พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมอุปสรรคที่ใหญ่ยิ่ง จะเป็นยังไงกันนะถ้าเด็กมัธยมคนหนึ่ง ต้องแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า แค่คิดก็หนักแล้วใช่ไหมล่ะนั่นแหละสิ่งที่นายเอกของเราต้องเจอ

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart - บทที่ 1 เทพคุ้มครอง โดย K-star44 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไทย,จีน,ยุคปัจจุบัน,แอคชั่น,แฟนตาซี ,boylove/yaoi,boylove ,boylove,วาย,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไทย,จีน,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,แฟนตาซี ,boylove/yaoi,boylove ,boylove,วาย,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี

รายละเอียด

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart  โดย K-star44 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมอุปสรรคที่ใหญ่ยิ่ง จะเป็นยังไงกันนะถ้าเด็กมัธยมคนหนึ่ง ต้องแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า แค่คิดก็หนักแล้วใช่ไหมล่ะนั่นแหละสิ่งที่นายเอกของเราต้องเจอ

ผู้แต่ง

K-star44

เรื่องย่อ

เมื่อจิตวิญญาณได้หายไปเขาจึงต้องเดินทางตามหาและที่เดียวที่จิตวิญญาณแห่งเทพจะไปได้ไม่ใช่ที่ไหน


.

.


แดนเทพ

แน่นอนว่าต้องมีทางขึ้นไป แต่ โรงเรียนแห่งเทพเป็นสถานที่เดียวที่จะทำให้เขาขึ้นไปตามหาจิตวิญญาณเทพคุ้มครองเขาคืน

.

.

.

โรงเรียนแห่งเทพ

.

.

และได้เจอกับ หมิง ในช่วงแรกไม่ลงรอยกันเลยแต่ด้วยตีกันแบบไหนไม่รู้ทั้งสองกลับสนิทกันแบบงงๆ

.

.

จากนั้นเขาก็ได้เพื่อนเพิ่มอีกสามคนในการจับกลุ่มทำภารกิจ วิคเตอร์ จิน และ พีท หรือพีทซ์แบล็ค เป็นฉายา

ทั้ง 5 มีเป้าหมายเดียวกันคือการขึ้นแดนเทพแต่มีเงื่อนไขอยู่ว่าทั้งกลุ่มต้องเป็น 5 คนที่มีคะแนนเยอะที่สุดในโรงเรียนให้ได้ และก็ทำได้จริงๆทั้งห้าได้ขึ้นแดนเทพต่างคนต่างแยกไปทำในสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่หมิง เขาเลือกที่จะตามหลินไป ระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคมากมาย

เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ติดตามในนิยายจ้า


สารบัญ

เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart -บทนำ จุดเริ่มต้น,เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart -บทที่ 1 เทพคุ้มครอง,เทพคุ้มครอง หัวใจไม่คาดฝัน Guardian of an Unexpected Heart -บทที่ 2 โรงเรียนแห่งการทดสอบ

เนื้อหา

บทที่ 1 เทพคุ้มครอง

คุณเชื่อหรือไม่ว่าบนโลกใบนี้มีผู้มีพลังพิเศษอยู่จริง ๆ แม้จะเป็นกลุ่มคนที่หาได้ยากมาก ๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่หาได้ยาก หรือสิ่งที่ไม่เคยภพเห็น ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่ เหมือนกับเด็กหนุ่มคนนี้ หลิน


หลินเด็กหนุ่มผมขาวราวกับหิมะแรกของรฤดูหนาวในตามีสีฟ้าดุจคริสตัลน้ำแข็งกลางฤดูหนาว เขาเป็นคนเอเชียแท้ ๆ แต่กลับมีลักษณะที่แตกต่างจากคนเอเชียมั่วไป เขาเกิดมาพร้อมพลังพิเศษแห่งน้ำแข็ง ที่สามารถสร้างสรรค์น้ำแข็งในรูปแบบต่างๆมากมายทั้ง โจมตีและป้องกัน 


แต่แทนที่เขาจะเลือกเรียนในโรงเรียนสำหรับผู้มีพลังพิเศษเช่นเดียวกับเขา หลินกลับตัดสินใจใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในโรงเรียนธรรมดา ปกปิดพลังของตนไว้ราวกับไม่มีอยู่จริงพ่อและแม่ของเขาก็มีพลังเช่นเดียวกันกับเขาพลังที่ตกทอดมาในสายเลือดของครอบครัว


บางครั้ง หลินก็ไม่แน่ใจนัก ว่าควรเรียกมันว่า ‘พร’ หรือ ‘คำสาป’ ดีสำหรับเขา...มันคงเป็นทั้งสองอย่าง พลังที่มอบความพิเศษเหนือคนทั่วไป


ยิ่งพลังที่มาพร้อมกับความโดดเด่น ก็ย่อมนำมาซึ่งการต้องปกปิด และแบกรับหน้าที่บางอย่างที่คนทั่วไปไม่เคยรับรู้ พรที่มอบความสามารถเหนือมนุษย์ และคำสาปที่พรากชีวิตธรรมดาไปอย่างเงียบงัน ยิ่งเติบโตขึ้น หลินก็ยิ่งตระหนักว่าพลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ตามใจมัน มี ‘บางสิ่ง’ ที่เขาจำเป็นต้องปกป้อง มี ‘บางอย่าง’ ที่เขาเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับผิดชอบและนั่นแหละ...คือภาระเงียบ ๆที่วางทับอยู่ในหัวใจของเขาเสมอมา


