เทพธาตรี เทพแห่งแผ่นดิน กับเทพพฤกษา ผู้ดูแลผืนป่าเป็นเพื่อนกัน แต่ดันต้องมาตีกันเพราะผู้หญิงคนเดียว แต่ว่าไปไปมามา ตีกันไปตีกันมาลงเอยกันแบบ งงๆ เรื่องแบบนี้ใช่เรื่องบังเอิญจริงเหรอ
แฟนตาซี,ย้อนยุค,ไทย,ชาย-ชาย,ผจญภัย,ผจญภัย,พีเรียดไทย,BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เปลี่ยนชะตา changeเทพธาตรี เทพแห่งแผ่นดิน กับเทพพฤกษา ผู้ดูแลผืนป่าเป็นเพื่อนกัน แต่ดันต้องมาตีกันเพราะผู้หญิงคนเดียว แต่ว่าไปไปมามา ตีกันไปตีกันมาลงเอยกันแบบ งงๆ เรื่องแบบนี้ใช่เรื่องบังเอิญจริงเหรอ
"เจ้ากับข้ามาสู้กัน"
ต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนกับพฤกษ์เหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ ชาตินี้ทั้งชาติเขาทั้งสองคงไม่สามารถเป็นสหายกันได้อีกแล้ว
"เจ้า!!" เพียงแค่อีกฝ่ายเดินผ่านเท่านั้นเทพพฤกษาก็แยกเคี้ยวใส่ไม่ก็เมินอีกฝ่ายไปเสียดื้อๆไม่จบสิ้นทั้งต่อหน้าแลลับหลัง
"พฤกษ์เจ้าเลิกหาเรื่องข้าเสียที" เทพธาตีบ่นอุบกับการกระทำของอดีตสหายที่หลายเดือนมานี้เจอหน้าทีคอยหาเรื่องเขาตลอด
"เจ้าก็เลิกทำเหมือนว่าข้ากับเจ้าเป็นสหายกันเสียที" สิ่งที่ทำให้เขาอารมณ์เสียได้ทุกวันก็คือการที่ธาตรีทำตัวราวกลับว่ามิมีอันใดเกิดขึ้น มิเพียงเท่านี้ยังชอบเข้าไปประจบเอาใจหญิงพินให้โกรธอยู่บ่อยครั้ง แต่หารู้ไม่ว่าเขาจงใจแกล้งให้อีกฝ่าให้โมโหเล่นๆ เพียงเพราะหากอีกฝ่ายโมโหก็จะคอยหาเรื่องเขาอย่างน้อย ก็ได้คุยกันดีกว่าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นอากาศธาตุ
"ใครทำตัวเป็นสหายเจ้ากัน หลงตัวเอง" ถึงแม้ความจริงจะใช่อย่างที่พฤกษาพูดแต่เขาไม่อาจยอมรับตามจริงได้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายอึดอัด เขาอยากให้เป็นสิ่งใดก็จะเป็นให้เขา
"หนอยแน่ แล้วเจ้าตัวไหนเจ้าของวังบอกว่าไม่ต้องมาเหยียบวังเขาก็ยังจักมา หอบหิ้วรูปปั้นมานับครั้งไม่ถ้วน"
"ข้ามิได้เอามาให้เจ้า"
"งั้นก็ดี ข้าจะทุบ ทุบทิ้งให้หมด"
"มิได้เชียวหน้าเจ้า ได้ได้ข้าให้เจ้าจริงดั่งว่า อย่าทุบทิ้งเชียวหน้า ข้ากลับแล้ว ข้ากลับแล้ว" เพียงเท่านั้นเขาก็เดินออกไปจากวงพฤกษา ถึงอย่างไรจะให้อีกฝ่ายทุบรูปปั้นเหล่านั้นมิได้มันเป็นเสมือนของแทนน้ำใจหากเกิดอีกฝ่ายทุบก็คงแตกสลายไม่อาจกลับเป็นดังเดิมได้แน่
