท่าให้เหมาะกับการป้อนโอสถ ก่อนจะนำถ้วยยามาแนบริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา แต่แม้จะพยายามระมัดระวังเพียงใด โอสถส่วนใหญ่กลับแทบไม่ได้เข้าปากของหลันฮวาเลยแม้แต่น้อย
มู่เซียวนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ไม้ เรียวนิ้วถือมีดตัดเล็บ ค่อยๆ ปรับความยาวให้สั้นเสมอกันโดยไม่เร่งรีบ สายตาเหลือบมองการกระทำของเฟยหรง ก่อนอ้าปากคิดจะเอ่ยบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายกลับยกถ้วยโอสถขึ้นแนบริมฝีปากแล้วดื่ม พร้อมโน้มตัวลงแนบริมฝีปากกับคนที่ยังสลบไสลอยู่ในอ้อมแขน ครั้นป้อนของเหลวในปากจนหมดก็คว้าเอาผ้าขาวมาเช็ดคราบยาที่หลงเหลือ
ในยามนี้ หลันฮวานอนหลับไร้สติอยู่บนที่นอน มีเพียงอาภรณ์บางคลุมกายไว้หลวมๆ เพื่อให้สะดวกแก่การเช็ดตัว ผิวขาวซีดใต้เงาผ้าเผยร่องรอยสีแดงจัดประปราย ทั้งรอยฟันและรอยนิ้ว บริเวณช่องทางด้านหลังบวมช้ำจนชวนให้สงสาร
“ระหว่างที่เจ้าลอบพาหลันฮวาออกจากเรือน ได้มียันต์ทำงานใช่หรือไม่”
“ใช่ เจ้ารู้ได้อย่างไร? ” มู่เซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
เฟยหรงเพียงปรายตามองศิษย์ของตน รอยยิ้มปรากฎบนมุมปาก ยากจะคาดเดาได้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจ
“เช่นนั้น .. อีกไม่นานเยว่เทียนคงตามมาถึงที่นี่”
คำตอบนั้นหาได้ตรงประเด็นไม่ มู่เซียวจึงถอนหายใจ พลางขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมานั่งตรงขอบเตียง ใกล้เรือนร่างงามของจิ้งจอกน้อยที่ยังคงหลับใหล สายตาไล่มองไปยังผิวพรรณที่ปรากฏร่องรอยเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกอยากครอบครองขึ้นมาอีก แม้เพิ่งจะย่ำยีความบริสุทธิ์ไปไม่ทันพ้นวันก็ตาม
“คิดแล้วก็น่าเสียดาย” มังกรเพลิงกล่าวขณะจับปลายผมของหลันฮวาเล่นอย่างเหม่อลอย เฟยหรงไม่ได้หันมามอง เพียงใช้หูเในการรับฟังเท่านั้น
“ข้าว่า ข้าคงเจอจิ้งจอกน้อยช้าไป หรือจะลองแย่งจากเยว่เทียนเสียเลยดี? ”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าของจวนนึกอยากเมินคำพูดของศิษย์ผู้นี้ แต่ในที่สุด เขาก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หลันฮวาอ่อนแอตั้งแต่ได้เจอกับเยว่เทียน หากถูกแยกจากกันอย่างกะทันหัน ใจของเด็กคนนี้อาจรับไม่ไหว หากยิ่งต้องไปอยู่กับเจ้าเพียงลำพัง ข้าก็ไม่แน่ใจว่าอาการจะดีขึ้นหรือแย่ลง”
มู่เซียวชะงักไปชั่วครู่หลังฟังจบ ในใจพลันเกิดความแคลงใจ เพราะมังกรหนุ่มเคยคิดมาตลอดว่าจิ้งจอกน้อยผู้นี้อ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด
“แต่จะว่าไป ข้าเพิ่งเคยเห็นจิ้งจอกสองหาง มิใช่ว่าต่ำสุดคือสามหางหรอกรึ”
“จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีบันทึกการเกิดของจิ้งจอกสองหาง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ครั้งนี้เฟยหรงหันใบหน้ามาทางคู่สนทนา ดวงตาเปล่งประกายพลางยกยิ้มบางที่แฝงเล่ห์นัย ใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าในเผ่าจิ้งจอกปีศาจนั้น หาง คือเครื่องหมายของพลัง
และเพียงเท่านั้น มู่เซียวก็เข้าใจทุกอย่างได้ในบัดดล ทั้งสาเหตุที่หลันฮวาอ่อนแอหลังได้พบกับเยว่เทียน
ทั้งเหตุที่เจ้าจิ้งจอกน้อยผู้นี้มีเพียงแค่สองหางเท่านั้น
“ข้าพอจะรู้แล้ว” เขาเอ่ยเรียบๆ
“อื้อ..”
