“นี่ประธานชมรม… หรือพี่เลี้ยงส่วนตัวกันแน่ ดูแลดีจนใจสั่นไปหมดแล้ว!”

Love society รักนะนายประธานชมรม - chapter จุดเริ่มต้น โดย เจ้าแพนด้าขอบตาดำ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,วัยว้าวุ่น,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Love society รักนะนายประธานชมรม

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,วัยว้าวุ่น,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

 Love society รักนะนายประธานชมรม โดย เจ้าแพนด้าขอบตาดำ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

“นี่ประธานชมรม… หรือพี่เลี้ยงส่วนตัวกันแน่ ดูแลดีจนใจสั่นไปหมดแล้ว!”

ผู้แต่ง

เจ้าแพนด้าขอบตาดำ

เรื่องย่อ

ชื่อเรื่อง: Love Society รักนะนายประธานชมรม






---




เนื้อเรื่องย่อ (เวอร์ชันปรับปรุง):




พี่โน่ หนุ่มหล่อมาดเท่แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ปีสาม เป็นที่รู้จักในฐานะประธานชมรมถ่ายภาพผู้เปี่ยมเสน่ห์ ไม่เพียงเพราะหน้าตาหล่อเหลา แต่ด้วยฝีมือการถ่ายภาพที่โดดเด่น ทำให้เขาเป็นที่จับตามองในมหาวิทยาลัย ถึงจะดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่ในใจเขากลับซ่อนความโดดเดี่ยวและแรงกดดันจากการเป็นที่คาดหวัง




จนกระทั่งวันหนึ่ง ใบพู เด็กปีหนึ่งจากคณะสัตวแพทย์ ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา ใบพูคือน้องชายเพื่อนสนิทในสมัยมัธยมของโน่ เด็กหนุ่มที่เคยเป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อโตขึ้น ใบพูกลับแสดงออกถึงความตั้งใจและมุมมองอันลึกซึ้ง โดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายภาพ ความหลงใหลในกล้องและเลนส์ของใบพู กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับมาทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง




พี่โน่ และ ใบพู เริ่มใกล้ชิดกันในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องและสมาชิกชมรมการถ่ายภาพ แต่ในระหว่างที่ความสนิทสนมค่อยๆ เติบโต สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่า "พี่น้อง" หรือ "เพื่อนร่วมชมรม" ทั้งคู่ต้องเผชิญกับความสับสนในหัวใจ และตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดานี้




ปัญหาใหญ่คือ ใบพูรู้สึกว่าตัวเองอาจไม่เหมาะสมกับคนที่เพียบพร้อมอย่างพี่โน่ ขณะที่พี่โน่เองก็กลัวว่า การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับ "น้องชายของเพื่อนสนิท" อาจส่งผลกระทบต่อทุกอย่างรอบตัว






---




ธีมเรื่อง:




การเติบโต: เรียนรู้ที่จะยอมรับและเชื่อมั่นในตัวเอง




มิตรภาพและความรัก: การก้าวข้ามขีดจำกัดของความสัมพันธ์เดิม




การถ่ายภาพ: เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการจดจำช่วงเวลาสำคัญและสะท้อนมุมมองของชีวิต






ตัวละครหลัก:




พี่โน่: ประธานชมรมถ่ายภาพมาดนิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเลนส์และแสงเงา แต่ลึกๆ กลับแอบซ่อนตัวตนที่เปราะบาง




ใบพู: เด็กหนุ่มที่ดูธรรมดาแต่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง ชอบมองโลกผ่านกล้องถ่ายภาพ และมีความสามารถที่ซ่อนอยู่








---




เรื่องราวนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและการเดินทางของตัวละครทั้งสองในการค้นพบตัวเองและความหมายของคำว่า "รัก" สนใจปรับอะไรเพิ่มอีกไหม?



สารบัญ

Love society รักนะนายประธานชมรม-chapter จุดเริ่มต้น, Love society รักนะนายประธานชมรม-chapter 1 บังเอิญเหมือนตั้งใจ

เนื้อหา

chapter จุดเริ่มต้น






เพนท์เฮ้าส์พี่โน่





ใบพูในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา เสียงน้ำจากฝักบัวในห้องน้ำดังเป็นจังหวะ ก่อนที่พี่โน่ในชุดลำลองจะเดินออกมาเช็ดผม พลางเหลือบมองคนที่นั่งหัวเราะเบาๆ กับหน้าจอโทรศัพท์


“ขำอะไรอีกล่ะ?” พี่โน่ถาม พลางเดินไปนั่งข้างๆ


“เปล่าครับ พอดีเจอรูปเก่าในโทรศัพท์ เลยนึกถึงตอนที่พี่แกล้งผมวันนั้น” ใบพูพูดพร้อมโชว์รูปในโทรศัพท์


เป็นภาพใบพูตอนโดนพี่โน่เอาใบไม้มาติดหัวระหว่างกิจกรรมชมรม


“ฮ่าๆ วันนั้นน่ะเหรอ? ก็เราทำหน้าเหวอได้น่ารักดี พี่เลยอดแกล้งไม่ได้” พี่โน่หัวเราะขำ พลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มใบพูเบาๆ


