พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมอุปสรรคที่ใหญ่ยิ่ง จะเป็นยังไงกันนะถ้าเด็กมัธยมคนหนึ่ง ต้องแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า แค่คิดก็หนักแล้วใช่ไหมล่ะนั่นแหละสิ่งที่นายเอกของเราต้องเจอ

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart - บทที่ 2 โรงเรียนแห่งการทดสอบ โดย K-star44 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไทย,จีน,ยุคปัจจุบัน,แอคชั่น,แฟนตาซี ,boylove/yaoi,boylove ,boylove,วาย,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไทย,จีน,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,แฟนตาซี ,boylove/yaoi,boylove ,boylove,วาย,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี

รายละเอียด

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart  โดย K-star44 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมอุปสรรคที่ใหญ่ยิ่ง จะเป็นยังไงกันนะถ้าเด็กมัธยมคนหนึ่ง ต้องแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า แค่คิดก็หนักแล้วใช่ไหมล่ะนั่นแหละสิ่งที่นายเอกของเราต้องเจอ

ผู้แต่ง

K-star44

เรื่องย่อ

เมื่อจิตวิญญาณได้หายไปเขาจึงต้องเดินทางตามหาและที่เดียวที่จิตวิญญาณแห่งเทพจะไปได้ไม่ใช่ที่ไหน


.

.


แดนเทพ

แน่นอนว่าต้องมีทางขึ้นไป แต่ โรงเรียนแห่งเทพเป็นสถานที่เดียวที่จะทำให้เขาขึ้นไปตามหาจิตวิญญาณเทพคุ้มครองเขาคืน

.

.

.

โรงเรียนแห่งเทพ

.

.

และได้เจอกับ หมิง ในช่วงแรกไม่ลงรอยกันเลยแต่ด้วยตีกันแบบไหนไม่รู้ทั้งสองกลับสนิทกันแบบงงๆ

.

.

จากนั้นเขาก็ได้เพื่อนเพิ่มอีกสามคนในการจับกลุ่มทำภารกิจ วิคเตอร์ จิน และ พีท หรือพีทซ์แบล็ค เป็นฉายา

ทั้ง 5 มีเป้าหมายเดียวกันคือการขึ้นแดนเทพแต่มีเงื่อนไขอยู่ว่าทั้งกลุ่มต้องเป็น 5 คนที่มีคะแนนเยอะที่สุดในโรงเรียนให้ได้ และก็ทำได้จริงๆทั้งห้าได้ขึ้นแดนเทพต่างคนต่างแยกไปทำในสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่หมิง เขาเลือกที่จะตามหลินไป ระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคมากมาย

เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ติดตามในนิยายจ้า


สารบัญ

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart -บทนำ จุดเริ่มต้น,เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart -บทที่ 1 เทพคุ้มครอง,เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart -บทที่ 2 โรงเรียนแห่งการทดสอบ

เนื้อหา

บทที่ 2 โรงเรียนแห่งการทดสอบ

หลินกลับถึงบ้านก็ไม่รอช้า สองขาเรียวก้าวฉับ ๆ ขึ้นบันไดไม้เก่าเสียงแผ่ว ก่อนจะตรงเข้าห้องของตนทันที เขาไม่เสียเวลาแม้แต่น้อยมือขาวหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่สีเม็ดมะขามคู่ใจออกมา แล้วเริ่มจัดเก็บข้าวของจำเป็นลงไปอย่างรวดเร็วขณะที่กำลังหันซ้ายหันขวาหาสิ่งที่ยังขาด สายตาก็พลันสะดุดเข้ากับกรอบรูปขนาด เอห้า ที่วางอยู่บนหัวเตียง ภาพครอบครัวที่ยิ้มแย้มพร้อมหน้าทำให้หัวใจเขาหายใจติดขัดไปชั่วขณะมือขาวซีดราวกับปั้นจากหิมะเอื้อมไปหยิบกรอบรูปใบนั้น แล้วใส่มันลงไปในกระเป๋าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

เขารู้ดีเวลานี้ไม่อาจรอช้าได้ และสิ่งที่กำลังจะเผชิญอยู่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ ความกังวลเริ่มซึมลึกเข้าสู่ใจทีละน้อย ความไม่รู้ทำให้เขาหวั่นไหว ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร อะไรที่กำลังรอเขาอยู่ และเขาจะสามารถรับมือกับมันได้จริงหรือ แต่ไม่ว่าจะมีคำถามมากมายเพียงใด... เขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะถอยหลัง ความกลัวไม่ใช่เหตุผลที่จะหยุด ความลังเลไม่มีที่ทางให้ซ่อนตัว สิ่งเดียวที่ทำได้คือ "เดินหน้า" ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วเมื่อเก็บของเสร็จ หลินสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าทั้งสอง มือกระชับสายกระเป๋าแน่นราวกับต้องการยึดมั่นในบางสิ่ง ก่อนจะเดินลงบันไดไปชั้นล่างเพื่อกล่าวคำลาพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย

"หลิน" เสียงเรียกชื่อเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนทั้งสองที่โอบกอดเขาไว้แน่น ผู้เป็นพ่อแม่กอดลูกชายด้วยความห่วงใยและความลำบากใจที่สุดในชีวิต ไม่มีใครอยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่ควรต้องแบกภาระใหญ่หลวงขนาดนี้ไว้บนบ่า