บทสนทนาเงียบลงในทันใด เมื่อร่างบางที่นอนแน่นิ่งส่งเสียงครางแผ่วผ่านลำคอ คล้ายคนที่เริ่มได้สติ ก่อนเปลือกตาสีอ่อนจะถูกเปิดขึ้น เผยดวงตาพร่าเบลอที่ยังไม่ชินกับแสง
พอเหลือบเห็นว่าในห้องไม่ได้มีเพียงตน ทุกสติสัมปชัญญะก็กลับคืนมาอย่างน่าประหลาด เมื่อพบสายตาทั้งสองคู่ที่จ้องมองมา ร่างที่ดูไร้เรี่ยวแรงเมื่อครู่กลับยันตัวลุกขึ้น พาตัวเองหนีไถลไปซุกอยู่ตรงมุมเตียงได้อย่างรวดเร็ว ใบหูจิ้งจอกแนบพับกับศีรษะ หางทั้งสองหอบรัดรอบกายแน่น กริยาเช่นนั้นส่งผลให้จิ้งจอกขี้กลัวดูน่ารังแกยิ่งขึ้นไปอีก
“เด็กดี ใจเย็นก่อนเถิด” เฟยหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ราบเรียบประหนึ่งเซียนผู้เปี่ยมเมตตา วาจานั้นหากเป็นคนทั่วไปฟัง ย่อมรู้สึกสงบลงในพริบตา แต่กับมู่เซียวแล้ว กลับทำให้เขาอดกลอกตาขึ้นฟ้าไม่ได้
ด้วยความที่ขนาดตั่งนอนนั้นมิได้กว้างนัก เพียงแค่เฟยหรงเอื้อมมือออกไป ก็สามารถแตะถึงร่างบางที่กำลังหอบหายใจอยู่ตรงมุมเตียงได้ ทว่าเพราะความตื่นกลัวจับใจ หลันฮวาเผลอขบเขี้ยวลงบนฝ่ามือที่เอื้อมมาโดยไม่ทันคิด ฟันคมฝังลงบนผิวอย่างแรง เสียงขบกัดนั้นดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบในห้อง
มู่เซียวเผลอแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ อดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาว่า นานแค่ไหนแล้วนะ ที่มีใครสามารถสร้างรอยขีดข่วนบนร่างกายของเฟยหรงได้
เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างคาดหวังว่าจะเห็นอารมณ์ใดแวบผ่าน แต่เฟยหรงกลับยังคงยิ้มบาง สีหน้าไม่เปลี่ยนจากเดิม เลยคิดว่าคงไม่ใส่ใจกับการกระทำของจิ้งจอกน้อยนัก ทว่ามังกรเพลิงกลับคิดผิด
เพียะ
ใบหน้าหลันฮวาหันตามแรงฝ่ามือเฟยหรงทันทีที่ถูกตบ รอยช้ำปรากฏขึ้นบนแก้มนวล เลือดออกทั้งทางจมูกและปากจนเปรอะเปื้อนชุดเป็นวงขนาดเล็ก แม้จะมิได้รุนแรงไปกว่าการกระทำของสตรี แต่ด้วยความอ่อนแอทางด้านร่างกาย การกระทำเมื่อครู่จึงหนักเกินกว่าจิ้งจอกขาวจะรับไหว
หลันฮวายกมือแตะข้างแก้มที่ถูกตบ พยายามข่มเสียงสะอื้นมิให้เล็ดลอด ทว่าความเจ็บปวดกลับไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ไม่นานหยดใสก็ร่วงลงบนใบหน้าขาวซีด
เฟยหรงอุ้มหลันฮวาขึ้นมานั่งบนตักอย่างแนบแน่น ในสภาพที่เพิ่งถูกลงโทษ ร่างเล็กไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะขัดขืน มีเพียงเลือดและน้ำตาที่ไหลซึมเปื้อนสองข้างแก้ม หลอมรวมกันเป็นรอยด่างเปื้อนบนหน้าตักของเซียนผู้ไร้ปรานีอย่างเงียบงัน
