ชายหนุ่มเฝ้ามองผ้าเช็ดหน้าในมือ ผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวลายดอกเดซี่เล็กสีเหลืองชายผ้าถูกปักด้วยลูกไม้ สีขาว เขาเอามือลูบริมฝีปากของเขาเบาๆ นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเมื่อ 15 ปีก่อน จูบแรกของเขาและรักครั้งแรก

ปลูกหัวใจในไร่รัก - ตอนที่ 2 หนุ่มน้อยจอมกวนที่เจอระหว่างทาง โดย ละออจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,แอคชั่น,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ปลูกหัวใจในไร่รัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,แอคชั่น,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

 ปลูกหัวใจในไร่รัก โดย ละออจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชายหนุ่มเฝ้ามองผ้าเช็ดหน้าในมือ ผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวลายดอกเดซี่เล็กสีเหลืองชายผ้าถูกปักด้วยลูกไม้ สีขาว เขาเอามือลูบริมฝีปากของเขาเบาๆ นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเมื่อ 15 ปีก่อน จูบแรกของเขาและรักครั้งแรก

ผู้แต่ง

ละออจันทร์

เรื่องย่อ

     เตโช สุริยะกาลกุล หรือไฟ ชายหนุ่มวัย 23 ปี ผู้มีรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน สูงประมาณ 185 เซนติเมตร ผิวขาวเนียนดูสุขภาพดีแบบคนมีเชื้อสายจีน ผมสีน้ำตาลเข้มตัดเรียบง่ายแต่มีสไตล์ ใบหน้าหล่อเหลาคมชัดแบบลูกครึ่งไทยจีน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบแฝงเสน่ห์ดึงดูด ราวกับอ่านใจคนได้ จมูกโด่งเป็นสันได้รูป และริมฝีปากบางแต่ได้รูปยิ้มแล้วเผยให้เห็นบุคลิกที่ดูอบอุ่นและมั่นใจในตัวเอง การแต่งกายเรียบง่ายแต่ดูดี ชุดเชิ้ตสีอ่อนพอดีตัวจับคู่กับกางเกงสแล็คเนื้อดี เสริมด้วยนาฬิกาข้อมือหรูดูภูมิฐาน ท่าทางสง่างามแฝงไปด้วยความมั่นใจเขาเป็นที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของประธานบริษัทแสงสุริยะกรุ๊บที่ใหญ่ที่สุดในเครือธุระกิจแปรรูปอาหารของประเทศไทยชายเพิ่งสำเร็จการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา เขากลับมารับช่วงต่อกิจการของครอบครัว 


นอกจากกลับมารับตำแหน่งประธารแล้วสิ่งสำคอยอีกอย่างหนึ่งที่เขาจะทำมันให้สำเสร็จก็คือการตามหาเจ้าของจูบแรกของเขา รักแรกและรักเดียวของเขาเมื่อ 15 ปีก่อน พี่สาวคนสวยที่ช่วยชีวิตเขาจากการตกน้ำที่เชียงรายในครั้งนั้น พี่สาวที่ภายปอดเขาในตอนนั้น เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใครเขาจำได้แค่เพียงสัมผัสที่อ่อนนุ่มนั้นและผ้าเช็ดหน้าที่เธอเอามาเช็ดหน้าให้เขาตอนที่ฟื้นจากการสำลักน้ำเท่านั้น และเขาจะต้องตามหาเธอให้เจอให้จนได้ไม่ว่าตอนนี้เธอจะจำเขาได้หรือ หรือจะมีใครแล้วก็ตาม ขอเพียงได้พบเธออีกสักครั้งเท่านั้นเอง…

สารบัญ

ปลูกหัวใจในไร่รัก-ตอนที่1 รับสมัครผู้จัดการคนใหม่, ปลูกหัวใจในไร่รัก-ตอนที่ 2 หนุ่มน้อยจอมกวนที่เจอระหว่างทาง

เนื้อหา

ตอนที่ 2 หนุ่มน้อยจอมกวนที่เจอระหว่างทาง

 พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ฉาบเงาของทิวเขาที่ล้อมรอบด้วยความสงบ นทีวรรณขับรถยนต์คู่ใจอยู่บนเส้นทางสายชนบทที่มุ่งตรงสู่ไร่รินวารี เส้นทางที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติที่ยากจะหาใดเปรียบ พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปใกล้ขอบฟ้า ฉายแสงสีทองอ่อนลงมาต้องยอดหญ้าและผืนดิน เส้นทางที่ทอดยาวเลาะเลียบไปตามทิวเขาดูเหมือนถูกโอบล้อมด้วยผ้าคลุมสีส้มอมชมพูของแสงสุดท้ายของวัน