ใบพูทำหน้าเขินเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองหน้าพี่โน่


“พี่รู้ไหม… ตั้งแต่วันนั้น ผมก็เริ่มชอบพี่แล้ว”


พี่โน่หยุดเช็ดผมทันที ก่อนจะยิ้มบางๆ พร้อมตอบกลับเสียงนุ่ม


“แล้วรู้ไหม… ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน พี่ก็คิดว่าเราไม่เหมือนใคร”


คำพูดนั้นทำให้ใบพูหน้าแดงจัด รีบหันกลับไปทำทีเป็นเล่นโทรศัพท์ต่อ พี่โน่มองใบพูด้วยสายตาอบอุ่น ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ


“พี่ว่าถ้าจะเขินขนาดนี้ เรามาย้อนดูความหลังกันหน่อยดีไหม ว่าเรามาไกลกันขนาดไหนแล้ว”


ใบพูเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย


“ย้อนยังไงครับ?”


พี่โน่ลุกไปหยิบกล้องตัวเก่าที่ตั้งอยู่บนชั้น ก่อนจะเปิดภาพที่ถ่ายไว้ตั้งแต่วันแรกที่ใบพูเข้าชมรม


“ก็ดูจากตรงนี้ไง… จุดเริ่มต้นของเรา”


ภาพในกล้องฉายให้เห็นช่วงเวลาต่างๆ ที่ทั้งคู่เคยใช้ร่วมกัน ตั้งแต่ใบพูยังเป็นน้องใหม่ไร้ประสบการณ์ จนถึงวันที่เขาเริ่มถ่ายภาพได้ดี


จากนั้นเรื่องราวก็ย้อนกลับไปเล่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างพี่โน่กับใบพู ตั้งแต่วันแรกที่พบกันในชมรมถ่ายภาพ




----








-ย้อนไปเมื่อหนึ่งปีก่อน-




ในวันที่แดดอ่อนๆ ของช่วงต้นเทอมใหม่ พี่โน่ หัวหน้าชมรมถ่ายภาพที่ทุกคนยอมรับในฝีมือและความนิ่งขรึม กำลังนั่งจัดเรียงกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพอยู่ในห้องชมรม เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับการรับสมัครสมาชิกใหม่ เพราะส่วนใหญ่ก็มาๆ หายๆ ไม่ค่อยจริงจังกันนัก


แต่วันนั้น มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าห้อง ก่อนที่ประตูจะถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงที่โน่ไม่คิดว่าจะได้ยินอีก




“พี่โน่?”




เขาเงยหน้าขึ้น และพบกับใบหน้าที่คุ้นเคยของเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง ใบพู น้องชายของใบพัด เพื่อนสนิทของเขา ใบพูยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง


“นาย?” โน่เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ


“จำได้ด้วยเหรอครับ นึกว่าจะลืมไปแล้ว” ใบพูเดินเข้ามาในห้อง ท่าทางมั่นใจขึ้นมากจากเมื่อก่อน ตอนที่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ชอบวิ่งตามหลังพี่ชายของตัวเอง


“ยากจะลืม…” โน่พูดพลางวางอุปกรณ์ในมือ “นายมาที่นี่ทำไม?”


“สมัครชมรมไงครับ” ใบพูตอบง่ายๆ “ผมอยากถ่ายรูปเป็นแบบพี่โน่บ้าง”


คำพูดตรงไปตรงมานั้นทำให้โน่ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “งั้นก็ยินดีต้อนรับ หวังว่านายจะอยู่ได้นานกว่าสมาชิกบางคน”




ตลอดสัปดาห์แรก ใบพูดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจของชมรมไปโดยปริยาย ด้วยบุคลิกที่สดใส มีชีวิตชีวา และเข้ากับคนง่าย ต่างจากโน่ที่เงียบขรึมและจริงจังเกินไปในสายตาหลายคน


“พี่โน่ครับ” ใบพูเรียกขึ้นในเย็นวันหนึ่งหลังการประชุมชมรมจบลง “พอจะสอนผมเรื่องการจัดแสงหน่อยได้ไหม? ผมดูในคลิปแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ”


โน่มองน้องชายของเพื่อนสนิทที่ยืนถือกล้องอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้ตอบอะไร แค่พยักหน้าและเดินไปหยิบไฟสตูดิโอ “มานี่ เดี๋ยวสอน”


ขณะที่โน่กำลังสอน ใบพูยืนฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาดูเป็นประกายทุกครั้งที่โน่อธิบายอะไร แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับโน่ มันทำให้เขารู้สึกถึงความจริงจังของเด็กคนนี้


“พี่โน่…” ใบพูพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่ “พี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ ไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่ดุจนผมกลัวจะไม่กล้ามองหน้า”


“ก็โตขึ้น” โน่ตอบเรียบๆ พร้อมกับยิ้มบางๆ “แล้วนายล่ะ โตแล้วเหมือนกัน แต่ยังชอบป่วนเหมือนเดิม”