มู่เซียวคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่าย มือเรียวหยิบผ้าเช็ดสิ่งที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าหยกงามอย่างเบามือ
ปัดปอยผมออกจากหน้าผาก ลูบแก้มที่แดงช้ำซึ่งถูกอาจารย์ของตนกระทำ
“เจ้าไม่พอใจที่ข้าทำใช่หรือไม่”
“ใช่ หากมิใช่เพราะพันธสัญญา ข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้ว” เสียงของมู่เซียวกดต่ำ เย็นเฉียบ
“อวดดี”
หลันฮวาแทบไม่ได้รับรู้บทสนทนาระหว่างบุรุษทั้งสอง เพราะในเวลานี้ ฝ่ามือของคนที่เขานั่งตักอยู่ กำลังไล้ลูบไปตามเรือนร่างอย่างเชื่องช้า นิ้วร้อนลากผ่านแนวสันหลัง ไล่ขึ้นจนถึงไหล่ แล้วค่อยเคลื่อนกลับลงมาเหมือนกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง
ความรู้สึกวาบวาบชวนให้ร่างเล็กสะดุ้งเกร็งตัวอย่างห้ามไม่ได้ ทว่าคนด้านหลังดูเหมือนจะรู้ดีเสียยิ่งกว่าใครจึงจงใจแกล้งโน้มใบหน้าลงมาขบปลายหูจิ้งจอกอย่างหยอกเย้า
ร่างกายของหลันฮวาชาวาบราวกับกระแสไฟช็อตจากสัมผัสนั้น สติที่พยายามรวบรวมกระเจิดกระเจิงทันทีเมื่อฝ่ามือหนาของเฟยหรงไล้ลงผ่านอก เลื่อนต่ำจนถึงหน้าท้องแบนราบใต้สะดือ ก่อนปลายนิ้วจะหยุดนิ่งส่วนกลางกาย
ความรู้สึกเก่าแล่นกลับเข้ามาในใจของหลันฮวาอย่างห้ามไม่อยู่ สัมผัสนี้คือฝ่ามือเดียวกันกับที่เคยทำร้ายเขาอย่างโหดร้าย ความอบอุ่นจากผิวกายกลับกลายเป็นความหนาวเย็นที่ชอนไช ดวงตาสีฟ้าน้ำงามสั่นระริก เปี่ยมไปด้วยความหวาดวิตกที่ยังมิอาจหลุดพ้น
“ลึกได้แค่ไหนกัน” เฟยหรงถาม
“ทำบ่อยๆ น่าจะใส่ได้สุดกระมัง”
ทะ ที่ผ่านมายังไม่สุดอีกหรือ! — หลันฮวากู่ร้องในใจคล้ายไม่อยากเชื่อ
น้ำตาที่เหมือนจะเหือดแห้งไปแล้ว กลับค่อยๆ ซึมขึ้นมาใหม่ตามขอบดวงตาสีฟ้าอ่อน และเพราะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หลันฮวาเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด มาครั้งนี้จึงรู้สึกแสบตาขึ้นอย่างรุนแรง นิ้วเรียวเผลอยกขึ้นขยี้ตา
เฟยหรงที่เห็นกริยานั้นก็พอจะเดาได้ในทันที เขายื่นมือออกไปรวดเร็ว คว้าข้อมือบางไว้แน่นเพราะหากปล่อยให้อีกฝ่ายขยี้ต่อ อาการคงแย่ยิ่งกว่าเดิม
แต่เพราะการเข้าถึงตัวที่รวดเร็วจนเกินไป หลันฮวาที่กำลังอ่อนไหวก็สะดุ้งสุดตัว ก้มหน้าลงทันที ซุกใบหน้ากับอก ปิดเปลือกตาแน่น ราวกับเชื่อฝังใจว่าหากไม่มอง ไม่รับรู้ เรื่องพวกนี้มันก็จะผ่านไปเอง