 หมอกบางเบาเริ่มโรยตัวลงมาปกคลุมยอดเขา เพิ่มความเยือกเย็นให้กับอากาศที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากร้อนอบอ้าวเป็นเย็นสบาย ลมพัดแผ่วผ่านใบไม้ที่เริ่มพลิ้วไหว สร้างเสียงราวกับบทเพลงธรรมชาติที่ขับกล่อมจิตใจให้สงบสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มที่ยืนเรียงรายราวกับผู้เฝ้าดูเส้นทาง ขณะที่ด้านหนึ่งของถนนเผยให้เห็นวิวของทิวเขาที่ทอดตัวเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไปจนสุดสายตา ท่ามกลางความเงียบสงบ เสียงนกตัวสุดท้ายของวันยังแว่วอยู่ไกลๆ

   ขณะที่กำลังเพลินกับเสียงเพลงที่เธอเปิดฟังในขณะขับรถสายตาเธอที่เหลือบไปมองกระจกครู่หนึ่งนั้นก็ปรากฏเห็นมีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับตามเธออยู่ไกลๆ คนขับเป็นผู้ชายดูยังหนุ่มสวมเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวที่เผยให้เห็นโครงร่างล่ำสัน เผยให้เห็นซิกแพคที่ลางๆใต้เนื้อผ้าสะท้อนถึงการดูแลร่างกายอย่างดี คลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตแขนยาวที่ปล่อยชายอย่างไม่เป็นทางการ เพิ่มลุคแบบสบายๆ แต่มีสไตล์ เสื้อเชิ้ตนั้นพลิ้วไหวเล็กน้อยตามแรงลมเมื่อเขาขับรถ ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยหมวกกันน็อคสีดำสนิท เธอทบทวนความจำนึกขึ้นได้ว่าเห็นมอเตอร์ไซคันนี้ขับออกมาพร้อมๆกับเธอตอนออกจากห้างสรรสินค้าในเมืองเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

  “ แปลกจัง รถคันนี้มาทางเดียวกับหรอ เอ๊ะหรือขับตามมา ไม่เคยเห็นคนและรถแบบนี้แถวนี้มาก่อนเลยนะ คงไม่มีไรหรอกคิดมากไปเองละมั้งเรา ”        

นทีวรรณพึมพรำกับตัวเองเบาๆ และบังคับรถเคลื่อนไปสู่จุดหมายปลายทางต่อ ไปอย่างเร่งรีบเพราะนอกจากกลัวจะมืดค่ำแล้วก็ยังแอบกลัวรอมอเตอร์ไซค์ที่ตามมาอยู่ด้วย

ครึกๆ ครึกๆ เสียงเครื่องยนต์ที่ผิดปกติและเหมือนเครื่องจะดับลงหญิงสาวพยายามประครองรถจอดเลียบเข้าข้างทางเครื่องยนต์รถตอนนี้ดับสนิท นทีวรรณพยายามสตาร์ทรถอีกครั้งแต่เครื่องยนต์ดับสนิท เธอตัดสินใจก้าวลงจากรถ เพื่อจะไปดูอาการของรถว่าเกิดอะไรขึ้น พลางมองดูรอบๆ อย่างลำบากใจ เสียงลมพัดแผ่วผ่านใบไม้ส่งเสียงเหมือนปลอบโยน 

“ อะไรกันอีกล่ะวันนี้…”

 เธอบ่นพึมพำ ขณะที่พยายามเปิดฝากระโปรงรถเพื่อดูปัญหา แต่มันดูซับซ้อนเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์ เสียงมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามาเธอหันไปมองพบว่าเป็นมอเตอร์ไซคันที่ตามมานั้นเองเขาจอดมอเตอร์ไซค์ตรงข้างเธอ ชายหนุ่มดับเครื่องและถอดหมวกกันน็อคออก เผยใบหน้าตี๋หล่อสะอาดสะอ้าน ริมฝีปากบางเรียบได้รูป แววตาคมเป็นประกายซ่อนความมั่นใจในตัวเองอย่างลึกซึ้ง หนุ่มน้อยวัยรุ่นรูปร่างสูงโปร่งดูโดดเด่นสะดุดตา เขามีผิวขาวเนียนตัดกับแสงอ่อนของพระอาทิตย์ยามเย็น ภาพหนุ่มน้อยตรงหน้าทำให้หัวใจของนทีวรรณเต้นไม่เป็นจังหวะและแอบเผยยิ้มมุมปากอย่างไม่ได้ตั้งตัว ใจเต้นอะไรเนี๊ยธารใสเป็นบ้าอะไร เธอดุตัวเองในใจ


  “รถเสียเหรอครับเจ๊ ?