ใบพูหัวเราะเสียงดัง “ก็แค่กับพี่โน่ไงครับ ผมอยากให้พี่โน่ยิ้มบ้าง ไม่อยากให้ดูเครียดตลอด”


คำพูดนั้นทำให้โน่อึ้งเล็กน้อย แต่เขาก็แค่พยักหน้ารับ “อย่าเพิ่งพูดดีไป มึงยังไม่รู้ว่ากูเป็นหัวหน้าชมรมที่โหดแค่ไหน”


“ไม่กลัวหรอกครับ” ใบพูยิ้ม “พี่โน่ดุแค่ไหน ผมก็อยู่ได้”


ในช่วงเวลาที่ทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน ความทรงจำเก่าๆ ก็กลับมาในใจของโน่ เขาจำได้ว่าใบพูเคยเป็นเด็กที่วิ่งตามเขาและพี่ชายของตัวเองไปทุกที่ ไม่ว่าจะเล่นบาสเก็ตบอล หรือออกไปถ่ายภาพกลางแจ้ง


แต่ในตอนนี้ ใบพูไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้ว… เขาโตขึ้นจนทำให้โน่เริ่มสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ความสดใสของใบพูค่อยๆ เจาะผ่านกำแพงที่โน่สร้างขึ้นมาระหว่างตัวเองกับคนอื่น และทำให้หัวใจของเขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด




---






โรงอาหารคณะแพทย์






ช่วงเที่ยง โรงอาหารคณะแพทย์แน่นไปด้วยนักศึกษาชุดกราวน์ที่นั่งเรียงรายเหมือนการประชุมระดับชาติ ใบพูเดินตามหลังพิ้งค์และเก้าที่ถือถาดอาหารไปด้วยท่าทางเซ็งๆ


ผม พิ้งค์ และเก้าเป็นนักศึกษาคณะสัตวแพทย์ปีหนึ่ง แต่พวกเขาก็มีความชอบแปลกที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือการชอบมานั่งกินข้าวที่โรงอาหารคณะแพทย์ ทั้งที่เป็นการยอมรับว่าความเป็นจริงที่คณะสัตวแพทย์ของพวกเขาก็มีอาหารดีๆ ให้เลือกไม่ขาด แต่โรงอาหารคณะแพทย์มันกลับกลายเป็นที่ที่พวกเขาชอบไป “ลอบ” กินข้าวแทน


“บอกตรงๆ กูโคตรไม่อยากมากินข้าวที่นี่เลย” ใบพูบ่น “เหมือนกูต้องมาวิจัยเรื่องข้าวหมูทอด”


พิ้งค์หัวเราะ “มึงนี่มองโลกแคบ กูพามาเปิดประสบการณ์เว้ย โรงอาหารหมอนี่มีทุกอย่าง ทั้งข้าวดี บิงซูฟรี แล้วก็ความเครียดแถมฟรี”


เก้าส่ายหัว “เออ จริง แต่ทำไมกูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเคสคนไข้จิตเวชตั้งแต่มาเหยียบที่นี่”


“ถ้าเป็นจริง มึงน่าจะต้องเข้าฉุกเฉินก่อนเพื่อน” ใบพูแหย่ ทำเอาเก้าชี้หน้ากลับ “มึงนี่ปากดีตลอดนะไอ้พู!”


หลังจากหาที่นั่งริมหน้าต่างได้ ทั้งสามวางถาดลงแล้วเริ่มกินทันที แต่ไม่ทันไร พิ้งค์ก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปข้าวหมูทอดในจานใบพู


“อะไรของมึงอีกไอ้พิ้งค์?” ใบพูถามพลางขมวดคิ้ว


“แสงมันดีเว้ย! เดี๋ยวลงไอจี ให้คนอื่นรู้ว่ามีชีวิตมหาลัยที่ไฮโซสุดๆ”


“มึงลงไอจีด้วยรูปข้าวหมูทอดราคา 25 บาทเนี่ยนะ?” เก้าพูดพร้อมหัวเราะลั่น “ชีวิตหรูหราเหี้ยอะไรของมึงวะ?”


พิ้งค์ยักคิ้ว “ไอจีมันต้องเรื่องภาพลักษณ์เว้ย ไม่ใช่ความจริง”


“ถ้าอย่างนั้นก็ลงชื่อร้านไปด้วย ว่า ‘ข้าวหมูทอดแห่งอนาคต’” ใบพูพูดประชด แต่พิ้งค์รีบพยักหน้าอย่างจริงจัง


“เออ ชื่อนี้ดูเก๋ดีนะเว้ย!”


“ไอ้บ้า กูประชด!” ใบพูสวนกลับ แต่ก่อนจะทันด่าอะไรต่อ เก้าก็โพล่งขึ้นมาขัดจังหวะ


“พู มึงกินเร็วๆ หน่อยดิ เดี๋ยวบิงซูหมด!”