แต่พวกเขาก็รู้ดี... นี่คือทางเดียว ทางเดียวที่จะช่วยโลกใบนี้ไว้ได้ความกลัว ความไม่แน่ใจ และความเจ็บปวดในใจของหลิน แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยสักนิด แต่พ่อแม่ก็สัมผัสได้ชัดเจนไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมา แต่ความรู้สึก...กลับถูกถ่ายทอดถึงกันอย่างเงียบงันและในความเงียบนั้น มีเพียงอ้อมกอดแน่นที่พูดแทนทุกสิ่ง ทั้งคำลา คำขอโทษ และความรักที่ไม่อาจวัดได้ด้วยถ้อยคำ   

"ผมไปนะครับ... รักษาตัวด้วย" เสียงของหลินเบาราวสายลม แต่หนักแน่นพอจะสั่นสะเทือนหัวใจของผู้ฟัง มือขาวโอบกอดคนทั้งสองไว้แน่น ราวกับไม่อยากปล่อย ดวงตากลมโตสีฟ้าใสราวท้องฟ้ายามไร้เมฆบดบังค่อย ๆ ปิดลง ชั่วขณะนั้นเขาซึมซับความรู้สึกอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้ให้ได้มากที่สุด เท่าที่หัวใจหนึ่งดวงจะจดจำได้เพราะเขาเองก็ไม่รู้... ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกหรือไม่ จะได้ยืนอยู่ตรงนี้อีกครั้งหรือเปล่า เขาไม่อาจแน่ใจได้เลยสิ่งที่เขากำลังแบกไว้บนบ่านี้ หนักหนาเกินกว่าจะบรรยาย หากพลาดเพียงนิดไม่ใช่แค่ชีวิตของเขาเท่านั้นที่ตกอยู่ในอันตราย... แต่โลกทั้งใบก็อาจสูญสิ้นดังนั้นแม้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เขาก็อยากเก็บรักษาไว้ในหัวใจให้นานที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้

"เช่นกัน นี้แผนที่นะหลินลูกต้องกลับมาให้นะ" เสียงของผู้เป็นพ่อเอ่ยเบา ๆ ขณะยื่นแผ่นแผนที่ที่พับไว้อย่างเรียบร้อยให้กับเขา มือที่ยื่นให้นั้นสั่นไหวเล็กน้อย แต่มั่นคงพอที่จะส่งต่อภารกิจอันหนักอึ้งนี้ให้กับลูกชายเพียงคนเดียว ในดวงตาของทั้งพ่อและแม่ยังคงเต็มไปด้วยความห่วงใยและความเจ็บปวดที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ก็ปิดไม่มิด พวกเขาไม่อยากให้ลูกต้องจากไป ไม่อยากให้เขาแบกภาระที่หนักหนาเช่นนี้เลยแม้แต่น้อยทว่าพวกเขาก็รู้ดีนี่คือหนทางเดียว หนทางที่ไม่มีใครสามารถเดินแทนเขาได้และสิ่งเดียวที่พ่อแม่ทำได้ในตอนนี้...คือมอบทุกความหวังและความศรัทธาทั้งหมดที่มีไว้ในมือของลูกชายคนนี้

    "จะพยายามครับ" หลินรับแผนที่จากมือของผู้เป็นพ่อด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันหลังเดินออกจากบ้านหลังนั้นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำเมื่อก้าวพ้นประตูออกมา เขาก็หันกลับไปมองอีกครั้ง แววตาไหววูบ สะท้อนอารมณ์ที่ตีรวนอยู่ภายในทั้งความห่วงหา ความผูกพัน และความอาลัยอาวรณ์ที่ยากจะกล่าวออกมาเป็นคำ 

แม้อยากยืนอยู่นานกว่านี้ แต่มือแห่งเวลาไม่มีวันหยุดรอสุดท้าย... เขาก็จำใจต้องหันหลังให้ แล้วเดินจากมา ความรู้สึกวูบโหวงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในใจของเขาเป็นครั้งแรก มันว่างเปล่าราวกับถูกช่วงหนึ่งของหัวใจดึงออกไป เขาไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร ไม่รู้จะปลอบตัวเองด้วยวิธีไหน ทำได้เพียงแค่ยอมให้มันอยู่กับเขา... คงอยู่แบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะจางหายไปเองก่อนจะก้าวเท้าไปต่อ หลินก้มลงหยิบสเก็ตบอร์ดคู่ใจที่วางพิงอยู่หน้าประตูบ้านขึ้นมาถือไว้แน่นมันคือสิ่งสุดท้าย... ที่ยังเชื่อมโยงเขากับชีวิตวัยเยาว์ที่กำลังจะจากไป

หลินเดินทางตามแผนที่ อย่างไม่หยุดพัก โดยมีเพียงสเก็ตบอร์ดคู่ใจเป็นพาหนะหนึ่งเดียวที่พาเขาเคลื่อนผ่านเส้นทางอันยาวไกล เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว... เขาเองก็ไม่แน่ใจวันแล้ววันเล่า สองเท้ายังคงยืนหยัดอยู่บนแผ่นไม้ล้อเล็ก เขาลัดเลาะไปตามทางผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มที่ไหวเอนตามแรงลม ผ่านผืนป่าทึบที่แสงแดดแทบไม่ส่องทะลุ ผ่านทะเลสาบเงียบสงบซึ่งสะท้อนภาพฟ้าใส และแม้แต่ภูเขาหลายต่อหลายลูกที่สูงชันราวกับท้าทายใจของผู้กล้าแต่หลินก็ไม่หยุด เขายังคงมุ่งหน้าไปข้างหน้าแม้ฝุ่นจะจับตามขอบรองเท้า แม้กล้ามเนื้อจะเหนื่อยล้า และแม้ใจจะเริ่มหวั่นไหวในบางคราว