      เขาถามเสียงเรียบๆ แต่แววตานั้นดูเหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ประโยคที่เขาทักเธอนี่สิช่างเรียกคนอื่นแบบไม่มีมารยาทเสียจริงเชียวนทีวรรณคิดในใจ เธอมองเขาด้วยความแปลกใจแต่จำใจต้องตอบเพื่อขอความช่วยเหลือ


“ น่าจะแบบนั้น ขับๆมาอยู่ก็ดับไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร…”

เธอตอบและแอบรู้สึกถึงความอบอุ่นแปลกๆ จากการที่เขาโผล่มาในจังหวะที่เธอเดือดร้อนพอดี

“ ให้ผมช่วยไหมละเจ๊ เดี๋ยวผมลองดูให้ก่อนดีกว่าเผื่อซ่อมได้ ”

เขาตอบแล้วเดินตรงไป ก้มลงสำรวจเครื่องยนต์รถของเธอ นทีวรรณยืนดูเขาที่ชายหนุ่มตรวจดูรถด้วยท่าทางคล่องแคล่วเหมือนคนที่คุ้นเคยกับการซ่อมเครื่องยนต์อยู่ไม่น้อย แสงแดดสุดท้ายสะท้อนบนเส้นผมและแผ่นหลังของเขา ทำให้เขาดูสง่างามท่ามกลางบรรยากาศของทิวเขาไม่นานนัก เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยแววตาสิ้นหวัง

 “ เรื่องใหญ่แล้วละเจ๊ น่าจะไดชาร์จเสียรถเลยไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ ทำให้ไฟหมดระหว่างเดินทาง ”

 “ แล้วฉันต้องทำไงละที่นี่ ” 

 นทีวรรณตอบเขาด้วยน้ำเสียเป็นกังวล

“ ผมว่านะคงต้องหารถมาลากไปอู่ละครับเจ๊ เจ๊พอรู้จักช่างหรืออู่แถวนี้หรือเปล่า ”       

“ อืม งั้นเดี๋ยวฉันโทรหาคนมาช่วยลากรถก่อนดีกว่าจะมืดจะค่ำแล้ว ขอบคุณนายมากนะหนุ่มน้อย” 

“ โอ๊ยเจ๊มาเรียกผมว่าหนุ่มน้อยได้ไง โธ่ผมมีชื่อนะผมชื่อไฟครับผม เจ๊ละชื่ออะไร ”

  ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงยียวนหยอกเย้านทีวรรณ

  “ เออ เออ ขอบคุณนะไฟ นายก็เหมือนกันและเลิกเรียกฉันว่าเจ้สักทีเถอะเสียมารยาทจริงๆ” 

 “ แล้วจะให้เรียกว่าไรละครับ เรียกว่าป้าหรา เจ๊ก็ดูไม่แก่ขนาดนั้นนะ”

“ นี่นาย ทำไมเป็นเด็กปากร้ายแบบนี้นะ นทีวรรณ ฉันชื่อว่านทีวรรณ เรียกฉันว่าคุณนทีวรรณก็ได้นะ เพราะฉันน่าจะโตกว่านายเยอะเลยละ ”

“ เรียกพี่ได้ไหมละ เรียกคงเรียกคุณแบบนั้นมันดูห่างเหินอะ”

“ ห่างเหินอะไรยะ เราเพิ่งรู้จักกัน เออจะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะฉันขี้เกียจจะเถียงกับนายละ ”

นทีวรรณตอบด้วยน้ำเสียงหงุดในขณะที่ชายหนุ่มอมยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจที่สามารถยี่ยวนกวนใจนทีวรรณได้สำเสร็จ ท้องฟ้าที่เคยสดใสค่อยๆ มืดครึ้มเมฆฝนปกคลุมอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องดังก้องสะท้อนไปทั่วทิวเขา ลมเริ่มพัดแรงจนต้นไม้สองข้างทางโยกไหว ก่อนที่สายฝนเม็ดแรกจะตกกระทบลงบนพื้นดินกลายเป็นเสียงดังกริบๆ และในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ฝนก็ตกลงมาอย่างกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว

“ ฝนมาแล้ว! หาที่หลบกันก่อนเถอะ!” เตโชพูดพร้อมคว้าแขนของนทีวรรณให้วิ่งตามเขาไปอย่างรวดเร็ว สองรีบวิ่งไปยังศาลาข้างทางที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ภายในศาลาไม้เก่าๆ ที่ให้ร่มเงาอยู่พอประมาณ ทั้งสองนั่งลงตรงมุมหนึ่ง หอบเล็กน้อยจากการวิ่งฝ่าฝน เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นไปบางส่วน เส้นผมของนทีวรรณเริ่มเกาะหน้าเธอเล็กน้อย ขณะที่เตโชหันไปมองเธอพร้อมรอยยิ้มบางๆ หญิงสาวพิมพ์ข้อความขอความช่วยเหลือส่งไปที่ไร่

“ เปียกหมดเลยคุณ…หนาวไหม?” เขาถาม ขณะที่ถอดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตที่คลุมตัวอยู่แล้วส่งให้เธอ

“ ขอบคุณนะ… แต่ไม่เอาดีกว่าฉันไม่สะดวก”

“ รังเกียจเสื้อคนจนๆอย่างผมหรา”

“ ไม่ใช่แบบนั้นนะ ฉันแค่ไม่คุ้นเคยกับนายก็เลยเกรงใจเท่านั้น” 

“ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ดูสิลมแรงขนาดนี้ฝนก็ตกหนักคุณจะหนาวตายเสียกันพอดี”      

ชายหนุ่มพูดแล้วหยิบเสื้อมาคลุมลงบนร่างของหญิงสาว นทีวรรณสะดุ้งเบาๆไม่นึกว่าเจ้าเด็กนี่จะกล้าจู่โจมมาคลุมเสื้อให้เธอแบบนี้ เสียงฝนยังตกกระหน่ำลงมาบนหลังคาศาลาดังก้องไปทั่ว บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด มีเพียงเสียงลมหอบแรงที่พัดพาฝนซัดเข้ามาบางส่วน ทั้งสองต่างนั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่พระเอกจะพูดขึ้นมาเบาๆ


“ เออเจ๊ เอยพี่สาวมีชื่อเล่นไหม ชื่อเมื่อกี้มันยาวอะจำไมได้ ”

      หญิงสาวถอนหายใจแอบรำคาญหนุ่มน้อยจอมกวนคนนี้อยู่เล็กน้อย แต่ก็จำใจต้องตอบบทสนทนาออกไป


 “ธารใส” 


 เธอตอบสั้น ๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“ ชื่อเพราะนะครับ งั้นผมเรียกพี่ธารใสละกัน”


“ ตามสบายจะเรียกอะไรก็แล้วแต่เธอละกัน 


“ แต่ผมอยากให้พี่จำชื่อผมไว้ด้วยนะ ผมชื่อไฟ น้องไฟสุดหล่อ ”


เตโชพูดพลางยืนหน้าไปใกล้ๆนทีวรรณแล้วยิ้มกว้างพร้อมยกคิ้วเบาแกลมแกล้งหยอกล้อ การกระทำแบบนี้ของเตโชถึงกับทำให้เธอชะงักหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหลบ


“ อืม รู้แล้วไม่ต้องมาใกล้ขนาดนี้หรอก”


เตโชค่อยๆถอยใบหน้าเขายิ้มอมยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ เขาขยับมือจับสำรวดเสื้อยืดสีขาวของเขาไปทั่วๆ เช็คดูว่ามีเปียกหรือเปล่า เจ้าเสื้อยืดพอดีตัวที่ชื้นด้วยละอองฝนเล็กน้อยเบียดชิดกับร่างกานกำยำของชายหนุ่มเผยให้เห็นซิกแพคบนออกกว้างที่แข็งแรงของชายหนุ่ม นทีวรรณเหลือบไปมองอกกว้างของเขาครู่หนึ่งก่อนจะรีบหลบสายตา เมื่อเขาหันมามองที่เธอ


“ อันแน่เจ๊ แอบมองซิกแพคผมหรา ”


เตโชพูดแล้วยิ้มกว้างแกลมหัวเราะใส่นทีวรรณ


“ จะบ้าหราใครเค้าอยากดูอะไรแบบนั้นกัน นายนิเดี๋ยวเถอะ !”       