“เออๆ กูรู้แล้ว!” ใบพูรีบกินหมูทอด แต่ไม่ทันไร เก้าก็หัวเราะอีกครั้ง


“ไอ้พู มึงนี่กินเหมือนมีใครแย่ง ข้าวติดปากเหมือนหมูตัวนั้นจะกลับมาแก้แค้นเลยมึง”


“กูจะฆ่ามึงแน่ๆ วันนี้!” ใบพูวางช้อนแล้วพุ่งไปดึงหูเก้า


พิ้งค์หัวเราะลั่น “ใจเย็นๆ พวกมึง ใครห้ามเลือดก่อนได้กินบิงซู!”


ขณะที่สามคนเล่นกันเสียงดัง โต๊ะข้างๆ กลุ่มนักศึกษาหมอก็หันมามองด้วยสายตาเคร่งขรึม ทำเอาใบพูชะงักทันที


“มึงเบาเสียงหน่อยดิวะ เดี๋ยวพวกหมอคิดว่าเราต้องรักษาก่อนเวลาอันควร” ใบพูหันไปกระซิบ


“เฮ้ย ถ้าพวกเขาคิดงั้น กูว่ามึงนี่แหละตัวคนไข้ที่ต้องหามขึ้นเตียง!” เก้าพูดพร้อมหัวเราะลั่น


พิ้งค์ยักคิ้ว “ถ้าต้องเข้าห้องผ่าตัด กูจะไปช่วยถ่ายรูปให้มึงนะพู แสงในห้องน่าจะสวย!”


“ไอ้พวกบ้านี่ กูจะไม่มาด้วยอีกแล้ว!” ใบพูพูดเสียงดัง ก่อนจะก้มหน้ากินต่อพลางแอบคิดในใจว่าเขาควรเปลี่ยนเพื่อนใหม่หรือเปล่า




ขณะที่สามคนเริ่มสงบลง เสียงกระซิบข้างหลังดังขึ้น


“พวกเขามาจากชมรมถ่ายภาพเหรอ? ทำไมดูเหมือนชมรมโคนัน?”


เก้าหันไปข้างหลังแล้วพึมพำกลับ “มึงหมายถึงชมรมโคนันเวอร์ชันไม่มีสมองอะเหรอ?”


พิ้งค์กลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว “มึงต้องเป็นหัวหน้าชมรมโคนันแน่ๆ เลยพู เพราะมึงดูเหมือนจะตายก่อนเพื่อน”




หลังจากที่ทั้งสามคนทานข้าวเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งเล่นกันอยู่ในโรงอาหาร ก่อนจะเริ่มพูดคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวกับชมรมที่เพิ่งสมัครเข้ามาในมหาวิทยาลัย


เก้ากล่าวขึ้นก่อน “เอาจริงๆ กูเพิ่งสมัครชมรมกีฬาไปนะ”


พิ้งค์หันไปมองเก้าอย่างงงๆ “ชมรมกีฬา? มึงจะไปเล่นอะไรกับเขา?”


“ก็ไปเล่นบาสไง” เก้าตอบพร้อมทำท่าหยิบลูกบาสขึ้นมา แล้วกระโดดเลี้ยงลูกบาสไปทางข้างหน้า


“แค่ท่ากระโดดเลี้ยงลูกบาสมึงกูยังดูไม่ออกเลยว่าเป็นบาสหรือเป็นนักยิมนาสติก” พิ้งค์พูดแล้วขำออกมา


ใบพูหันไปมองเก้าด้วยสีหน้าสงสัย “เฮ้ย เก้าจริงเหรอว่ะ? มึงน่าจะไปสมัครชมรมติวคณิตศาสตร์มากกว่า”


เก้าทำหน้าเคร่งขรึม “ไม่! กูเลือกเล่นกีฬาให้ร่างกายฟิต ไม่ใช่คิดแต่เรื่องสมอง!”


พิ้งค์ยิ้มกวนๆ “เห็นทีจะเป็น… กีฬาแค่เลี้ยงขนมไปปากกับข้าวเท่านั้นล่ะมั้ง”


เก้าหันขวับไป “มึงพูดแบบนี้ได้ไง!”


พิ้งค์ยักไหล่ “เออ ถามจริง พวกมึงสมัครชมรมอะไรกันบ้าง?”


ใบพูบ่นเบาๆ “กูสมัครชมรมถ่ายภาพไปอะ”


“ถ่ายภาพ?” พิ้งค์ถามอย่างทึ่ง “ทำไมมึงถึงไปสมัครชมรมถ่ายภาพ? ไม่เห็นมึงจะชอบถ่ายรูปอะไรเลย”


“ก็มันชอบเงียบๆ นะ ทำไมต้องไปรบกวนความสงบของชีวิตมึงตลอด” ใบพูตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ


“สงบอะไรล่ะ?” เก้าหัวเราะ “มึงไปถ่ายภาพอะไร? ถ่ายข้าวหมูทอดเหรอ?”


ใบพูทำท่าทำตาเคร่งขรึม “ถ้ามึงพูดแบบนี้ กูจะเปลี่ยนไปสมัครชมรม ‘พวกมึงน่ารำคาญ’ ซะเลย!”