ภายในบ้านไม้หลังหนึ่งในหมู่บ้านฮูจง เขตต้าซิง มณฑลเฮยหลงเจียง ประเทศจีน ที่ที่หิมะตกตลอดทั้งปี อุณหภูมิสูงสุดยังคงติดลบสามองศาครอบครัวของหลินอาศัยอยู่ท่ามกลางความสงบและความเยือกเย็นราวถูกกลืนรวมกันเป็นฤดูหนาวอย่างสมบูรณ์ 


นอกจากนี้ในบ้านไม้ยังมีเทพคุ้มครองที่สถิตในรูปไม้แกะสลักเป็นเทพประจำฤดูหนาว ช่างงดงามเยือกเย็นแม้จะเป็นเพียงไม้แกะสลัก แต่กลับทำให้รู้สึกถึงสง่างามและความน่าเกร่งขามแผ่ออกมา คนเดียวที่สามารถสื่อสานกับเทพคุ้มครองได้มีเพียงหลินผู้เป็นลูกชายเท่านั้นเพียงแต่เขายังมีพลังไม่มากพอที่จะเห็นร่างของท่านได้ยินเพียงเสียงเท่านั้น


 ส่วนวันนี้ก็เป็นดั่งเช่นทุกวันเขาต้องไปโรงเรียนตามปกติอย่างที่เคยเป็น


เช้านั้นก็เหมือนกับทุกเช้า


"แม่ครับพ่อครับ ผมไปเรียนแล้วนะครับ" น้ำเสียงเรียบเย็นดังขึ้น พร้อมกับก้มหัวให้รูปแกะสลักในห้องที่สงวนไว้สำหรับเทพคุ้มครองโดยเฉพาะ ประตูบานไม้เปิดแง้มไว้รับแสงอ่อนยามเช้า สะท้อนลงบนดวงตาสีฟ้าคู่นั้นวาววับครู่หนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะหมุนตัวเดินออกจากบ้าน และขึ้นรถโรงเรียน


หลินเป็นลูกครึ่งไทย จีน แม่ของเขาเป็นคนไทยที่พบรักกับพ่อของเขาระหว่างมาเรียนต่อที่ประเทศจีน หลังแต่งงาน ทั้งคู่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ หมู่บ้านแห่งหิมะตลอดปี ที่ดูเหมือนเป็นที่เดียวในโลกที่เหมาะจะเป็นบ้านของผู้ควบคุมธาตุน้ำแข็ง 


"ไงหลิน" เสียงทักทายดังขึ้นทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาบนรถโรงเรียน เป็นประโยคเดิม ๆ ที่เขาได้ยินอยู่ทุกวันหลินหันไปมองต้นเสียงแวบหนึ่งหญิงสาวในเสื้อโค้ตสีครีม ถุงมือสีแดง และหมวกไหมพรมสีเดียวกันก่อนจะหันกลับไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับสายตานั้นเป็นเพียงลมหายใจที่พัดผ่าน


"หวัดดี" แม้จะกล่าวทักทายกลับแต่ก็ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เขาเดินเข้าไปนั่งหลังสุด หลินไม่รู้หรอกว่าแม้จะพยายามเงียบขรึมและไม่เป็นที่สนใจเพียงใด แต่ผมสีขาวราวกับหิมะต้องแสงตะวันของเขาก็ยังเป็นที่สะดุดตาอยู่ดี พอรวมกับหน้าตาดุจเทพพระเจ้าสรรค์สร้างตั้งใจปั่นแต่งออกมาให้มีเสน่ห์บางอย่างระหว่างความน่ารักน่าเอ็นดู และความนิ่งเฉยเยือกเย็นมันกลับยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่น…


โดดเด่นจนกลายเป็นลึกลับ จนใคร ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้จักมากขึ้น แม้เจ้าตัวจะไม่ต้องการเลยก็ตาม


"หยิ่งชะมัดเลย" หญิงสาวคนนั้นบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย กับท่าทีเฉยเมยไม่ไยดีของเด็กหนุ่มผมขาว


 แม้หลินได้ยิน แต่เลือกจะไม่สนใจปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนสายลมพัดผ่านไม่แตะต้อง ไม่สะเทือน ดวงตาสีฟ้าดุจคริสตัลคู่นั้นค่อย ๆ ปิดลง มือขาวซีดล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบหูฟังขึ้นมาสวมช้า ๆ อย่างแผ่วเบาก่อนจะเปิดเพลง และปล่อยเสียงดนตรีไหลเข้าครอบครองโลกของเขาทั้งใบ ในพื้นที่เล็ก ๆ ใต้เสียงเพลงนั้น ไม่มีเสียงใคร ไม่มีใครอยู่ มีแค่ตัวเขา กับความเงียบสงบที่คุ้นเคย