“ดูท่าจิ้งจอกน้อยจะกลัวเจ้าแล้วนะ”
มู่เซียวแสยะยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเอ่ยด้วยความสะใจ เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าใครต่างก็พยายามเข้าหาเซียนผู้นั้นด้วยความเคารพเลื่อมใส
ใครใช้ให้เจ้าเซียนนี่แสดงละครเก่งนักเล่า
ท่าทางอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับไม่มีพิษภัย ทว่าครั้งนี้กลับเผลอลงไม้ลงมือจนอีกฝ่ายตื่นกลัวไปทั้งร่าง แทนที่จะได้ความไว้ใจ กลับได้ความหวาดกลัวตอบแทนกลับมาแทน
เฟยหรงเองก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าตัวเองในใจ ที่เผลอใช้ความรุนแรงโดยไม่ไตร่ตรอ เพียงแค่มองสีหน้าหวาดหวั่นของหลันฮวาก็รู้แล้วว่า เจ้าตัวเล็กนั้นไว้ใจผู้อื่นได้ยากเพียงใด หากเป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนที่แอบเข้าไปรังแกคนงามถึงในเรือนของเยว่เทียน เขาจะสู้อุตส่าห์ปกปิดใบหน้าไปทำไม
เสียงถอนหายใจของเฟยหรงดังแผ่ว และแม้จะเบานัก แต่คนที่อยู่ในอ้อมแขนก็ยังได้ยิน หลันฮวากลั้นหายใจเล็กน้อย รู้สึกสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้ง ใจน้อยๆ หวาดหวั่นว่าตนไปล่วงเกินสิ่งใดเข้าโดยไม่รู้ตัว
ท่าทางนั้นแลดูน่าเอ็นดูนักในสายตามู่เซียว เพียงแค่เจ้าเซียนกำมะลอนั่นถอนหายใจ จิ้งจอกน้อยก็ถึงกับสั่นเทาเสียแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นหูจิ้งจอกตั้งชันขึ้น ก็คงเป็นตอนที่แอบลอบเข้าไปในห้อง แล้วลักพาตัวออกมากระมัง
“จิ้งจอกน้อย ตั้งหูของเจ้าทีสิ”
เสียงพูดกลั้วหัวเราะของมู่เซียวเจือแววหยอกเย้า ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ร่างน้อยในอ้อมแขนเฟยหรงตัวแข็งขึ้นทันตา จิ้งจอกคนงามทำตัวไม่ถูก มิใช่ว่าไม่ยอมทำตาม หากแต่ทำไม่ได้ต่างหาก
“เด็กคนนี้ควบคุมหูมิค่อยได้ แต่พอควบคุมหางได้เล็กน้อย” เฟยหรงพูดอธิบายให้มู่เซียวเข้าใจง่าย
หนึ่งคือหลันฮวาสูญเสียการควบคุมร่างกายบางส่วน อย่างที่เห็นบ่อยๆ ก็คือน้ำตา แม้เจ้าตัวจะไม่อยากร้องไห้ แต่ถูกกระตุ้นเล็กน้อยก็ไหลแล้ว นั่นรวมถึงการควบคุมหูกับหางด้วย
โดยทั่วไปแล้ว เผ่าครึ่งสัตว์จะสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์เต็มตัวได้ในบางเงื่อนไข เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ก็สามารถเก็บลักษณะภายนอก ไม่ว่าจะหู หาง หรือเกล็ด ให้กลืนกับมนุษย์ได้เช่นกัน หากเป็นเผ่าผสมอย่างเงือกหรืออสรพิษ ก็อาจเปลี่ยนหางให้กลายเป็นขาอย่างแนบเนียน