"บ้าเสียจริงเหตุใดข้าต้องหมองใจแต่เช้าเช่นนี้ เพราะเจ้าบ้านั้นผู้เดียว" ท่าทีกระกระเฟียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั้นยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดตัวเองเสียเต็มประดาเขาไม่ชอบตัวเองแบบนี้เลยอยากกลับไปเป็นพฤกษาคนเดิมที่ไม่เป็นแบบนี้
"คุณพฤกษ์ขอรับ คุณดินแดนคงมิอยากตัดสหายกับคุณพฤกษ์กระมังขอรับ" คนใช้ในบ้านกล่าวกับเขาเช่นนั้นเหมือนอีกฝ่ายไม่อยากจะเป็นเพียงคนรู้จัก แต่แล้วอย่างไรเขาทำเช่นนั้นก็ต้องเป็นเช่นนี้ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือไม่แต่จะให้มันเป็นเช่นนี้ ถึงอีกฝ่ายจะยอมถอยปล่อยให้หญิงพิณมาหาเขาแต่จะหยุดความระแวงได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายก็พึงใจเช่นกันจะหยุดระแวงได้อย่างไรว่าทั้งสองคนจะไม่แอบหักหลังเขา เพราะงั้นยุติความสัมพันธ์ของสหายไว้แค่นี้จักเป็นการดีต่อตัวเขามากกว่า ถึงจะโดนหักหลังอย่างน้อยก็เจ็บน้อยกว่าเป็นสหายกันอยู่
"แล้วอย่างไร เจ้านั้นริอาจจะพรากแสงสว่างเดียวของข้า ความหวังเดียวของข้า เจ้าจะให้ข้าเป็นสหายกับเขารึ"
"แต่เทพแห่งแสงปภาวดีก็พึงใจ คุณดินแดนหนาขอรับ"
"บ๊ะ เองนี่ปากมิมีหูรูดรึเอง มีหรือจักดูมิออกแต่แล้วอย่างไรเล่า ถ้านั้นคือความหวังต่อให้ข้าต้องแย้งมาข้าก็ต้องทำ ความทรมานที่ได้รับเจ้าจักให้ข้าทนรึ ออกไปให้พ้นหน้าข้า" ยิ่งฟังยิ่งขัดใจยิ่งโมโหไปเสียหมด รู้ว่าเขารักกันแต่แล้วอย่างไรละ ต้องทนรึ ต้องทรมานอยู่ผู้เดียวรึ มิมีทาง เขาทนมามากพอแล้วไม่อาจทนไปกว่านี้ได้แล้ว
"ขอรับๆ"
"ทะเลาะกับบ่าวอีกแล้วหรือเจ้าคะ" เกลเดินเข้ามาหน้าโต๊ะทำงานของเขา
"เห็นแล้วมิใช่รึเหตุใดต้องถาม" ใบหน้างามแม้จักติดเหวี่ยงไปบ้างแต่หาได้ลดความหน้ามองลงได้ สองเรียวคิ้วขมวดเป็นปมนั้นมิได้ดูน่ากลัวเลยสักนิดกลับดูเหมือนเด็กน้อยที่โดนแย่งของเล่นเสียมากกว่า นี้หรือตัวร้ายที่ผู้อื่นตั้งฉายาให้ ร้ายแค่เปลือกน่ะสิ
"คุณพฤกษ์เปลี่ยนไปหนาเจ้าคะ" เปลี่ยนไปไม่น้อยแต่บางอย่างกลับเหมือนเดิมแม้ใครจะมองว่าเขาร้ายไร้หัวใจแต่ในสายตาคนในวังพฤกษาหาได้เป็นเช่นนั้นเทพพฤกษายังคนเป็นผู้ที่น่าเคารพพร้อมๆกับน่าเอ็นดู
"สิ่งรอบข้างทำให้ข้าต้องเปลี่ยน" พฤกษากล่าวด้วยท่าทีที่เศร้าสร้อย แววตานั้นบ่งบอกถึงความทุกท์ในจิตใจ ไม่ได้อยากเปลี่ยนแต่สิ่งรอบข้างความกดดันทำให้ต้องเปลี่ยนแม้ไม่อยากเป็นเปลี่ยนก็ตาม