ไม่จะใครจะพูดอะไรกับเขาก็ตาม…


หลินก็ตัดขาดจากทุกสิ่งไปแล้ว จนกระทั่งรถจอดที่หน้าโรงเรียน


"หลิน วันนี้นายดูเย็นชากว่าเดิมรึเปล่า" เสียงทักจากเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นอย่างครึ้ม ๆ ขณะเดินเข้าห้อง


หลินเงยหน้ามองเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าดุจน้ำแข็งใต้แสงจันทร์ไร้อารมณ์ใด ๆก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ต่างจากอากาศหนาวที่คลุมเมือง


"เหมือนเดิม" น้ำเสียงนั้นนิ่งเสียจนแทบแยกไม่ออกว่าคือคำตอบ หรือเพียงลมหายใจผ่านริมฝีปากใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกนั้น ราวกับถูกหล่อมาจากน้ำแข็งก้อนใหญ่หนาหลายสิบเมตรเย็นชา เงียบงัน และไม่มีใครเข้าใกล้ได้ง่าย ๆ


หลินไม่ใช่คนพูดมาก แม้แต่กับเพื่อนที่โรงเรียนแห่งนี้ก็เช่นกันเขารู้ดีว่าตัวเองไม่เหมือนพวกเขาและเพราะรู้…จึงไม่อยากให้ใครเข้ามาใกล้จนเกินไป


"งั้นเหรอ.." เสียงทักจากเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นอย่างครึ้ม ๆ ขณะเดินเข้าห้องงั้นแหละ"คงงั้นมังนายดูเป็นแบบนั้นทุกวัน"


"อือ" สุดท้ายก็เดินหนีไปไม่สนใจอีกฝ่ายจะเรียกว่าเย็นชาหรือไม่สนโลกดีละเขาอะนะแม้หน้าตาจะน่ารักถึงขนาดนั้นแต่นิสัยดันสวนทางกับหน้าตานี้สิแม้มีคนอยากเข้าหาแต่ด้วยความนิ่งจนเกินไปของเขาก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้เท่าไหร่


    "หลิน" เสียงใสของเด็กสาวผมบลอนด์ดังขึ้นข้างโต๊ะเรียน ร่างเพรียวในเสื้อหนาวสีอ่อนเดินเข้ามาหาเขาอย่างมั่นใจหลินหันไปมองเธอเพียงแวบเดียว ก่อนจะเบือนสายตากลับราวกับเธอเป็นเพียงเงาผ่านทางท่าทางเมินเฉยนั้นทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่กลับกลายเป็นแรงผลักให้ยิ่งอยากเอาชนะใจเขาให้ได้


   "หลิน ไปกินข้าวกัน" เธอชวนอย่างเปิดเผย


        "ไม่" ปากเล็ก ๆ จิ้มลิ้มขยับเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง เป็นคำปฏิเสธที่ชัดเจนและเยือกเย็นจนแทบไร้เยื่อใย


"นะ" เสียงอ้อนวอนยังคงพยายาม แต่คำตอบก็ยังไม่เปลี่ยน


     "อยากกินคนเดียว" คำตอบสุดท้ายถูกกล่าวออกมาเบา ๆ ก่อนที่หลินจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะ หลับตาพริ้มตัดขาดจากบทสนทนาในทันทีหญิงสาวยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาแล้วหันกลับไปนั่งที่เดิม


แต่แม้จะกลับไปแล้ว สายตาคู่นั้นก็ยังเฝ้ามองหลินอยู่ไม่ห่างบางอย่างในตัวเขาทำให้เธอไม่อาจละสายตาได้อาจเพราะความเย็นชาที่แผ่ซ่านรอบตัว หรืออาจเพราะความเงียบลึกลับที่อยากเข้าใกล้ให้มากกว่านี้


"สนใจอะไรขนาดนั้นเลย" เสียงเพื่อนสาวที่นั่งข้าง ๆ ดังขึ้นเบา ๆ พลางมองเธอด้วยแววตารู้ทัน “หลินไม่สนใจเธอหรอก...ไม่สิ เขาไม่สนใจใครเลยต่างหาก” ประโยคนั้นไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นความจริงที่เธอเองก็รู้ดีหลินเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็ง เงียบเยือกเย็น และยากจะเข้าใกล้ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือหวังเพียงแค่จะทักทาย กำแพงของเขาก็สูงเสียจนใครหลายคนถอดใจไปแล้ว


เธอถอนหายใจยาวพลางวางคางพิงโต๊ะทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง แต่ก็ยังอยากเข้าไปใกล้โลกของเขาอีกสักนิดแม้จะถูกเมินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเงียบของเขากลับยิ่งทำให้เธออยากรู้ว่า...ในความเย็นชานั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่


หลินยังคงนอนนิ่ง ราวกับตัดขาดจากทุกเสียงรอบข้าง แต่จู่ ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็พัดเข้ามาในหัวใจอย่างรุนแรง...เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เย็นวาบ... หนักอึ้ง...เหมือนคลื่นความหนาวที่ซัดเข้ามาจากด้านใน มากกว่าจะมาจากภายนอกเขาสะดุ้งลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าหวานเย็นตอนนี้ขุ่นมัวด้วยความตึงเครียด