 จนกระทั่งในรุ่งเช้าวันหนึ่ง สายลมเย็นยามเช้าก็พัดเบา ๆ คล้ายเป็นสัญญาณบอกว่าการเดินทางใกล้สิ้นสุดและนั่นเอง...ภาพเบื้องหน้าที่เขาได้เห็น ทำให้ฝีเท้าหยุดชะงักลงโดยไม่รู้ตัว

โรงเรียนเทพ...

สิ่งปลายทางที่เคยมีเพียงในเรื่องเล่า บัดนี้ปรากฏตรงหน้าอย่างยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ พื้นที่ของโรงเรียนกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ตึกเรียนสูงเฉียดฟ้าตั้งตระหง่านถึงห้าถึงหกหลัง แต่ละตึกดูโอ่อ่า ราวกับสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเทพเจ้า

ประตูโขงด้านหน้าโรงเรียนคือสิ่งที่สะดุดตาที่สุด ประตูเหล็กขนาดมหึมา สีดำสนิทจนแทบไม่สะท้อนแสง แต่กลับเปล่งประกายเงาวาวเบาบางให้รู้สึกถึงความเคร่งขรึมและลึกลับอย่างไม่อาจละสายตาได้สีดำของมันราวกับเงามืดที่ปกปิดความลับบางอย่างไว้ หรือไม่ก็อาจเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างาม และอำนาจที่ไม่อาจทัดเทียม บนบานประตูนั้นประดับด้วยรวดลายสีทองระยิบระยับ แผ่พลังเวทบางเบาออกมาอย่างต่อเนื่องเหมือนเป็นเครื่องคัดกรองผู้มาเยือน เฉพาะผู้มีพลังพิเศษเท่านั้นที่จะก้าวผ่านมันเข้าไปได้

ยิ่งมอง... ยิ่งให้ความรู้สึกทั้งน่าเกรงขาม และน่าเคารพในคราวเดียวกันข้างประตูนั้น มีชายวัยกลางคนยืนอยู่เงียบ ๆ เขาสวมเสื้อคลุมสีเข้มคลุ่มยาวถึงข้อเท้า แม้ตอนนี้มันจะถูกปล่อยให้ทอดลงด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ เสื้อเชิ้ตสีงาช้างด้านในเรียบเนี๊ยบรับกับกางเกงสแล็คสีดำสนิท รองเท้าหนังสีน้ำตาลเปลือกไม้สนขัดเงาเรียบทุกอย่างดูประณีตจนบ่งบอกชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาเขายืนอย่างมั่นคง เงียบขรึม ราวกับเป็นผู้พิทักษ์ประตู หรืออาจมากกว่านั้น...

"สวัสดีครับ... ถ้าจะเข้าเรียนที่นี่ ต้องทำยังไงครับ?" เสียงของหลินแผ่วเบา น้ำเสียงโมโนโทนเรียบเฉยที่เข้ากับใบหน้าของเขาอย่างลงตัว ดวงตาสีฟ้าใสแจ๋วราวกับท้องฟ้าในวันที่ไร้เมฆ บวกกับผมสีขาวราวหิมะปกคลุม ทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูเย็นชาของเขากลับกลายเป็นความนุ่มนวลและน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อแม้จะมีความเคร่งขรึมแฝงอยู่ในสายตา แต่กลับชวนให้ผู้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะเอ็นดู และรู้สึกอยากยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างง่ายดาย

    "จะมีบททดสอบในการเข้าเรียนน่ะ หากผ่านไปได้ก็จะได้เข้าเรียนที่นี้และจะได้รับกุญแจหอพักนั้นเป็นการยืนยันว่าผ่านการทดสอบ" ผู้คุมประตูโรงเรียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงด้วยอำนาจบางอย่างในน้ำเสียงนั้น ดวงตาสีหม่นใต้หมวกปีกกว้างจ้องมองพวกเขาราวกับมองทะลุความลังเลในใจ เขายกมือชี้ไปยังกล่องไม้เก่าที่ตั้งอยู่บนแท่นหินข้างประตู บนฝาปิดของกล่องมีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนอักขระโบราณล้อมรอบด้วยเส้นสายรูปปีกนกและเปลวเพลิงส่องแสงแผ่วจางเหมือนมีชีวิต