มู่เซียวเองในเวลานี้ก็เก็บเขากับหางมังกรของตนไว้เรียบร้อย ไม่มีอะไรแปลกปลอมให้เห็น แม้แต่นิดเดียว เขาเหลือบตามองจิ้งจอกน้อยที่ตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนอาจารย์ ปลายหูยังแนบลงกับศีรษะแน่นสนิท หางฟูสองหางก็กอดรัดตัวเองแน่นราวกับกลัวทุกสิ่งรอบกาย
“เช่นนั้นหากข้าต้องการเห็นหูจิ้งจอกน้อยตั้งปกติ ก็ต้องไม่ทำให้กลัวหรือตกใจสินะ”
“ใช่ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลัง”
“อ๊ะ!”
เสียงหลุดร้องแผ่วเบาดังขึ้นจากลำคอของหลันฮวา ดวงตาสีฟ้าสดเบิกกว้าง รูม่านตาหดแคบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อฝ่ามือของเฟยหรงเลื่อนไปแตะขาอ่อนแล้วค่อยๆ ยกขึ้นสูงจนปลายเข่าแทบชิดอก ท่วงท่าที่ถูกจับตรึงไว้อย่างแนบแน่น ส่งผลให้ชายเสื้อบางที่ปิดบังส่วนล่างเปิดอ้าออกอย่างช่วยไม่ได้
มู่เซียวที่ยังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า พลันเห็นจุดสงวนที่ไม่ควรเปิดเผยอย่างถนัดตา ร่างบางสั่นเครือ ความอับอายตีขึ้นสู่ใบหน้า แก้มขาวซีดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจนถึงใบหู สุดท้ายหลันฮวาก็ยกหางจิ้งจอกนุ่มฟูทั้งสองขึ้นพาดไขว้บังตรงนั้นของตนไว้ ราวกับเป็นสัญชาตญาณสุดท้ายที่ยังพอหลบเร้นความละอายได้
“เด็กดี อย่าให้ข้าต้องถึงขั้นตัดหางที่เหลือของเจ้าเลย”
คนตัวเล็กได้ยินก็เกิดความลังเล ท้ายสุดก็ยอมทำตามคำสั่งเพราะกลัวว่าจะถูกลงโทษแบบนั้นอีก
เฟยหรงพยักหน้าคล้ายสั่งให้มู่เซียวเริ่มลงมือได้ ทางด้านมังกรหนุ่มก็ไม่รอช้า เขารอโอกาสนี้มานานแล้ว ใบหน้าคมก้มต่ำเคลื่อนเข้าใกล้ช่องทางรัก ค่อยๆ เลียปากทางเข้าเพื่อกระตุ้นให้คนงามมีอารมณ์ร่วม
เซียนอันดับหนึ่งก็มิได้นั่งเฉย ๅปล่อยให้มู่เซียวจับขาเรียวบางยกไว้เอง ส่วนตนก็คอยใช้มือปรนเปรอร่างเล็กโดยการบีบนวดแผ่นอกอย่างรักใคร่ ครั้นเห็นรอยกัดที่ศิษย์เอกทำไว้ก็รู้สึกขัดใจ จึงก้มลงไปกัดหลังคอระหง ฝ่ามือที่บีบนวดแปรเปลี่ยนมาขยี้ยอดอกแทน
“อ๊ะ! หยุดนะขอรับ”
เฟยหรงแอบทึ่งที่ในยามนี้คนตัวเล็กยังคงพูดวาจาสุภาพ ไม่นึกเวลาว่าคนนิสัยป่าเถื่อนหน้ามิรับแขกอย่างเยว่เทียนจะสอนมารยาทคนอื่นเป็น