       นทีวรรณตอบเขาด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโห รู้สึกเขินอายกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดจนบัดนี้ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ


“ แหมพี่ไม่ต้องเขินหรอก ผมไม่หวง ดูได้เลย ฮาฮาฮา”


เขาหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเบือนสายตาออกไปมองสายฝนที่เริ่มซาลงเล็กน้อย ทิ้งให้นางเอกนั่งเงียบพลางพยายามสงบสติอารมณ์ แต่หัวใจที่เต้นแรงกลับไม่ยอมสงบง่ายๆ ในบรรยากาศอึดอัดปนหวานลึกๆแบบบอกไม่ถูก ไอ้เด็กบ้านิ! เกิดมาไมjเคยเจอเด็กอะไรแบบนี้เลย เมื่อไหร่คนที่ไร่จะมานะ ไมอยากอยู่ตรงนี้แล้วเขินจะแย่ หญิงสาวพูดกับตัวเองในใจ


        สายฝนที่เคยกระหน่ำอย่างหนักหน่วงเริ่มเบาบางลงจนเหลือเพียงละอองฝนโปรยปราย เสียงหยดน้ำที่กระทบหลังคาศาลาไม้เก่าดังเป็นจังหวะเบาๆ ราวกับเพลงปลอบประโลมจากธรรมชาติ อากาศรอบตัวเย็นชื้นแต่สดชื่น กลิ่นดินและหญ้าที่เปียกชุ่มอบอวลอยู่ในอากาศ


     “ดูเหมือนฝนจะหยุดแล้ว”


     เขาเอ่ยเสียงนุ่ม สายตาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปิดเผยเส้นสีทองของพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า นทีวรรณพยักหน้าช้าๆ 


    “โชคดีนะที่มีศาลานี้ ไม่งั้นคงเปียกกว่านี้” 


     เธอพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ


     ในจังหวะนั้น เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วมาจากระยะไกล ไฟหน้ารถสว่างจ้าตัดกับบรรยากาศหม่นๆ ของเส้นทางที่ยังเปียกชื้น รถกระบะคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้ ก่อนจะจอดนิ่งตรงหน้าศาลา รถเก๋งคัยหนึ่งจอดเทียบก่อนจะมีรถหกล้ออีกคันขับตามมาจอดต่อกัน

     

     “แม่เฮี้ยงครับ!”


     เสียงลุงอินตาดังขึ้นดังขึ้นขณะที่เขาก้าวลงจากรถพร้อมร่มคันใหญ่ ลุงอินตาถือร่มแล้วรีบวิ่งมาที่ศาลาอย่างรวดเร็วเพื่อจะรับผู้เป็นนายหญิงวของเขารถ แม้ยังมีละอองฝนโปรยปรายอยู่ นทีวรรณยิ้มโล่งใจ ลุงอินตาเดินมาหยุดที่ศาลา


     “แม่เลี้ยงครับ ขึ้นรถเต๊อะครับ เดี๋ยวฝนจะตกหนักกว่าเก่า ส่วนรถแม่เลี้ยง เดี๋ยวฮื้อคำตันกับคนงานช่วยลากไปไว้ที่อู่ ใกล้ๆ กับไร่เฮา”


    “ ได้จ๊ะ ลุง แป๊บนะ”  

    หญิงสาวพูดแล้วหันไปมองที่ชายหนุ่ม


     “ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูรถให้ ” 

      เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง เตโชยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า 


     “ไม่เป็นไรหรอกเจ๊ ไว้เจอกันรอบหน้าผมจะทวงบุญคุณละกัน”


      คำตอบของเจ้าหนุ่่มทำเอาบหยน้าที่กำลังส่งยิ้มให้เขาอยู่เปลี่ยนเป็นบึ่งตึงทันที่


     “ ได้! ไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอการได้เจอกัน ฉันจะตอบแทนบุญคุณละกัน ฉันไปละอ่อแล้วนายกลับยังไงจะมืดค่ำแล้วด้วย ” 


     “ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกเดี๋ยวฝนหยุดผมก็ขับมอเตอร์ไซด์กลับบ้านเองละ” 


     “ โอเค งั้นไปละ กลับดีๆนะ”

      เขาไม่ตอบ แต่รอยยิ้มมุมปากของเขาและแววตาที่มองตามหลังเธอไปส่งคำพูดที่เธอไม่ต้องการได้ยินให้ชัดเจน หญิงสาวรีบเดินขึ้นรถไป เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับฝนที่แทบจะหยุดสนิท ทิ้งไว้เพียงแสงสุดท้ายของวันและชายหนุ่มที่ยืนอยู่ในศาลา มองรถที่แล่นหายไปในเส้นทางเปียกชื้น พร้อมรอยยิ้มที่ยังค้างอยู่บนใบหน้า


       “เราต้องได้เจอกันอีกแน่นอนพี่สาว ผมจะไม่ยอมให้คุณจากไปไหนอีกแล้ว ธารใส รักแรกรักเดียวของผม”