"ขอบคุณครับ" หลินพยักหน้ารับคำอย่างสุภาพ ก่อนจะก้าวเดินเข้าสู่ภายในโรงเรียน โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังจับตาดูเขาอยู่ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับหลิน ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของลานกว้าง สวมเสื้อยืดสีดำสนิท กางเกงสีดำทมิฬ และรองเท้าผ้าใบสีดำเงาวาว ทับด้วยแจ็กเก็ตหนังสีดำตัวเก่งที่ดูดุดัน ดวงตาของเขาจ้องมองเด็กหนุ่มผมขาวผู้สวมเสื้อฮู้ดสีเดียวกับสีผมอย่างไม่สบอารมณ์หลินสวมกางเกงยีนส์สีน้ำทะเลลึกที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์อัสดงแทบจะไม่อาจส่องผ่านไปถึง รองเท้าผ้าใบสีฟ้ากระจ่างตัดกับชุดมืดของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชัดเจนท่าทีและแววตาที่แฝงความไม่พอใจนั้น ทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมือนเกิดคลื่นบางอย่างขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    "แบบนี้ก็ได้เหรอแค่หน้าตาน่ารักหน่อยก็มีคนให้ความช่วยเหลือแล้วอย่างงั้นหรอ เหอะโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม" ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดขุ่นเคือง เขาเห็นการสนทนาเมื่อครู่ระหว่างหลินกับชายเฝ้าประตู และอดรู้สึกไม่ได้ถึงความเหลื่อมล้ำที่ไม่อาจอธิบายทั้งที่เขาเองก็เคยเดินเข้าไปถามคำถามเดียวกันกับคนเฝ้าประตูนั่นแต่กลับไม่ได้รับแม้แต่คำตอบหรือแม้แต่สายตาแลมองแต่พอเป็นเด็กหนุ่มผมขาวคนนั้น... คำตอบกลับถูกมอบให้อย่างง่ายดายโดยไม่มีเงื่อนไขใดมันช่างไม่แฟร์นั่นทำให้การพบกันครั้งแรกของทั้งสอง ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความประทับใจนทางตรงกันข้าม มันคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกบางอย่างที่ยังไม่อาจนิยามได้เขายืนสงบนิ่ง พยายามจัดการกับอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ในอกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างแรง แล้วตัดสินใจเดินตามเข้าไปในรั้วโรงเรียนเหมือนกับคนอื่น ๆ โดยไม่หันกลับไปมองอีก

"เอาละ นักเรียนใหม่ทุกคน!" เสียงของครูหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นกังวานกลางลานกว้าง ดึงสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง 

"จะเป็นนักเรียนของที่นี่ได้ ต้องผ่านบททดสอบให้ได้เสียก่อน!" ใบหน้าของเขายิ้มแย้มราวกับกำลังประกาศข่าวดี แต่ถ้อยคำที่หลุดจากปากกลับทำให้อากาศโดยรอบเย็นวาบอย่างไร้เหตุผล

"การสอบในแต่ละปีนั้นจะแตกต่างกันไป... และยินดีด้วยปีนี้ของพวกเธอทุกคนคือ 'เขาวงกตภาพลวงตา'!" เขาเน้นคำด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความตื่นเต้นราวกับกำลังประกาศชื่อผู้ชนะในงานรื่นเริง

"จุดหมายของพวกเธอคือกลางเขาวงกตนั่นล่ะ" เขาหันไปผายมือชี้ประตูหินขนาดยักษ์ซึ่งเพิ่งเปิดอ้า เผยให้เห็นม่านหมอกหนาทึบที่บดบังทุกสิ่งภายใน "มีทางเข้าอยู่สี่ทิศ เลือกเข้าได้ตามสบาย"

 เสียงซุบซิบจากเหล่านักเรียนเก่ารอบข้างดังแว่วมาทันที บางคนถึงกับหัวเราะหยัน บางคนเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู

“น่ายินดีตรงไหนกัน เขาวงกตนรกชัดๆ…” เด็กชายคนหนึ่งพึมพำ สีหน้าซีดเผือด

“เข้าไปแล้วก็ยากจะออกมาได้ถ้ายังไปไม่ถึงจุดศูนย์กลาง” อีกคนว่าเขาวงกตภาพลวงตา… มันไม่ใช่แค่ทางวกวนธรรมดา แต่เป็นสถานที่ซึ่งเล่นกับจิตใจ ความกลัว และภาพลวงตาในอดีตหรือความทรงจำ และนั่นคือเหตุผลที่สายพลังจิตมักจะผ่านได้ไม่ยาก พวกเขามีพลังควบคุมจิต การแยกแยะสิ่งจริงเทียม และสามารถโต้กลับกับสิ่งลวงตาเหล่านั้นได้

แต่สำหรับหลินแล้ว… เขาไม่ใช่สายพลังจิต เขาเป็นนักสู้สายกายภาพโดยแท้ แข็งแกร่ง ทนทาน ว่องไว แต่เรื่องรับมือกับภาพลวงตานั้น เขาแทบไม่มีภูมิต้านเลยแม้แต่น้อย เขายืนเงียบอยู่ในกลุ่มพลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา 'บทเรียนแรกก็โหดเสียแล้ว...' เขาคิดในใจ แต่ในแววตาไม่ปรากฏความหวั่นไหวแม้แต่น้อย

แม้มันจะยากสำหรับเขา... แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ‘เขาวงกตภาพลวงตา… ต่อให้ลวงตาได้ แต่ใจฉันน่ะ ลวงไม่ได้หรอก’

"ตายแล้ว... ภาพลวงตาเหรอ งานยากแล้วล่ะ!"เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากกลุ่มนักเรียนใหม่ บางคนหลุดอุทาน บางคนเริ่มมองหน้ากันด้วยแววตาไม่มั่นใจ ความตื่นเต้นที่เคยมีก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยเงาแห่งความกังวลที่คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบงัน

และนั่น... คือสิ่งที่เขาวงกตภาพลวงตาปรารถนา

เขาวงกตแห่งนี้ไม่ได้มีไว้เพียงทดสอบร่างกายหรือพลังเวทเท่านั้น แต่มันกัดกินจากภายใน จากจิตใจ ความกลัว ความลังเล และความไม่มั่นคงที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจของแต่ละคน

ความกังวล... ความไม่เชื่อมั่น... ยิ่งเป็นอาหารชั้นเลิศของเขาวงกตนี้ใครก็ตามที่มีจิตใจอ่อนแอ ใจสั่นไหว หวาดกลัวหรือพร้อมจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ย่อมตกหลุมพรางแห่งภาพลวงตาได้ง่ายดายราวกับถูกเชือกมัดขาไว้

และยิ่งคิดจะถอย ยิ่งไม่กล้าก้าวเดินต่อเขาวงกตก็ยิ่งจะบิดเบือนความจริง กักขังพวกเขาไว้ในห้วงภาพหลอกลวง… จนไม่อาจหาทางออกได้เลยมันไม่ใช่เพียงกับดัก แต่มันคือ "บททดสอบของหัวใจ

   "เริ่มได้" เสียงสัญญาณจากผู้คุมดังขึ้นก้องไปทั่วลาน การทดสอบได้เริ่มต้นแล้วทันทีที่คำประกาศจบลง นักเรียนทุกคนต่างกรูกันเข้าไปยังประตูของเขาวงกตภาพลวงตาในแต่ละทิศ เสียงฝีเท้าดังระงมราวกับฝูงชนมุ่งหน้าสู่สนามรบไม่มีใครยอมช้ากว่ากันแม้เพียงก้าวเดียว

หลินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวไปยังประตูทางทิศเหนือเขาเลือกมันโดยไม่ลังเล และแม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่เขารู้… ใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเขาคือหมิง ก็ก้าวเข้าทางเดียวกัน สองคน สองร่างแต่ในโลกของเขาวงกตนี้ ต่อให้เลือกประตูเดียวกัน เขาก็ไม่อาจเดินเคียงข้างกันได้เพราะนี่ไม่ใช่เขาวงกตธรรมดา แต่มันคือ "เขาวงกตภาพลวงตา" ที่มีกลไกเวทซับซ้อนเหนือจินตนาการ

ทันทีที่เหยียบผ่านประตู เส้นทางของแต่ละคนจะถูกบิดเบือน แตกแขนงออกจากกันพวกเขาจะถูกแยกไปยังตำแหน่งที่แตกต่างกันในพื้นที่กว้างใหญ่เกินหยั่งถึงไม่มีเสียง ไม่มีร่องรอย

ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกว่าตนกำลังถูกแยกจากใครเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาเดียวแสงสีขาววาบผ่านดวงตาของหลิน ขอบเขตแห่งความเป็นจริงสั่นไหวก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงอย่างน่าประหลาด

เขารู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่ในทางเดินแคบ ๆ ที่ถูกล้อมรอบด้วยผนังสูงเทียมฟ้า พื้นใต้ฝ่าเท้าเย็นเยียบ ด้านบนมีเพียงหมอกขาวลอยวนปกคลุมอย่างน่าพรั่นพรึง ไม่มีเสียง ไม่มีผู้คน ไม่มีแม้แต่เงาของหมิง เขาอยู่คนเดียวแล้ว

"ทุกคนถูกจับแยก... สมกับเป็นการทดสอบรายบุคคลจริง ๆ"หลินพึมพำกับตนเอง ขณะกวาดตามองรอบด้านอีกครั้ง ไม่มีสิ่งใดตอบรับเขา นอกจากความเงียบ ความว่างเปล่า และหมอกขาวที่ลอยวนช้า ๆ ราวกับมีชีวิตเขาค่อย ๆ นั่งลงกับพื้นเย็นเฉียบของหินแผ่นหนาแล่นเข้าสู่ผิวกาย หากแต่จิตใจยังมั่นคง ไม่ไหวเอน

"ถ้าภาพลวงตาโจมตีจากภายใน งั้นก็ต้องป้องกันจากภายในก่อน..."เขาพึมพำเสียงแผ่ว ดวงตานิ่งสงบก่อนค่อย ๆ ล้วงมีดพกเล่มเล็กจากกระเป๋ากางเกง มีดเล่มนั้นดูธรรมดา ทว่าใบมีดถูกลับจนคมกริบสะท้อนแสงหมอกพร่าเลือน

 เขากรีดลงบนฝ่ามือซ้าย รวดเดียว โดยไม่ลังเลเสียงมีดฝังผ่านผิวหนังเบา ๆ ดัง ฉึบ ตามมาด้วยความแสบร้อนแทรกซึมอย่างรวดเร็ว ของเหลวสีแดงสดทะลักออกจากบาดแผล หยดลงบนพื้นทีละหยด

ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้าสู่ประสาท แต่หลินกลับไม่สะทกสะท้าน ราวกับรอรับมันด้วยความคุ้นเคยมือขวาของเขาเริ่มขยับปลายนิ้วขีดเวทกลางอากาศ เส้นพลังสีฟ้าเรืองแสงลอยขึ้นเป็นวงเวทรูปหิมะที่ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าฝ่ามือ

น้ำแข็งนั้นโปร่งใสราวกระจก เปล่งแสงเย็นบางเบาจากนั้น... เขาค่อย ๆ เลื่อนมือซ้ายที่มีเลือดไหลซึม ให้อยู่ด้านบนเวทน้ำแข็งนั้น ปล่อยให้หยดเลือดสีแดงฉานหยดแหมะลงบนผิวน้ำแข็งทีละหยด ทีละหยด...