หลันฮวาดิ้นตามสัญชาตญาณ ใจจริงอยากจะถดถอยจากการถูกรุกล้ำช่องทางรัก ทว่าทำมิได้เพราะตัวติดกับคนด้านหลังแบบไม่มีช่องว่าง อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างดันก้นอยู่ด้วย ทางเดียวที่พอทำได้คือใช้มือดันศีรษะคนด้างล่างออก ถึงกระนั้นก็ยังคงถูกลิ้นชื้นรุกล้ำเข้ามามากกว่าเดิม
“เสี่ยวหลัน ข้ามีข้อเสนอให้เจ้าด้วยนะ” เฟยหรงกล่าวกับหลันฮวาก็จริง
แต่คำพูดนั้นก็ทำให้มู่เซียวนึกสงสัยจนอดเงยหน้าเพื่อมองผู้พูดมิได้ ทางด้านหลันฮวาก็หันหน้ามาเล็กน้อย แม้จะงงกับคำเรียกแปลกๆ แต่ก็พอเข้าใจได้บ้างว่าเสี่ยวหลันคงหมายถึงเขา
“ข้าจะพากลับจวนของเจ้า”
เพียงแค่ได้ยินเท่านั้น หูจิ้งจอกที่ลู่แนบศีรษะมาเนิ่นนานก็ผงกตั้งขึ้นในฉับพลัน แววตาสีฟ้าสดที่เคยหลบหลีกการจ้องตากลับเงยขึ้นมองเฟยหรงทันที คล้ายอยากเอ่ยถามว่าที่พูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่
“แต่เจ้าต้องทำให้พวกข้าปลดปล่อยให้ได้เสียก่อน”
แต่คำพูดถัดมาของเซียนอันดับหนึ่งกลับพรากแสงทั้งหมดไปในพริบตา ใบหน้าหยกงามซีดเผือกลงราวกับเลือดถูกรีดไหลจากผิว หูขาวลู่กลับแนบศีรษะอย่างเดิม เหมือนกับว่าความหวังนั้นไม่เคยมีอยู่เลยแต่แรก
มู่เซียวหัวเราะในลำคอ “ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าต้องมาไม้นี้”
แน่นอน เฟยหรงมิได้คิดรอคำตอบของหลันฮวาแต่แรก เขาควักแก่นกายออกมา ขนาดของมันก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ นอกจากสีที่สว่างกว่า มู่เซียวให้ความร่วมมืออย่างดีโดยการจับขาตรึงไว้มิให้จิ้งจอกน้อยดิ้นหนี
เซียนหนุ่มใช้มือจับสิ่งนั้นขึ้นจ่อปากทางเข้า อีกข้างก็ใช้นิ้วมือแหวกรูออก หลันฮวารู้ชะตากรรมตนเอง
“น้องรับไม่ไหวขอรับ อ๊ะ—”
เสียงหวานขาดห้วงด้วยเสียงลามกจากการสอดใส่ เมื่อส่วนหัวหยักเคลื่อนผ่านเข้ามา ร่างบางเกร็งตัวจากความเจ็บปวด ส่งผลให้แก่นกายเฟยหรงคล้ายถูกบีบรัดไม่น้อย
“ฮึก ไม่..นะ มันเจ็บ ท่านพี่เยว่ช่วยน้องด้วย”
“หยุดเรียกเจ้านั่นเดี๋ยวนี้”
มู่เซียวออกคำสั่ง ใบหน้าหล่อเหลาข่มอารมณ์ไว้ แต่แววตานั้นฉายความโกรธเกรี้ยวชัดเจน
หลันฮวาตัวสั่นสะท้าน ยิ่งถูกห้ามเสียงดัง ก็ยิ่งปล่อยโฮหนักเข้าไปอีก น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย ขณะที่ปากเล็กยังคงพร่ำเรียกชื่อเยว่เทียน กับเฟยหรงยังพอเก็บความหงุดหงิดได้บ้าง แต่มิใช่กับมู่เซียวที่เห็นจิ้งจอกเก้าหางตนนั้นเป็นศัตรูมากกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง
“ทะ ท่านพี่มู่จะทำอะไรน้อง เดี๋ยวก่อน—!”