ร่างทั้งร่างแข็งเกร็งขึ้นดวงตาทั้งสองเบิกโพลง ขณะมองไปรอบห้องเรียนอย่างระแวดระวัง บรรยากาศรอบข้าง…เย็นลงเย็นลงอย่างผิดปกติทั้งที่ฮีตเตอร์ยังเปิดอยู่ แต่กลับมีลมหายใจสีขาวลอยจากปากของเพื่อนร่วมชั้นราวกับอยู่กลางฤดูหนาวตอนลบยี่สิบองศาและความเย็นนั้น…ไม่ได้มาจากที่ไหน


แต่มาจากตัวเขาเองหลินที่เผลอปล่อยไอเย็นออกมาโดยไม่รู้ตัวพลังบางอย่างในร่างเขากำลังตอบสนองต่อ “ลางสังหรณ์” ที่ไม่สามารถอธิบายได้


"หลิน... นายแผ่ไอเย็นทำไมเนี่ย หนาวจะตายอยู่แล้ว!"เพื่อนที่นั่งข้าง ๆ หดไหล่ขยับหนีเล็กน้อย พลางพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิดปนเป็นห่วง


เขารู้ดีว่าเหตุผลที่หลินเป็นแบบนี้…ไม่ใช่เพราะอารมณ์ธรรมดาของมนุษย์แต่เพราะหลิน…ไม่ใช่คนธรรมดาแบบพวกเขาทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้มันเป็นเพียงความลับระหว่างกัน


แค่คำพูดหนึ่งคำ…บรรยากาศเยือกเย็นเมื่อครู่ก็พลันจางหายราวกับถูกดูดกลับเข้าไปในเข้าร่างของหลินในชั่วพริบตาเดียว


ห้องเรียนกลับคืนสู่ความอบอุ่นตามเดิมเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบงัน…กับคำถามที่ยังไร้คำตอบในใจของเด็กหนุ่มผมขาวคนนั้น


    "หลินมีอะไรรึเปล่า" คำถามนั้นดังขึ้นเบา ๆ จากเพื่อนที่นั่งใกล้ หลินชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


"ไม่รู้สิ" ประโยคสั้น ๆ ฟังดูเหมือนคำปฏิเสธทั่วไป แต่หากใครได้สบตาเขาในวินาทีนั้นจะเห็นว่าภายใต้ม่านน้ำแข็งของดวงตาสีฟ้าใส มีเงาขุ่นมัวบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่เงียบ ๆ โดยที่เขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้


ความจริงก็คือ...เขาไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร และนั่นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด


แม้เขาจะไม่ใช่คนเปิดเผย ไม่ได้สนิทกับใครในโรงเรียนนี้ แต่ในส่วนลึกของใจ หลินก็ไม่อยากให้สิ่งเลวร้ายใด ๆ เกิดขึ้นที่นี่กับผู้คนที่เขาเพียงมองจากระยะไกลแต่ยังเฝ้าระวังอย่างเงียบงันเสมอ


    เสียงของเพื่อนคนนั้นยังคงแผ่วเบา แต่แฝงความอ่อนโยนจริงใจ แววตาที่ทอดมามีน้ำหนักของความห่วงใยชัดเจนจนไม่อาจปิดบัง แม้เจ้าตัวจะรู้ดีว่า คนอย่างหลิน...ไม่ใช่คนที่จะเปิดใจให้ใครง่าย ๆ


หลินไม่ตอบในทันที เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมาเบาราวกับเสียงลมหายใจที่เล็ดลอดจากช่องว่างระหว่างริมฝีปาก


"แค่รู้สึกว่า...จะมีบางอย่างเกิดขึ้น"น้ำเสียงนั้นไม่สั่น ไม่ตื่น แต่หนักแน่นในความไม่แน่ใจบางสิ่งในคำพูดของเขาทำให้ความเงียบรอบตัวขยายออกอย่างแผ่วช้าเพื่อนของเขาไม่พูดอะไรต่อ เพียงมองนิ่ง ราวกับรู้ว่าคำพูดที่เหลืออาจไม่จำเป็นอีกแล้วในตอนนี้


"ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ไม่รู้ว่าที่ไหน" จากนั้นก็เงียบไปอีกครั้งเงียบราวกับคลื่นใต้ทะเลน้ำแข็งที่สงบงันปราศจากริ้วไหว ปราศจากเสียง แต่ลึกลงไปใต้ผืนน้ำนั้น…คือความปั่นป่วนที่ไม่มีใครมองเห็น


หลินรู้สึกเจ็บแปลบในอกเบา ๆเจ็บแบบที่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดจากอะไรความเจ็บปวดนั้นต่อเนื่อง ราวกับบางสิ่งกำลังกรีดหัวใจของเขาอย่างเชื่องช้าไม่ใช่บาดแผลที่เลือดไหล ไม่ใช่บาดแผลที่มองเห็นแต่เป็นบาดแผลเงียบ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในเงาของจิตใจ...และกำลังลุกลามเงียบงัน


ทั้งวันนั้น หลินไม่ได้พูดกับใครอีกเขาไม่แตะอาหาร ไม่แม้แต่จะสบตาเพื่อนร่วมชั้นเขานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง สายตาเหม่อมองออกไปยังหิมะที่ร่วงหล่นไม่หยุดราวกับหัวใจที่ค่อย ๆ หนักอึ้งลงทีละน้อย