"เขาผู้นั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ เช่นนั้นข้าจักไปสังหารเขาผู้นั้นรึดีหรือไม่"
"ไม่!!!!..หยุดความคิดนั่นของเจ้าซะ" แม้ว่าจะคิดแค้นอีกฝ่ายสักเท่าใดแต่เขาก็ไม่เคยคิดอยากได้ชีวิตของคนผู้นั้นเลยแม้แต่น้อยเพียงต้องการให้เขาเลิกรัก เลิกชอบหญิงพินเพียงเท่านั้น
"เหตุใดเล่าเจ้าคะ"
"ข้า..ไม่ต้องการให้เขาตาย" นั้นคือคำตอบจากจิตใต้สำนึกจริง ๆ ของเขา เขารู้หากเขาสั่งเกลทำได้แน่นอนแต่เขาไม่ต้องการเช่นนั้น
"แต่คุณพฤกษ์เกลียดเขามิใช่หรือเจ้าคะ"
"เกล เจ้าพูดมากเสียจริง"
"ไม่ได้เกลียดขนาดนั้นหรือเจ้าคะ" เกล แอบอมยิ้มกับท่าทีของผู้เป็นนายและแอบหวังลึกๆว่าทั้งสองจะกลับมาเป็นสหายกันได้อีกครา แต่เรื่องเช่นนั้นคงขึ้นอยู่กับผู้เป็นนายของเขาเสียมากว่าเพราะทางนั้นดูเขาจะยังถือให้เทพพฤกษาเป็นสหายอยู่
"....." เทพพฤกษาพูดไม่ออก เพราะที่เกลกล่าวนั้นล้วนแต่เป็นความจริงเทพพฤกษาไม่ได้เกลียดอีกฝ่ายขนาดนั้นเขาเพียงแต่ไม่อยากทรมานเพียงเท่านั้น
"งั้นข้าไม่ถามแล้วเจ้าค่ะ แล้วก็เทพชลธีชวนไปเล่นน้ำในเขตปกครองของคุณพฤกษ์เจ้าค่ะ"
"อือ ข้าไม่ไป" หญิงสาวรับใช้หยุดพูดก่อนจะเตรียมบางอย่างให้ผู้เป็นนายนั้นคืองานกองเอกสารมหึมา ค่อยๆทยอยมาวางเต็มโต๊ะ
"หากเป็นเช่นนั้นก็ทำงานไปนะเจ้าคะ"
"ให้ตายผู้ใดนายผู้ใดบ่าวกันแน่" พฤกษานั่งเคลียร์งานอยู่สักพักก็เดินออกไปสูดบรรยากาศข้างนอกกลิ่นแห่งชีวิตระหว่างเดินผ่อนคลายอยู่นั้นก็มีเสียของใครบางคนดังขึ้น
"หึ ข้ามิเห็นเจ้าเสียนาน" จู้ๆก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังเสียงที่คุ้นแต่เหมือนไม่คุ้นพอหันหลังกลับจึงได้รู้ว่านั้นคือเสียงใคร
"พิรุณ"
"พิรุณกะไรกัน เรียกรุธก็พอ"
"มิได้เจอเสียนาน" ร้อยยิ้มที่ส่งให้เทพพิรุณนั้นยังคงสดใสเหมือนทุกครั้งที่เจอแม้ในใจตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม
"จักพบได้อย่างไรเจ้างานยุ่งยิ่งนัก ซ้ำยังหากว่างเจ้าก็ไปทะเลาะกับเขาตลอด"เขาเกล้าออกไปเช่นนั้นมุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย แม้ปากจะยกยิ้มแต่แววตานั้นกลับมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แม้เทพพฤกษาจะผิดสังเกตุแต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออันใดกันแน่