พิ้งค์หัวเราะและพูดเสียงแหลม “เออ กูว่าแล้วมึงต้องทำอะไรเงียบๆ แล้วไปหามุมถ่ายรูปแปลกๆ ชีวิตมึงมันน่าสนุกมาก!”


ใบพูมองหน้าพิ้งค์อย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ต้องมาชวนกูเข้าร่วมชมรมนี้เลย”


เก้าตบไหล่ใบพู “จริงๆ กูว่าเขาถามถูกแล้ว ถ้ามึงไปถ่ายรูปข้าวหมูทอดที่โรงอาหารพวกหมอ เขาน่าจะฟินกว่า”


“โอเค กูจะถ่ายให้มันฟินเลย” ใบพูตอบพร้อมทำท่าทางเหมือนถือกล้องใหญ่ๆ ขึ้นมาถ่ายรูปหมูทอดอย่างจริงจัง


พิ้งค์ขำลั่น “ถ้ามึงถ่ายแบบนั้น กูจะไปคอลเจอร์รูปหมูทอดมาฝากมึงให้สมจริงเลยนะ”


“แต่จริงๆ กูว่ามึงสองคนควรสมัครชมรม ‘ขี้เกียจที่สุด’ มากกว่า” ใบพูบ่น


เก้าหัวเราะทันที “เออ คิดถูกแล้ว แต่อย่าลืมติดต่อกับพวกเรานะ กูจะเอาเรื่องของคณะสัตวแพทย์ไปเล่าให้ฟัง”


พิ้งค์ทำหน้ามึน “มึงจะเล่าอะไร? ว่าพวกหมอเขามีวิธีการให้บิงซูฟรีเหรอ?”


ใบพูจ้องพิ้งค์อย่างแรง “ถ้าอย่างนั้น พวกมึงก็ไปสมัครชมรม ‘พูดเก่งที่สุด’ ไปซะเลย!”


เก้าหัวเราะจนท้องแข็ง “ไม่ได้เว้ย! เขากำลังจะสมัครชมรม ‘พูดแล้วคนฟังอยากลุกหนี’ เอาไว้อยู่!”


พิ้งค์เสริม “ยิ่งกว่านั้น เขาจะทำการวิจัยเกี่ยวกับ ‘คำพูดที่ทำให้คนอยากตัดขาดจากกัน’ นี่ล่ะ”


ใบพูเบ้ปาก “อาจจะต้องมีการพิจารณาหมอหูใหม่แล้วล่ะ!”


ทั้งสามหัวเราะกันเสียงดัง ขณะที่เพื่อนๆ รอบข้างมองมาด้วยความสงสัย แต่ก็ได้แต่ส่ายหัวและเดินจากไป


ใบพูลุกขึ้นยืนทันที “กินเสร็จแล้วไปเหอะ ก่อนกูจะได้เข้าเป็นเคสจริงๆ!”


ทั้งสามเก็บถาดข้าวออกจากโรงอาหาร ท่ามกลางเสียงหัวเราะและสายตางุนงงของนักศึกษาแพทย์รอบข้าง




----






ในห้องเรียนวิศวกรรมศาสตร์ กลุ่มของพี่โน่และใบพัดยังคงนั่งคุยกันเรื่องสมาชิกใหม่ของชมรมถ่ายภาพ พี่โน่นั่งควงปากกาด้วยท่าทางขี้เล่น ก่อนจะพูดขึ้น


“มึงรู้มั้ย ปีนี้มีคนสมัครเข้าชมรมกูตั้งเยอะ แต่ละคนแม่งโคตรมีสไตล์” พี่โน่เริ่มเปิดประเด็น


พี่บิ๊กถาม “ไอ้แบบ ‘มีสไตล์’ ที่มึงพูดนี่คืออะไร? หรือแค่แต่งตัวเวอร์ๆ?”


พี่โน่หัวเราะ “ไม่ใช่แค่แต่งตัวนะเว้ย อย่างไอ้คนแรกที่มาสมัคร บอกว่าอยากเป็นช่างภาพแนวพอร์ตเทรต แต่ตอนกูถามว่าเคยถ่ายรูปอะไรมาแล้วบ้าง มันดันบอกว่า ‘ถ่ายแต่รูปตัวเองตอนเล่นฟิตเนส’”


พี่บูมหลุดขำ “เออ แล้วมันมาเพื่ออะไร?” 


“มันบอกว่ามันอยาก ‘สร้างแบรนด์ตัวเอง’” พี่โน่ตอบ พร้อมเลียนเสียงจริงจัง “แล้วบอกว่า ‘พี่ ผมอยากเป็นช่างภาพที่ถ่ายให้ตัวเองเท่ที่สุดในมหา’ลัย!’”


ใบพัดหัวเราะพรืด “กูว่าชมรมมึงกำลังกลายเป็นเวทีค้นหานายแบบแล้วนะ”


พี่ทามเสริม “แล้วมีคนสมัครแบบปกติบ้างมั้ย?”