สวบ
ครั้งนี้เสียงฉีกขาดและกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกัน เฟยหรงเองก็ไม่คิดว่ามู่เซียวจะใส่ของตัวเองเข้ามารวดเดียว ซึ่งเพราะเหตุนั้นแก่นกายของเขาที่ใส่ไว้แค่ส่วนหัวทีแรกจึงถูกดันเข้าไปลึกพอๆ กัน
จิ้งจอกคนงามแทบไม่กล้าขยับตัว เนื่องจากบาดเจ็บช่วงล่าง กลิ่นเลือดคละคลุ้งขึ้นเตะปลายจมูกอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเรียกว่าความเมตตาได้หรือไม่ เพราะมู่เซียวยังคงให้เวลาเขาได้ปรับตัวสักพัก
“อ้าปาก” มังกรหนุ่มออกคำสั่งอีกครั้ง แน่นอนว่าครั้งนี้หลันฮวาทำตามอย่างว่าง่าย
จิ้งจอกน้อยและมังกรเพลิงประกบจูบแลกลิ้นกันไม่หยุด ทำให้เฟยหรงเรียกร้องความสนใจจากหลันฮวาโดยการเลียปลายหูเบาๆ มือหนึ่งลูบไล้แผ่นอกสลับกับเขี่ยตุ่มไตสีหวาน ส่วนอีกข้างที่เว้นว่างจับคลึงแท่งหยกสีอ่อนรูดขึ้นรูดลงเป็นจังหวะ ครั้นสัมผัสได้ว่าแท่งเนื้อนุ่มกระตุกตัวจึงใช้หัวแม่มือปิดรูไว้ ป้องกันมิให้ปลดปล่อยของเหลวออกมาแม้แต่หยดเดียว
คนงามที่ยังคงถูกมู่เซียวมอบจูบให้ไม่หยุดเริ่มส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ริมฝีปากของมู่เซียวบดเบียดอยู่กับของอีกฝ่ายอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะถอนออกช้าๆ แล้วก้มลงกัดเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างของหลันฮวา
“ฮือ อย่าทำเช่นนี้..” คนตัวเล็กขอร้องอ้อนวอน เมื่อเฟยหรงยังคงปิดรูไม่ให้เขาปลดปล่อยความสุขสม
“เด็กดี เจ้าต้องทำให้พวกข้าปลดปล่อยมิใช่รึ ไยเจ้าจึงจะสุขสมเสียเองเล่า”
“จิ้งจอกน้อยคงปรับตัวได้แล้ว เช่นนั้นมาเริ่มกันเลยเถอะ”
หลันฮวาหน้าถอดสีในพริบตา ดวงตาสีฟ้าสดเต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ อยากจะตะโกนออกไป เรียกชื่อท่านพี่เยว่ให้มาปรากฏตัวตรงนี้ มาช่วยเขาเสียเดี๋ยวนี้
แต่เสียงในลำคอกลับติดตื้น สิ่งที่คนตัวเล็กกลัวมากกว่าทุกอย่างคือบทลงโทษ หลันฮวาทำได้เพียงกลั้นลมหายใจ กัดฟันอดทน ยอมให้ร่างกายนี้เป็นที่รองรับอารมณ์ของทั้งสอง แม้หัวใจจะร่ำร้องว่าไม่ไหว
ที่ท่านพี่เยว่บอกเตือนตลอดนั้นเป็นความจริง
คนข้างนอกน่ากลัว มีเพียงท่านพี่เยว่เท่านั้นที่ปลอดภัยกับน้อง