"เปล่าเสียหน่อย" พฤกษากล่าวยิ้มๆระหว่างเดินๆอยู่นั้นก็พบผู้ที่กล่าวถึงไปเมื่อครู่พร้อมกับหญิงพิณกำลังจู่จี้กันหวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ่งเดือนห้า
"ภาพบาดตาบาดใจนัก"
"ใจเย็นเจ้า พฤกษาเจ้าจักไปที่ใด"เพลานี้เขาไม่ฟังเสียงผู้ใดอีกแล้วแม้พิรุณจะคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ได้แต่ก็ไม่สามารถหยุดได้
"จัดการข้าจักต้องไปจัดการประเดี๋ยวนี้" เพลานี้พฤกษ์ไม่ฟังคำเตือนของใครแล้วเขามุ่งหน้าเข้าไปด้วยความโมโหพิรุณทำอันใดมิได้นอกเสียจักตามไปอย่างช่วยไม่ได้
"นี้เจ้า..มาทำกระไรที่นี้ในเขตของข้า"
"มิมีที่ใดงดงามเท่าสวนพฤกษาแล้วจักให้ข้าไปที่ใด เหตุใดเจ้าต้องหาเรื่องข้า" เมื่อเห็นอีกฝ่ายโมโหจนหน้าแป๊ดยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดี เพียงแค่เขามาเดินในสวนก็มิได้เชียวหรือใจร้ายเป็นที่สุด
"ใจเย็นๆนะทั้งสอง"พิณพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นกลัวผ่านไปครู่หนึ่งดินแดนก็เอ่ยขึ้น
"หญิงพิณกลับไปก่อนเถิด"
"แต่" หญิงพินกำลังจะแย้งแต่พิรุณก็ขัดเธอเสียก่อน
"กลับไปก่อนเถอะหญิงพิน ทางนี้คงมิมีอันใดให้ดูแล้ว" ว่าแล้วพิรุณก็พาหญิงพินออกไปเหลือไว้เพียงพฤกษ์แลดินแดนเท่านั้นที่อยู่ตรงนั้น
"เรามาประลองกันให้รู้แพ้รู้ชนะ หากเจ้าชนะข้าจะให้เจ้าเข้าออกพื้นที่ของข้าตามเดิมรวมถึงหอสักทองด้วย แต่หากเจ้าแพ้เจ้าต้องห้ามมาเหยียบในเขตปกครองข้าอีกหากไม่ทำตามขอตกลงให้เทพอัสนีลงโทษ"ข้องเสนอนี้ฝังเทพพฤกษาเป็นผู้เสนอ แม้จักทราบอยู่แล้วว่าคงชนะได้ยากแม้จักทุ่มสุดตัวก็มิรู้ว่าจักชนะได้หรือไม่ แต่เขายอมประลองให้รู้ดำรู้แดงให้ความคับแค้นใจได้ทุเลาลงไปได้บ้าง
"ได้ข้าตกลง" ทั้งคู่ก็วาปไปลานประลองของเล่าเทพ มีผู้ชมมากมาย พฤกษารู้ดีว่าเขาคงสู้ไม่ได้ทั้งสองนั้นอยู่คนละสาย สายช่วยเหลือควบคุม จะไปสู้สายโจมตีได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าตนจะแพ้ง่ายๆดอก
"เธอว่าเป็นผู้ใดจะชนะ"
"ธาตรีแน่"
"ใช่ๆ พฤกษาเขาสายช่วยเหลือนิหากไม่มีสายโจมตีคอยช่วยชนะยาก" เสียงผู้ที่มาดูการประลองพูดคุยกันเซ็งแซ่ ยิ่งทำให้พฤกษายิ่งโมโหเมื่อโดนพูดถึงเช่นนั้น มิต้องมีใครมาบอก เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่อาจสู้ได้แต่แล้วอย่างไรมิอาจสู้ได้แต่แล้วอย่างไรจะทำให้ดูแม้เป็นเทพสายช่วยเหลือก็สู้ได้มิแพ้สายโจมตี