พี่โน่กลอกตา “มีแหละ แต่พีคสุดคือไอ้เด็กที่มาบอกว่าอยากสมัครเพื่อฝึกถ่ายรูปอาหาร”


พี่บูมหัวเราะลั่น “นี่มันกลายเป็น ‘ชมรมถ่ายข้าว’ ของจริงแล้วมั้ง”


“ยังไม่จบ!” พี่โน่พูดต่อ “แล้วก็น้องใบพู—น้องชายไอ้ใบพัดนี่แหละ—ก็สมัครมาด้วย!”


ใบพัดทำหน้าตกใจ “เดี๋ยวๆ! น้องกูไปสมัครทำไม?”


พี่โน่หัวเราะ “มันบอกว่าอยากฝึกถ่ายภาพจริงจัง แต่พี่บอกเลย มันพูดไม่ถึง 10 วินาทีหรอก กูก็เห็นมันหยิบข้าวเหนียวหมูปิ้งขึ้นมากินตอนสัมภาษณ์”


พี่บูมกุมท้องหัวเราะ “มันเป็นไอ้ใบพูของจริง!”


ใบพัดยกมือกุมขมับ “แล้วมันบอกเหตุผลอะไรพี่อีก?”


พี่โน่เลียนเสียงใบพู “พี่ครับ ผมอยากถ่ายภาพอาหาร เพราะเวลาถ่ายรูปไว้ก่อนกิน ผมจะรู้สึกว่าอาหารอร่อยขึ้น”


ทั้งกลุ่มระเบิดเสียงหัวเราะ พี่ทามแทบจะเอาหน้าฟุบโต๊ะ “มึงยอมรับไปเถอะ ไอ้ใบพัด น้องมึงแม่งตัวสร้างความฮา” 


ใบพัดกลอกตา “แล้วมึงรับมันเข้าชมรมทำไมวะ?”


พี่โน่ยักไหล่ “ก็พี่คิดว่ามันมีศักยภาพไง”


“ศักยภาพพ่อง!” ใบพัดสวนทันที “พี่รับมันไปก็คือได้ช่างภาพประจำที่ถ่ายรูปข้าวเหนียวหมูปิ้งส่งเพจชมรมแค่นั้นแหละ”


พี่บูมพูดแทรก “หรือบางทีไอ้ใบพูมันอาจจะทำให้ชมรมพวกมึงโด่งดังได้นะ ไอ้แนว ‘ถ่ายก่อนกิน’ อะไรพวกนี้”


พี่โน่พยักหน้า “เออ กูก็ว่างั้น ถ้ามันมีฝีมือจริงๆ ชมรมกูอาจจะกลายเป็นไวรัลในโซเชียล!”


ใบพัดถอนหายใจ “กูว่ามึงเตรียมตัวรับมือกับความวุ่นวายได้เลย”


ทั้งกลุ่มหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง ขณะที่ใบพัดนั่งถอนหายใจยาวๆ แต่ลึกๆ ก็อดยิ้มขำกับความแสบของน้องชายตัวเองไม่ได้


พี่ทามยังหัวเราะไม่หยุด พลางพูดต่อ “มึงแน่ใจนะว่าไอ้ใบพูมันไม่ได้คิดว่าชมรมมึงเป็นแค่โรงอาหารสำรอง?”


พี่โน่ทำหน้าทำตาเหมือนครุ่นคิด “เออ…กูก็เริ่มไม่มั่นใจว่ะ เพราะตอนสัมภาษณ์ มันถามกูว่า ‘ชมรมพี่จัดเลี้ยงบ่อยมั้ย?’ ”




พี่บูมล้มตัวลงกับโต๊ะขำจนตัวงอ “ไอ้เด็กนี่มันมีเป้าหมายชัดเจนมาก!”


ใบพัดที่พยายามกลั้นขำสุดชีวิต สวนกลับไปอย่างเหลืออด “แล้วพี่ตอบมันว่ายังไงวะ?”


“กูก็ตอบไปตามตรงว่า ‘มีเลี้ยงขนมตอนประชุมใหญ่บ้าง’” พี่โน่เล่าพลางหัวเราะ “มึงรู้มั้ย มันเบะปากใส่กู บอกว่า ‘โห ขนมไม่พอครับพี่ ผมเป็นคนกินเก่ง’”


ทั้งกลุ่มหัวเราะกันลั่นอีกครั้ง พี่โต้งถึงกับตบโต๊ะ “นี่มึงไม่ใช่แค่รับมันเข้าชมรม แต่มึงได้คนมาคอยวิจารณ์ระบบเลี้ยงอาหารของชมรมด้วย!”


ใบพัดถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มึงก็ช่วยส่งมันกลับไปชมรมสัตวแพทย์ได้มั้ย มันเหมาะไปเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่มากกว่าถ่ายรูปหมูปิ้งนะ”


พี่โน่ยิ้มกวน “ไม่ว่ะ กูว่าใบพูมันมีศักยภาพจะเป็น ‘โปรด้านถ่ายอาหารไทย’ ได้ คนแบบนี้หายากนะเว้ย”


พี่บูมเสริม “หรือไม่ก็ ‘โปรด้านกินฟรี’ นี่แหละ ของจริง” ใบพัดหัวเราะออกมาในที่สุด “งั้นถ้ามันถ่ายรูปสวย มึงก็จับมันไปประกวดกับพวกบล็อกเกอร์อาหารเลยแล้วกัน เผื่อมันจะดังในสายของมัน”


พี่ทามพยักหน้า “แต่ถ้ามันกินเยอะจนชมรมมึงเจ๊ง กูก็ไม่ช่วยนะ”


พี่โน่ทำหน้าจริงจังแต่กวนสุดๆ “ไม่เจ๊งหรอก! เดี๋ยวกูเก็บค่าสมาชิกเพิ่มจากมัน”


ทั้งกลุ่มหัวเราะกันจนลั่นห้อง ใบพัดได้แต่ส่ายหน้าเหนื่อยใจ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะสุดท้าย น้องชายตัวดีของเขาก็ยังสร้างความสนุกสนานได้ไม่หยุด แม้จะมากับเรื่องปวดหัวก็ตาม






ที่โต๊ะในโรงอาหารของคณะแพทย์ พิ้งค์และเก้ากำลังนั่งกินข้าวกันอย่างสบายๆ ใบพูที่นั่งตรงกลางจู่ๆ ก็จามขึ้นเสียงดังจนทำให้ทุกคนหันมามอง


“ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว!” ใบพูจามไม่หยุดจนเก้าเกือบจะหยุดหายใจจากการหัวเราะ


พิ้งค์หันไปมองเก้าแล้วทำท่าแซว “เอ้า มึงเป็นอะไรวะ ใบพูจามจนครึ่งจักรวาลหันมามองมึงแล้วนะ”


เก้าหัวเราะหึ “นี่มันไม่ได้จามจากหวัดหรอก นี่คือจามจากการถูกนินทา พวกเราเพิ่งคุยกันเสร็จไง”


ใบพูมองเพื่อนด้วยสายตาหมั่นไส้ “พวกมึงแอบนินทากูใช่มั้ย?”


พิ้งค์ยิ้มกวน “แอบนินทาเหรอ? มึงไม่ต้องแอบหรอก เดี๋ยวจามรอบสองรอบสามก็รู้แล้วว่าใครพูดถึงมึง!”


เก้าพยักหน้า “แค่กูพูดชื่อมึงเดี๋ยวมึงก็จามเลย”


ใบพูจามอีกครั้ง “ฮัดชิ้ว!”


พิ้งค์ขำจนแทบกลิ้ง “บอกแล้ว มึงเป็นตัวเตือนภัยพวกเราเลยนะ ใครนินทามึงล่ะมึงก็จามให้รู้เลย!”


เก้าหัวเราะพร้อมทำท่าหยิบมือถือขึ้นมา “เอาแล้ว! กูจะอัดคลิปจามของมึงไปส่งให้พี่โน่ดูดีกว่า จะได้รู้ว่า ‘ช่างภาพหมูปิ้ง’ มาแรงแล้ว”


ใบพูทำท่าจะงับข้าวเหนียวหมูปิ้งพลางพูด “บอกเลยนะ พวกมึงจะไม่มีสิทธิ์ขอจองหมูปิ้งทุกครั้งที่มีคนจาม!”


พิ้งค์ขยับเข้าไปใกล้ๆ ยิ้มหน้ากวน “จริงเหรอ? งั้นกูก็จะซื้อมาหมดเลย ให้มึงจามทุกวันเลย”


เก้าทำท่าตั้งใจ “เออ นี่แหละ คอนเทนต์ที่พวกมึงจะได้กับ ‘การจามจากการนินทา’ เราจะเริ่มเปิดช่องยูทูปเลย!”


ใบพูมองสองคนด้วยสีหน้าประมาณว่า “พวกมึงจะเล่นอะไรก็เล่นไปเถอะ กูไม่เล่นด้วยหรอก”


พิ้งค์ขำเสียงดัง “แหม่ ใบพู แก่นขนาดนี้ กูว่าแกควรจะขอบคุณพวกกูนะที่ช่วยให้แกเป็นที่รู้จักในวงกว้าง!”


เก้าเสริม “เดี๋ยวเราจะทำลิสต์อาหารที่มึงถ่ายแล้วมีจามติดด้วย เอาให้เห็นเลยว่า ‘หมูปิ้งต้องจาม’ เท่านั้น!”


ใบพูหัวเราะขำ “มึงนี่มันคิดได้ไงเนี่ย พวกมึงสองคนจะต้องทำคลิปไปให้พี่โน่เห็นแน่ๆ”


พิ้งค์ยิ้มกวน “ก็แค่เอาผลงานของมึงไปแชร์ในชมรมไง มึงจะได้เป็นดาวเด่น!”


ใบพูหัวเราะเสียงดัง “กูไม่เป็นดาวเด่นหรอก เดี๋ยวมันก็จะกลายเป็น ‘ชมรมถ่ายจาม’ ซะก่อน!”