ความรู้สึกในอก…ชัดเจนขึ้นทุกทีมันกำลังเกิดขึ้นที่บ้านเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมั่นใจเช่นนั้น แต่ลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยผิด 


ยิ่งรถโรงเรียนแล่นเข้าใกล้หมู่บ้านฮูจงมากขึ้นเท่าไรความเจ็บในอกก็ยิ่งบีบรัดแน่นหนาขึ้นเรื่อย ๆเหมือนเสียงกรีดร้องในความเงียบงันเหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังหลุดลอยออกไปจนกระทั่งบ้านของเขาปรากฏอยู่เบื้องหน้า…หลินก็แทบจะทนไม่ไหวเขาอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมา


     "พ่อแม่กลับมาแล้ว" เขาพึมพำเสียงเบา เมื่อก้าวเท้าเข้าบ้านจากนั้นก็ปิดประตูห้องนอน ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบลงตามใจต้องการ ห้องที่เคยอบอุ่นดูเย็นกว่าปกติหรือเป็นเขากันแน่ที่หนาวหลินทรุดตัวลงข้างเตียง


เขากอดเข่าตัวเองเงียบ ๆ ปล่อยให้ความเงียบไหลซึมเข้าสู่หัวใจดวงตาเหม่อมองพื้นราวกับกำลังมองผ่านโลกทั้งใบไปยังที่ใดที่หนึ่ง


และในชั่วขณะนั้นเอง...เสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาในหูไม่ใช่เสียงของแม่ ไม่ใช่เสียงของพ่อ แต่เป็นเสียงที่หลินรู้จักดีเกินไปเสียงที่อ่อนโยน นุ่มนวล และแผ่วเบา...ทว่าทรงพลัง ราวกับสายลมแรกของฤดูหนาวที่มาสะกิดใจ


"เป็นอะไรไปน่ะหลิน" เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับหิมะที่ตกกระทบหลังคาบ้านในยามค่ำอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างประหลาดแม้จะไม่เคยได้เห็นตัวตนของผู้พูดเลยสักครั้งแต่หลินก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นใคร


...องค์เทพคุ้มครอง


เทพแห่งฤดูหนาวผู้สถิตอยู่ในบ้านหลังนี้มาตลอดผู้ที่เฝ้ามองเขาอย่างเงียบงัน


ตั้งแต่จำความได้ หลินก็ได้ยินเสียงนั้นเสมอกระซิบเบา ๆ เคียงข้างเขาในยามที่ร้องไห้ ในยามที่เจ็บปวด หรือแม้แต่ในความเงียบในคืนที่เหน็บหนาว


ทว่าแม้เวลาจะล่วงผ่านมาหลายปีแม้จะมีพลังติดตัวมาตั้งแต่เกิดเขาก็ยังไม่มีพลังมากพอ...ที่จะมองเห็นองค์เทพนั้นได้จริง ๆ


เสียงยังคงเป็นเพียงสายลม รูปร่างยังคงเป็นเพียงเงาจางที่ไม่อาจจับต้องแต่สำหรับหลินนั่นก็เพียงพอแล้วเพราะแม้จะไม่เห็น...แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่า ‘อยู่เพียงลำพัง’ เลยสักครั้งเดียว


       "เปล่า ผมจะนอนแล้ว" เสียงของหลินยังคงราบเรียบแม้ภายในใจจะสั่นสะเทือนคล้ายพื้นน้ำใต้แผ่นน้ำแข็งบางเขาล้มตัวลงนอนหันหลังให้กับเสียงนั้นหันหลังให้กับทุกสิ่งและหลับตาลงอย่างดื้อรั้น...ในความมืดที่ค่อย ๆ ปกคลุมเขาคิดว่าตนเองคงนอนไม่หลับความคิดยังตีวนความรู้สึกยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง


แต่เมื่อปล่อยให้ลมหายใจค่อย ๆ ช้าลงทีละนิดเมื่อปล่อยให้เสียงรอบกายเงียบสงัดจนเหลือเพียงเสียงเต้นของหัวใจตนเอง


...ไม่รู้ว่าเมื่อใด


ความง่วงงุนจึงค่อย ๆ กลืนกินสติเยียบเย็นและอ่อนโยนราวม่านหมอกในฤดูหนาวและในที่สุดเขาก็จมหายลงสู่ห้วงนิทราไร้ซึ่งฝัน...ไร้ซึ่งการรับรู้ปล่อยให้เวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบงัน


แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอากาศในห้องเย็นเยียบเย็นอย่างผิดธรรมชาติเย็นราวกับฤดูหนาวทั้งฤดูถูกอัดแน่นไว้ในพื้นที่คับแคบเย็นจนแม้เพดานและกำแพงที่คุ้นตากลับดูห่างไกลราวกับอยู่คนละมิติ


หลินนิ่งงันอยู่เช่นนั้น ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่านี่คือยามเช้าหรือกลางคืนไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าใดแต่ที่แน่ชัด...คือบางอย่างได้เปลี่ยนไป


สิ่งแรกที่เขาสังเกตได้ไม่ใช่อากาศไม่ใช่เงารางที่ทอดตัวอยู่ปลายเตียงแต่เป็นสิ่งที่หายไปความเจ็บแปลบในอกความรู้สึกวูบไหวคล้ายจะร้องไห้ทุกครั้งที่หายใจเสียงกระซิบบางเบาของคำเตือนที่ไม่มีคำมันหายไปอย่างเงียบงันว่างเปล่า


และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง หลินก็รู้...มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ความสงสัย ไม่ใช่ลางสังหรณ์ แต่คือการรับรู้...ที่ชัดเจนดุจเสียงฟ้าฟาดกลางใจ


บางสิ่งได้พังทลายลงบางสิ่งที่เขาไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนได้อีกแล้ว


"แม่พ่อ"เสียงหลินแผ่วเบาราวกับลมหายใจหัวใจเขาเต้นรัว ความรู้สึกประหลาดที่กัดกินอยู่ทั้งวันหายไปแล้วแต่ความว่างเปล่าที่หลงเหลืออยู่...กลับน่ากลัวกว่าหลายเท่านัก


มือของเขาเย็นเฉียบ ทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึกหนาวขนาดนั้นเขาหันขวับไปทางหน้าต่างม่านบางสะบัดแรงตามแรงลมที่เล็ดลอดเข้ามาภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้ลมหายใจของเขาขาดเป็ยห้วง ๆ 


ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านฮูจงมืดมิด ทะมึน ทึบหนาเมฆดำปกคลุมราวกับหมึกมืดเทลงมาจากสรวงสวรรค์พายุหิมะขนาดมหึมากำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหิมะตกหนักปานใบมีดสีขาว เสียดแทงทุกอณูของอากาศ


อุณหภูมิที่ติดลบอยู่แล้ว กลับลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...เสียงกระจกหน้าต่างส่งเสียงแกร่งเคร้งราวกับมันจะปริแตกออกมาด้วยแรงของพายุและไอเย็น ลมหายใจของเขากลายเป็นหมอกขาว แม้จะอยู่ภายในห้องเขายืนแน่นิ่ง มองดูท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนไปด้วยดวงตาสีฟ้าคริสตอลนั้นรู้ทันทีว่าสิ่งที่เขาหวั่น กลายเป็นจริงแล้วบางสิ่งบางอย่าง ถูกกระชากออกจากที่นี่...ไปพร้อมพายุลูกนั้น


    "หลินช่วยข้าด้วย..."เสียงนั้นเบาบาง ราวกับลมหายใจสุดท้ายของฤดูกาลแผ่วผ่านข้างหูของเขา ไม่ใช่เสียงที่เปล่งจากริมฝีปากของใคร…แต่เป็นเสียงที่แทรกซึมเข้ามาในจิตสำนึก คล้ายกระซิบจากห้วงลึกของจิตใจ เป็นเสียงที่ไม่ต้องได้ยินด้วยหู แต่รับรู้ได้จากขั้วหัวใจเสียงของการร้องขอ ความอ้อนวอนที่อ่อนแรงเหลือเกินราวกับเจ้าของเสียงกำลังจมดิ่ง ห่างออกไปทุกที…


หลินสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นจากหมอนที่ยังเย็นชืดจากร่างกายของเขาเอง หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ คล้ายถูกปลุกขึ้นกลางฤดูหนาวที่โหดร้ายโดยไม่ทันตั้งตัว เขาหายใจถี่ เสียงนั้น…ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ภาพหลอน แต่ชัดเจนในความรู้สึกจนปฏิเสธไม่ได้ มันจริงจริงเกินกว่าจะเป็นสิ่งใดนอกจากความเป็นจริงที่กำลังกระแทกหัวใจอย่างไม่ไว้หน้า 


เสียงของ “นาง” เทพคุ้มครองฤดูหนาว…ผู้ปกปักรักษาครอบครัวเขามาเนิ่นนาน ผู้ที่ไม่มีใครเคยพบเห็น เพียงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ ผ่านลมหายใจที่อุ่นขึ้นในวันที่เหน็บหนาวที่สุด ผ่านเสียงกระซิบอ่อนโยนที่ดังในจิตใจยามเขาอ่อนแรง และตอนนี้ เสียงนั้นร้องขอ ร้องขอความช่วยเหลือจากเขา คนที่ไม่อาจแม้แต่จะมองเห็นนางได้ด้วยซ้ำ


เขาผุดลุกจากเตียงอย่างไม่ลังเลเปิดประตูห้องนอนโดยไม่สนใจแม้จะอยู่ในชุดนอน หัวใจวิ่งนำร่างออกไปข้างล่างมือคว้าประตูไม้ที่นำไปสู่ลานหน้าบ้านเปิดออกในพรวดเดียวลมเย็นจัดพัดตบเข้าที่ใบหน้า


เสียงหวีดหวิวของพายุหิมะแหลมบาดหูภาพตรงหน้าช่างอำมหิตกว่าฝันร้ายใดพายุหิมะขนาดยักษ์ปกคลุมท้องฟ้า หมุนวนด้วยพลังที่ไม่ใช่ธรรมชาติ


เป็นหิมะที่ไม่ได้โปรยปราย หากแต่ฟาดฟันเสี้ยววินาทีนั้น เขามองเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ภายในพายุเศษเสี้ยวของเงาร่างหญิงสาว ในชุดขาวล่องลอยคล้ายจะหลอมรวมกับสายลม