"เริ่มกันเลยเถอะ" แน่นอนว่าต้องเป็นเทพพฤกษาที่เริ่มก่อน "พันธนาการ" พฤกษาปล่อยเถาวัลย์ไปตามพื้นดินหวังว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแต่ธาตรีกลับก็หลบได้ด้วยการเหาะขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะใช้ดาบแห่งปฐพีฟันเถาวัลย์ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
"อย่าวู่วามสิ มิใช่เจ้าเลยหนา" แม้จะหลบแต่ก็ไม่วายหันมาแซวอีกฝ่ายให้เสียความสุขุม นี้คงเป็นความสุขเดียวเพลาแล้วกระมังแกล้งให้อีกฝ่ายให้โมโห
"หุบปาก"
"นั้นไงโกรธแล้วๆ" ในขณะที่วิ่งไปอยู่นั้นเขาก็เรียกดาบออกมา ดาบนั้นคือดาบแห่งปฐพี มีเพียงสองคนเท่านั้นที่จะเรียกออกมาได้นั้นคือ เทพปฐพี แล เทพธาตรี เท่านั้น มิรอช้าดินแดนเข้าระยะประชิดกวัดแกว่งดาบเข้าหาแต่เทพพฤกษาเรียกเถาวัลย์กลับคืนมาป้องกันพร้อมใช้พลังบาเรียสีเขียวครอบตัวเองไว้ในรัศมีหนึ่งเมตรเอาไว้ทัน
"เจ้า..ถนัดระยะประชิดงั้นได้" เทพพกฤษารู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นถนัดระยะประชิด ซึ้งแพ้ทางเขาผู้ถนัดการโจมตีระยะไกล แต่ก็ใช่ว่าจะสู้ระประชิดมิได้ เขาเรียกพัดด้ามจิ้มในมือออกมาโบกขึ้นลงเบาๆ เพียงเท่านั้นก็มีคลื่นลมรุ่นแรงเข้าหาตัวธาตรี แม้จะเรียกดินขึ้นมาป้องกันได้แต่ความเสียหายก็ยังไปถึงตัวเขาอยู่ดี
"จักฆ่ากันหรือไร" ดินแดนโวยวาย
"เปล่าเสียหน่อย" ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งวางตัวสุขุมนุ่มลึกเหมือนเดิมสีหน้ามิได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเรียกเสียงกรี้ดจากบรรดาผู้ชมได้เป็นอย่างดี
"แก ข้ามิรู้เลยว่าเทพพฤกษาจะหล่อขนาดนี้"
"จริง แถมยังสู้เทพดินแดนที่เป็นสายโจมตีได้อีกด้วยแม้รู้ว่าเป็นรอง มีเสน่ห์สุดๆ"
"กรี๊ด" เสียงพูดคุยกันของบรรดาผู้ชมทำให้เทพธาตรีมิพอใจอยู่มิน้อย จะมาชมจะกรี๊ดกร๊าดเช่นนี้มิได้ไม่ยอมเด็ดขาด
"เป็นกระไรไปดินแดนแค้นข้าแล้วรึ" รอยยิ้มจางๆปรากฏแก่สายตาผู้ชมยิ่งทำให้เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มมากขึ้นไปอีก
"มิมีทาง แต่มิชอบที่มีคนมากรี๊ดเช่นนี้" ธาตรีพูดออกมาตามตรงเขามิชอบที่เทพองค์อื่น ๆ มากรี๊ดสหายเขา มิชอบที่มีผู้อื่นเห็นเสน่ห์ของพฤกษา เพราะไม่มีคนกรี๊ดเขาก็โดนสหายผู้นี้เมินอยู่แล้วพอมีเสียงกรี๊ดยิ่งถูกมองข้ามไปใหญ่