ทันทีที่เลือดหยดลง น้ำแข็งเริ่มเปลี่ยนสีจากใสบริสุทธิ์ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแดงเข้มราวทับทิมข้นเหนียว ผิวของมันปริแตกเป็นลายเส้นสีเลือดที่ไหลเวียนวนอย่างมีชีวิต

บรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยน กลิ่นโลหิตอ่อน ๆ ลอยคลุ้งปะปนกับไอเย็นเวทย์น้ำแข็งโลหิตเวทต้องห้ามที่แลกพลังจิตกับโลหิตของผู้ใช้ เพื่อสร้างเกราะต้านภาพลวงตาที่โจมตีจิตใจโดยตรง

"เสร็จแล้ว..." เขาพึมพำ พลางเก็บมือทั้งสองลง ค่อย ๆ หยิบผ้าพันแผลที่เตรียมไว้มาพันมือซ้ายอย่างแน่นหนา มือคู่นั้นสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกลัว... แต่เพราะผลกระทบของเวทมนตร์กำลังเริ่มทำงาน

เวทย์น้ำแข็งโลหิต จะทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงเต็ม ในช่วงเวลานั้น ผู้ใช้จะไม่สามารถหลับตาได้เลยหากพยายามหลับพลังเวทจะล้มเหลวทันที และเมื่อนาฬิกาเวทครบกำหนด เขาจะเข้าสู่สภาวะหลับลึกอีก 24 ชั่วโมงเต็ม โดยไม่อาจตื่นขึ้นมาได้แม้โลกจะถล่มลงตรงหน้า

หลินรู้ข้อจำกัดนั้นดี แต่ก็เลือกใช้เพราะในเขาวงกตภาพลวงตาแห่งนี้… การปกป้องจิตใจ คืออาวุธเดียวที่เขาพึ่งพาได้เขาอาจไม่มีพลังจิตเหมือนคนอื่นแต่เขามีความตั้งใจและเจ็บปวดพอที่จะไม่ยอมแพ้ต่อมันง่าย ๆ

"แค่นี้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล" หลินเอ่ยขึ้นกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่หนักแน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มเย้ยหยันใคร หากแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ย

ดวงตาสีฟ้านิ่งสงบคล้ายผืนน้ำแข็งยามไร้ลม ปราศจากความหวั่นไหวใด ๆเขาก้าวเท้าเดินต่อไปในเขาวงกตอย่างมั่นคง แม้ผนังรอบด้านจะลื่นไหลเปลี่ยนรูปร่างทุกครั้งที่ละสายตาแม้ภาพเงาเลือนลางจะโผล่เข้ามาในมุมสายตา 

พร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบาราวกับเสียงคนรู้จักที่ตายจากไปแล้วแต่เขาไม่หัน ไม่หยุด และไม่ลังเล เวทย์น้ำแข็งโลหิตเริ่มแผ่พลังของมันออกมาอย่างเงียบเชียบ ละอองไอเย็นจาง ๆ แผ่กระจายรอบตัว ราวกับอาณาเขตที่ห้ามสิ่งใดล่วงล้ำจิตใจผู้ใช้ภาพลวงตาที่ควรจะล่อหลอกจิตใจ ถูกผลักออกไปทีละน้อย ราวกับถูกแช่แข็งก่อนจะสลายหายไปในอากาศเสียงหัวเราะของผู้ตาย เสียงร้องไห้ของเด็กน้อย หรือแม้แต่เงาร่างของผู้เป็นที่รักในความทรงจำ ล้วนไม่อาจสั่นคลอนหัวใจของหลินได้อีก

ทางด้านของหมิง

เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวเมื่อภาพลวงตาเริ่มก่อตัวขึ้นรอบตัว เสียงกระซิบ เสียงฝีเท้าเงียบเชียบ เสียงร้องไห้จากความทรงจำเลือนราง ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งเขาได้

สายตาสีดำสนิทของเด็กหนุ่มผมทมิฬยังคงนิ่งเย็น เยือกเย็นและเด็ดเดี่ยวเขาชักกระบี่ออกจากฝักด้วยท่วงท่าชำนาญ เสียงกระบี่เสียดกับโลหะดังกังวานสะท้อนในเขาวงกตราวกับเสียงสายฟ้าที่ขู่ว่าจะฟาดผ่าทุกสิ่งที่ลวงหลอกกระบี่ฟ้าคำรามอาวุธประจำตัวของหมิง ไม่ใช่เพียงโลหะฆ่าได้หั่นได้ธรรมดา หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งโชคชะตาและสายฟ้าที่ฟ้าเลือกมอบให้ เมื่อกระบี่ต้องแสงอาทิตย์ซึ่งส่องผ่านรอยแยกบาง ๆ บนเพดานหิน กระบี่ก็เปล่งแสงระยิบระยับดั่งเกล็ดน้ำแข็งต้องแสงแรกของวัน

ตัวกระบี่เพรียวยาว ปลายเรียวแหลม คมดาบมีลวดลายสายฟ้าเรืองแสงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีพลังมีชีวิตหมุนเวียนอยู่ภายในด้ามจับนั้นทำจากโลหะผสานหยกสีน้ำเงินเข้ม เจียระไนเป็นรูปมังกรที่พันรอบ สื่อถึง “พายุ” ที่นอนหลับอยู่ในกระบี่นั้นมันคือพายุที่รอเพียงเจ้าของผู้คู่ควรปลุกมันขึ้นมาและหมิงคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำเช่นนั้นได้