    "เกิดอะไรขึ้น"เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัวเขาโดยไม่ทันรู้ตัว หลินหันไปทางต้นเสียงพบว่าพ่อและแม่มายืนอยู่เคียงข้าง เสื้อกันหนาวหนาทึบที่ทั้งสองสวมอยู่...ไม่อาจป้องกันไอเย็นที่ไหลบ่าเข้ามาในหัวใจพวกเขาได้เลยดวงตาของผู้เป็นแม่จับจ้องไปยังเบื้องฟ้าพายุหิมะขนาดมหึมายังคงหมุนวนอยู่เหนือหัวกลืนกินแสงทั้งหมดลงไปในความมืดเย็นยะเยือกดั่งม่านดำของโชคชะตาที่ไม่มีใครหลีกพ้น


“จิตวิญญาณของนางไปแล้ว...”


เสียงของผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเย็น ไม่ต่างจากอากาศรอบกาย


มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้ไปยังกลุ่มเมฆดำทะมึนที่โหมกระหน่ำอยู่เหนือขอบฟ้า


“นางไป...พร้อมกับพายุลูกนั้น”หลินไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีฟ้าใสจับจ้องเสี้ยวความมืดที่กำลังพัดหายลับไปอย่างช้า ๆ ราวกับบางอย่างในใจเขากำลังสั่นไหวแม้สีหน้าจะยังคงเรียบนิ่ง...แต่ภายในกลับกำลังถูกกัดกร่อนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้


บางอย่างคล้ายความว่างเปล่าบางอย่างคล้ายการจากลา


ความคิดของเขากำลังไหลลื่นปะติดปะต่อทุกเศษเสี้ยวของลางสังหรณ์ที่ได้รับมาตลอดทั้งวันความหนาว ความเจ็บแปลบในอก เสียงกระซิบทุกอย่างล้วนชี้นำไปสู่จุดนี้จุดที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกแล้ว


    "นางเทพคุ้มครองบ้านเราน่ะเหรอ" แม่ของหลินเอ่ยขึ้นในที่สุด เสียงเธอสั่นเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความหนาวจากลม แต่เป็นเพราะบางอย่างในใจเริ่มปริร้าวสายตาเธอยังคงจ้องเมฆดำทะมึนที่กลืนหิมะและฟ้าทั้งผืน


หลินพยัคหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่มองพายุลูกนั้นลอยไปห่างออกไปเรื่อย ๆ โดนไม่พูดอะไรถึงแม้เขาอยากเอื้อมมือไปฉุดรั้งเอาไว้แต่เขารู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะสิ่งที่ถึงขนาดพาเทพไปได้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์อย่างเขาจะต่อกรได้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาในเวลานี้จะทำได้และที่นั้นสถานที่ที่มนุษย์ควรไป


"ทำยังไงดีคุณเทียน" ผู้เป็นพ่อเอ๋ยถามแม่ของเขาด้วยความกังวลหากเป็นเช่นนี้ฤดูหนาวจะหายไปพวกเขาในฐานะลูกหลานต้องทำอะไรบางอย่างสะแล้ว


      "ฉันรู้เมฆพวกมาจากที่ไหน แดนเทพ" ผู้เป็นแม่พูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังผู้ที่เป็นสามี


"งั้นก็ต้องไปแดนเทพ" จากนั้นสายตาทั้งสองก็มาตกอยู่ที่หลินผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเขาแม้จะกลัวลูกจะไม่ได้กลับมาแต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือจิตวิญญาณเทพคุ้มครอง


      "แดนเทพใช่ว่าอยากไปก็ไปได้ ทางเดียวที่จะไปที่นั้นได้..ต้องให้ซือหลินทำ เพราะที่เดียวที่มีประตูสู่แดนเทพคือที่นั้น" ผู้เป็นพ่อได้กล่าวกับเขาพลางเอื้อมมือตบบ่าลูกชายเลาๆ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ลูกชายต้องแบกรับนั้นนักหนาเกินกว่าเด็กคนหนึ่งจะรับได้แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถช่วยสมดุลของโลกไปนี้ไว้ได้


"โรงเรียนเทพ" โรงเรียเทพเป็นสถานที่เดียวที่มีประตูเชื่อมต่อกับแดนเทพ แต่ว่าการที่จะไปที่นั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเป็นผู้ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะสามารถขึ้นแดนเทพได้ด้วยเป็นมนุษย์การที่จะขึ้นแดนเทพนั้นเท่ากับลนหาที่ตายแต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยอยากจะไปที่นั้น เพราะการได้ขึ้นที่นั้นสิ่งที่อยากได้ก็จะได้


      "หลินนี้เป็นหน้าที่ลูกแล้วละ ลูกต้องพาจิตวิญญาณเทพคุ้มครองกลับมา"


"ครับ" หลินไม่ขัด แม้จักเป็นเหมือนคนที่ไม่สนใจคนรอบข้างหรือไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่แท้จริงข้างในสึกของเขาแคร์ความรู้สึกของผู้อื่นมิใช่น้อยเลยเพียงแต่ไม่เก่งเรื่องการแสดงออกเท่านั้นเอง


.


.