เก้าแกล้งพูด “ก็ไม่แน่นะ มึงอาจจะโด่งดังจากการจามของมึงก็ได้! เลิกถ่ายภาพไปถ่ายเสียงจามดีมั้ย?”


พิ้งค์ยิ้มกว้าง “ดี! ‘การจามตามสไตล์ใบพู’ ไปแล้วจะมียอดวิวพุ่งแน่ๆ!”


ใบพูลุกขึ้นยืน “พอๆๆ เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว กูไปกินข้าวให้เสร็จเหอะ พวกมึงนี่มันกวนจริง!”


ทั้งสองคนหัวเราะกันลั่น แต่ก็ยอมปล่อยให้ใบพูได้กินข้าวไปเงียบๆ จนในที่สุดก็กลับมานั่งเงียบๆ แต่ไม่เกินสองนาที ใบพูก็จามขึ้นอีกครั้ง…




“ฮัดชิ้ว!”




พิ้งค์กับเก้ายิ้มกวน “โห! มันแย่แล้ว ใบพู! มึงเป็นคลื่นจามระดับโลกเลย!”


ใบพูมองไปที่เพื่อนทั้งสอง แล้วก็ได้แต่ยิ้มขำๆ เหมือนจะยอมรับชะตากรรมว่าไม่น่าคบเพื่อนแสบแบบนี้เลย!


-------






ย้อนกลับไปในสมัยมัธยม: พี่โน่กับน้องใบพู (ม.6 กับ ม.3)




เป็นวันอากาศร้อนๆ ที่หน้าร้านหมูปิ้งข้างโรงเรียน ผมยืนอยู่ที่นั่นกับพี่โน่—ที่ตอนนั้นเป็นนักเรียนม.6—และน้องใบพูที่เพิ่งขึ้นม.3 แต่ถึงจะอายุห่างกัน พี่โน่กับใบพูสนิทกันเหมือนเพื่อนร่วมชั้นเดียวกันเลย


ใบพูยืนกอดอกทำหน้าเครียด “พี่โน่… ผมถามจริงเหอะ พี่คิดว่าผมเหมาะกับการเป็นช่างภาพไหม?”


พี่โน่ยิ้มขำๆ พรางยกไม้หมูปิ้งขึ้นมากัด “เออ พี่ว่าอะไรแปลกๆ ไอ้ใบพู ว่าแต่ทำไมเพิ่งจะมาถามล่ะ?”


ใบพูทำหน้าครุ่นคิด “คือ… ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตมันต้องหาทางเดินให้ชัดเจนอะ แต่ก็ไม่อยากเป็นเด็กที่ต้องตามเพื่อนๆ ไป”


พี่โน่หัวเราะเบาๆ “เราไม่ต้องคิดมากหรอก แค่ทำสิ่งที่ตัวเองชอบก็พอแล้ว เอาจริงๆ เราถ่ายรูปก็ไม่แย่นี่นา”




ใบพูทำหน้ามุ่ย “จริงเหรอวะ?”




พี่โน่ยักไหล่ “ก็ถ่ายได้ดีอยู่หรอก มึงจะเอาดีด้านนี้เลนหรือไง"


ใบพูยิ้มแหยๆ "ผมคงไม่เอาดีด้านนี้จนทำเป็นอาชีพหรอก แค่ชอบถ่ายเล่นแค่นั้น”


พี่โน่หัวเราะหนักขึ้น “เอ้า ก็เพราะเห็นเราชอบถ่ายรูปคิดว่าจะไปเอาดีด้านนี้ซะอีก”


ใบพูยิ้มแล้วเอามือกอดอกแน่น “แล้วพี่ล่ะ”


พี่โน่พยักหน้า “เออ กูก็คงไม่เอาด้านนี้เป็นอาชีพหรอก แค่ชอบถ่ายรูปแค่มึงว่า"


ทั้งสองคนยืนนิ่งๆ มองหน้ากัน เหมือนในเวลานั้นโลกทั้งใบของเราเริ่มชัดเจนขึ้น พร้อมกับเสียงหมูปิ้งที่กรอบหอมโชยขึ้นมา


ใบพูยิ้มขึ้นมาแล้วพูดเบาๆ “ขอบคุณพี่โน่จริงๆ นะ ถึงจะพูดให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”


พี่โน่ยิ้มตอบ “กูเป็นพี่มึงไง ไม่ต้องขอบคุณหรอก ช่วยกันก็ต้องช่วยกันไป”


ใบพูขำ “ถ้ามีโอกาส บางทีเราอาจจะต้องไปถ่ายภาพด้วยกันจริงๆ นะ พี่โน่”


พี่โน่หัวเราะ “เออ ถ้าเราถ่ายดีขนาดนั้น พี่จะมาขอถ่ายบ้าง!”


ทั้งสองคนหัวเราะกันไป พลางยืนอยู่ที่หน้าร้านหมูปิ้งจนเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรต้องพูดถึงมากมาย แต่ความสนิทสนมและมิตรภาพที่เกิดขึ้นในวันนั้นกลับทิ้งรอยยิ้มไว้ในใจของเราไปตลอด






       

                        -จบตอน-