เขาแกว่งกระบี่ออกไปเพียงหนึ่งครั้ง เสียง ซ่า! ดังแหลมสูง ลำแสงสายฟ้าแหวกฟ้าเปล่งประกายออกจากตัวดาบภาพลวงตาเบื้องหน้าสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนจะแตกสลายราวกับกระจกที่ถูกทุบด้วยแรงมหาศาลกลุ่มหมอกลวงตาถูกกรีดเป็นสองเส้นทางโดยพลังสายฟ้าที่พุ่งผ่าน สะเก็ดแสงแตกระเบิดเป็นวงก่อนจางหายหมิงไม่ใช่ผู้ใช้พลังจิตแต่พลังแห่งกระบี่ที่ดูดซับฟ้าและพายุ ทำให้เขาสามารถฟาดฟันภาพลวงตาได้อย่างง่ายดายหากเขาแข็งแกร่งพอกระบี่ฟ้าคำราม… ไม่ได้ช่วยใครอย่างใจดี

มันคืออาวุธที่ตอบสนองเฉพาะผู้ที่มีเจตจำนงอันหนักแน่นและพลังกายจิตที่แน่วแน่พอเท่านั้นหากผู้ใช้พลังไม่มากพอ แม้แต่จะทำให้สายฟ้ากระเพื่อมเล็กน้อยบนคมกระบี่ยังเป็นไปไม่ได้ และพลังทำลายภาพลวงตาก็จะไม่เกิดผลใด ๆแต่หมิงไม่ใช่หนึ่งในนั้นเขาเดินผ่านภาพหลอน ภาพจำ และเสียงกระซิบ โดยไม่หันกลับไปมองแม้แต่น้อยด้วยกระบี่ในมือและหัวใจที่ฟาดฟันความจริงได้คมไม่แพ้คมดาบ



อีกฟากหนึ่งของเขาวงกตอันเวิ้งว้าง เงียบสงบจนแทบไร้เสียงนั้นปรากฏร่างหนึ่งที่ไม่ยอมปล่อยให้ความมืดหรือความเงียบกลืนกินแม้แต่วินาทีเดียวเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองอ่อนราวกับแสงแรกของอรุณยามเช้า ผมของเขาปลิวไหวเล็กน้อยยามลมเย็นพัดผ่านเส้นทางของเขาวงกตรูปร่างสูงโปร่งดูปราดเปรียว ว่องไว ราวกับสามารถกระโจนข้ามกำแพงได้ทุกเมื่อหากคิดจะทำ

ดวงตาสีอำพันฉายแววขี้เล่นอย่างร่าเริงไม่ขาดสาย เหมือนเด็กชายที่แอบซ่อนขนมไว้ข้างหลังแล้วหัวเราะใส่คนที่หาไม่เจอรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าแฝงความขี้แกล้ง ซุกซน แต่กลับเปล่งประกายบางอย่างที่ยากจะละสายตาได้ริมฝีปากบางของเขา ยกยิ้มอยู่ตลอดเวลา ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่เขาจะต้องหวาดกลัวหรือวิตกกังวล

ชุดฮูดสีขาวครีมที่เขาสวมดูเรียบง่าย แต่ทับด้วยแจ็กเก็ตสีเหลืองส้มอ่อนจนเกือบขาวเหมือนแสงเทียนที่คอยส่องนำทางให้กับผู้หลงทางในยามค่ำคืนเขาคือผู้ใช้พลังแห่งแสงผู้ที่แสงจะไม่มีวันทอดทิ้งและความมืดก็ไม่มีวันกลืนกิน

"ภาพลวงตา...เหรอ?"เขาทวนคำพลางเอียงคอน้อย ๆ แล้วระเบิดหัวเราะเบา ๆ อย่างสดใสราวกับได้ยินมุกตลกกลางสนามเด็กเล่น

"ของหมู่ ๆ น่ะเหรอ? ฮ่า ๆ ๆ แบบนั้นน่ะ ทำอะไรจินคนนี้ไม่ได้หรอก!"เสียงหัวเราะใส ๆ ดังสะท้อนในเขาวงกตเงียบงัน ราวกับเจ้าตัวไม่ได้เข้าใจว่าตรงนี้ควร ‘เครียด’ มากกว่าจะ ‘สนุก’

เขายกมือขึ้นแสงสีทองอ่อนค่อย ๆ ปรากฏปลายนิ้ว ก่อเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่าลูกแก้วลอยขึ้นเหนือฝ่ามือ จากนั้นค่อย ๆ กระจายเป็นริ้วแสงเล็ก ๆ ที่ลอยออกไปเหมือนหิ่งห้อยหลายร้อยตัว

แสงเหล่านั้นคอยนำทาง ก่อเป็นเส้นทางเรืองรองท่ามกลางหมอกหนาทึบและเงามืดของเขาวงกตสำหรับคนอื่น ภาพลวงตาอาจเป็นฝันร้ายแต่สำหรับจิน… พลังของเขาคืออริโดยธรรมชาติกับสิ่งลวงหลอกเหล่านั้นภาพลวงตาไม่สามารถเกาะเกี่ยวจิตใจเขาได้ ไม่ว่ามันจะสร้างภาพโศกเศร้า บิดเบือนอดีต หรือข่มขู่ด้วยความกลัวใด ๆในทางกลับกันพลังแสงของจินยังสามารถ เปิดโปง จุดที่มีภาพลวงตาแฝงอยู่ได้อีกด้วยพูดง่าย ๆ ก็คือการทดสอบครั้งนี้ เข้าทางเขาอย่างจัง