เช้าวันรุ่งขึ้นหลินก็ไปโรงเรียนตามปกติ แต่กลับไม่เหมือนทุกวันเพื่อน ๆ แม้ไม่ได้สนิทแต่ก็สังเกตุเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ปกติหลินจะเป็นเป็นคนเย็นชานิ่งงันแต่วันนี้ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับดูเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นแม้หลินจะเหมือนคนเย็นชาไม่สนโลกใบนี้แววตาของเขาว่างเปล่าแต่หาได้ขุ่นมัวไม่ แต่วันนี้กลับมีตะกอนความเศร้าออกมาให้ได้เห็น


  "หลินเป็นอะไรไหม"หญิงสาวที่นั่งข้างๆเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นถึงความผิดปกติ


   "ไม่เป็นไร" ในตอนนั้นเองหลินถึงได้เข้าใจว่าตนก็คือมนุษย์คนหนึ่งเขามีความรู้สึกเหมือนกับพวกเขาเพียงแต่ไม่รู้วิธีแสดงออกแต่เวลานี้ความรู้สึกที่มีมันมากมายจนเผลอแสดงออกมาทางแววตาให้ผู้คนได้รู้ว่าเขาเองก็คือมนุษย์


  "แต่ว่าหลินดูเศร้ามากเลยนะ"


"งั้นเหรอ"


หลินไม่ได้พูดสิ่งใดต่อจากนั้นเขานั่งเงียบจนถึงโรงเรียนบรรยากาศระหว่างทางที่นั่งรถมานั้นดูหน้าอึดอัดกว่าทุกวันที่ผ่านมา เพื่อนๆเองก็รับรู้ได้ถึงความน่าอึดอัดนั้นมาตลอดทาง หลังจากถึงโรงเรียนหลินก็มุ่งหน้าไปที่ห้องพักครูเพื่อทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนนี่เป็นการตัดสินใจที่หนักหนาสำหรับเด็กคนนึงที่แม้จะดูเย็นชามาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็คือมนุษย์มีความรู้สึกมีความผูกพันกับสถานที่ที่เขาเคยอยู่เป็นเรื่องปกติ 


"ครูครับผมมาทำเรื่องลาออกครับ" น้ำเสียงยังคงเย็นชาห่างเหินดั่งเดิมแม้จะมีความเศร้าปนอยู่เล็กน้อยแต่ด้วยที่นิสัยที่ทำเป็นอยู่หน้าเดียวเหล่าบรรดาอาจารย์จึงหาได้มีใครมองออกถึงความผิดปกตินั้น


"หลิน..คิดดีแล้วใช่ไหม"


"ครับคิดดีแล้ว"


"พ่อแม่เธอละ"


"อนุญาตครับ"


"โอเคงั้นช่วยเซ็นให้หน่อยนะ และก็ช่วงเที่ยงๆครูจะเอาไปให้ผู้ปกครองเธอเซ็นนะ"


"ครับครู" เขาทำธุระเสร็จก็กลับห้องแต่ไม่รู้เหตุใดจึงก้าวขาไม่ออกเมื่อถึงหน้าประตูห้องเรียนเขายืนอยู่หน้าห้องสักพักทำใจอยู่นานว่าเขาจะบอกคนอื่นๆยังไงดีจะต้องทำสีหน้ายังไงหลายๆอย่างเข้ามาให้เขาคิดมากมายเต็มไปหมด แล้วคุณครูก็เข้ามาพาเข้าไปลาเพื่อนได้สำเร็จ


 "เอาละนักเรียนเรามีข่าวร้ายจะมาบอก เชิญหลิน"


"คือ..วันนี้เป็นวันสุดท้าย..ที่จะอยู่ที่นี้" หลินกล้มมาลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าว นั้นทำให้เขาดูน่ารักมากขึ้นไปอีกในสายตาเพื่อนร่วมห้องการที่เขาแสดงท่าทีเหมือนว่าจะเศร้าออกมาทำให้เพื่อน ๆ นึกเอ็นดูขึ้นมาที่คนเย็นชาอย่างหลินนั้นก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ทั้งตกใจที่ทุกอย่างดูกระทันหันไปเสียหมดเช่นนี้ และเพื่อนที่ความลับของหลินนั้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไม่ได้ถามอะไรเพียงแค่นั่งเงียบๆ ไปจนหมดวันเพียงเท่านั้นเพื่อนๆ หลายคนต่างเอาของมาให้เขา บางคนก็ลูบเรือนผมสีขาวนั้นบางคนก็ร้องไห้ เพื่อนทั้งห้องเวียนเข้ามาหาหลินจนครบทุกคน ถึงวันนี้เองหลินถึงได้รู้ว่าเขาเป็นที่รักของเพื่อนๆขนาดไหน


"โชคดีนะ"ขณะรถโรงเรียนกำลังเดินทางกลับไปส่งนักเรียนแต่ละบ้านอย่างเช่นทุกวันจนมาถึงบ้านของหลิน นั้นคือคำสุดท้ายที่ได้ยินจากปากเพื่อนสนิทจะบอกว่าเพื่อนสนิทก็ได้มั้งคนที่รู้ความลับของกันก็ถือว่าสนิทได้อยู่แหละมั้ง หลินยิ้มให้ก่อนเดินเข้าบ้านในที่สุด