เหมือนจับเด็กชอบวิ่งเล่นไปปล่อยในสวนเขาวงกตที่แค่เดินตามแสงก็หาทางออกได้แล้วเขาเดินพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี มองดูแสงเล็ก ๆ นำทางราวกับว่าการทดสอบนี้คือ “เกม” สนุก ๆ มากกว่าจะเป็นบททดสอบสุดหฤโหดที่ทำให้นักเรียนบางคนถึงกับร้องไห้ออกมา

ด้านทิศตะวันตกของเขาวงกตนั้น บรรยากาศแตกต่างจากส่วนอื่นอย่างสิ้นเชิงหมอกที่นี่เข้มข้น หนาแน่นยิ่งกว่าบริเวณใด ราวกับแสงสว่างเองยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาอากาศหนาวเย็นสะท้านราวกับเงาแห่งความตายแฝงตัวอยู่ในทุกอณู

เด็กหนุ่มผู้ยืนอยู่ในความมืดนั้นมีใบหน้าคมเข้ม ดวงจมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยแต่แฝงความลึกลับที่ชวนให้เหลียวมองซ้ำเรือนผมสีดำสนิท ดุจรัตติกาลที่ไร้ดวงดาวปกคลุมท้องฟ้า ดวงตาทมึน ลึกและเย็นชา ราวกับแสงจากโลกนี้ไม่อาจส่องผ่านเข้าไปได้

เหมือนเงามืดจากเบื้องล่างโลกที่บังแสงตะวันไม่ให้ตกถึงดวงจันทร์ ชุดคลุมของเขาเป็นสีฝุ่นราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีแสงใดตกกระทบแม้กระทั่งแสงแห่งความหวัง

ในมือของเขา... คือคฑาสีดำล้วนลำคฑานั้นเหมือนถูกหลอมขึ้นจากเงาในยมโลก เนื้อโลหะมืดมิดจนไม่สะท้อนแม้แต่เงาของผู้ถือปลายคฑาประดับด้วยหัวกระโหลกที่แฝงไว้ด้วยพลังแห่งความตาย ดวงตาว่างเปล่าของมันเหมือนจ้องลึกเข้าสู่จิตใจของทุกผู้ที่กล้าเข้าใกล้และในขณะนี้... มันสั่นไหวเบา ๆ ราวกับหัวเราะเยาะต่อภาพลวงตาทั้งมวล

"หึ... สายเดียวกันสินะ..."พีทเอ่ยเสียงต่ำเสียงของเขาเย็นราวกับลมหนาวปลายฤดูที่พัดผ่านสุสาน

"แต่ไม่ว่าจะพลังไหน... จิตยมทูต คือจุดสูงสุดของเวทสายมืด"เขายกคฑาขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะกระแทกลงบนพื้นหินอย่างแรง

ตึง! เสียงกระแทกสะท้อนก้อง

จากจุดที่คฑาตกกระทบ พื้นดินแตกร้าวออกเป็นเส้นสายดำมืดราวกับรากเงาของยมทูตแผ่ขยายออกไปช้า ๆความเย็นเฉียบแผ่กระจายออกเป็นวงกว้างหมอกโดยรอบที่พยายามปกคลุมความจริงค่อย ๆ ถูกกัดกิน ราวกับเงาดำกำลังดูดกลืนมันกลับเข้าสู่ความว่างเปล่าเพราะทั้งเขาวงกตและพลังของพีทนั้น ต่าง ทำลายจิตใจเขาวงกตใช้ภาพลวงตาเล่นงานหัวใจผู้คน

แต่ พลังแห่งจิตยมทูตของพีท ก็ทำลายจิตภาพเหล่านั้นเช่นกัน ด้วยพลังของ “ความจริงสุดท้าย” ความตาย นี่จึงไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดแต่เป็น การเผชิญหน้าระหว่างเวทสายลวงหลอก กับ อำนาจที่เปลือยเปล่าไร้ความฝัน 

"ทีนี้... มาวัดกันว่าใครจะเหนือกว่าเขาวงกตนี้ หรือฉัน" และแน่นอน...พีทชนะขาด เพราะ จิตยมทูต ไม่หวั่นไหวต่อความลวงมันคือความตายที่ไม่มีวันโกหกและในโลกที่เต็มไปด้วยภาพหลอกลวงความตายจึงกลายเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครหลบหนีได้

ในฝั่งตรงกันข้ามของเขาวงกตท่ามกลางหมอกหนาทึบที่ราวกับกำลังกลืนกินสรรพสิ่ง เงาร่างหนึ่งยังคงเดินอย่างมั่นคงทีละก้าว โดยไม่มีร่องรอยของความลังเลแม้แต่น้อย

วิคเตอร์

เด็กหนุ่มผู้มีแววตาสงบและลึกซึ้ง ร่างสูงโปร่ง สวมชุดคลุมเรียบหรูสีขาวเงินสะท้อนแสงเลือน ๆ ราวกับกลุ่มเมฆยามรุ่