"งั้นเหรอ" เทพพฤกษาเก็บพัดลงเปลี่ยนเป็นกระบองไม้ที่แข็งแรงกว่าเดิมโจมตีดินแดน เทพธาตีใช้ดาบกันไว้ได้ทุกครั้ง นั้นทำให้เปิดช่องโหว่พฤกษ์ใช้โอกาสนี้ปล่อยเถาวัลย์ไปพันธนาการร่างของดินแดนไว้ก่อนจะสะบัดเถาวัลย์นั้นจนเกือบตกเวทีแต่ดีที่ไม่ตก การต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกครั้ง
"ดาบปฐพี!!!" เขาปล่อยดาบไว้กลางอากาศเมื่อคำพูดนั้นสิ้นสุดลงดาบที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พุ่งเข้าหาพฤกษาด้วยความเร็ว แม้พยายามจะหลบแล้วแต่ก็หลบมิพ้นดาบเฉือนข้างแขนเทพพกฤษาไปเล็กน้อย เลือดสีแดงฉานไหลออกมาตาปากแผล แม้แต่ผู้ที่โจมตีก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายมิหน่ำซ้ำยังรู้สึกผิดอีกที่ทำอีกฝ่ายเจ็บตัว
"เจ็บไหม"
"ไม่.." ซึ้งต่างกับเทพพฤกษาเพลานี้โมโหจนถึงขีดสุด เขามิฟังอีกฝ่ายแม้แต่น้อย รักษาให้ตนเองทันทีเพียงพริบตาเท่านั้นเลือดก็หยุดแม้ปากแผลยังไม่สมานโดยสมบูรณ์เนื่องจากเขาต้องโฟกัสการโจมตีจะให้พลังไปกับการักษามากมิได้
"ยอมแพ้เถิด"
"ไม่.."
"จะมิฟังกันเลยใช่ไหม"
"ไม่ฟัง" พฤกษาจับกระบองในมือขึ้นตั้งฉากกับพื้นปากก็พรางพูดอะไรบางอย่าง "บุปผาปริวร่วงโรย ชีวิตเหือดแห้ง แดดิ้นพระสุธา" เพียงเท่านั้นกรีบบุปผาสีชมพูจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าหาดินแดน การโจมตีนี้มิอาจป้องกันได้เป็นการโจมตีพลังชีวิตหากผู้ใดโดนการโจมตีนี้หากพลังชีวิตมิแข็งแกร่งพอ จะร่วงลงสู่นรกชีวิตดับสิ้น ดั่งคำที่ได้เอ่ยใช้ บุปผาปริวร่วงโรย ชีวิตมาถึงเพลาสุดท้าย ชีวิตเหือดแห้ง พลังชีวิตถูกสูบจนแห้ง แดดิ้นพระสุธา ชีวิตจบสิ้นลงหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณร่วงลงสู่อเวจี มอดไหม้ในนรกแต่ข้อเสียของการใช้คือ ผู้ที่ใช้จะเสียพลังมหาศาลหากผู้ที่ถูกโจมตีมีพลังชีวิตแข็งแกร่ง แม้อีกฝ่ายจะบาทเจ็บสาหัสแต่ว่าจะทำให้ผู้ใช้แพ้ทันทีพลังในการต่อสู้ถูกใช้จนหมดใช้เวลานานถึง 3 วันถึงจะฟื้นตัวร่างกายก็ไม่เหมือนเดิม หากจะเหมือนเดิมต้องใช้เวลานานครึ่งเดือนถึงจะกลับมาใช่พลังได้ แต่หากร่างกายกลับมาสมบูรณ์ ใช่เวลาถึงครี่งปี
"นี้เป็นการโจมตีผลแพ้ชนะระหว่างข้ากับเจ้า..หากเจ้ายังยืนยัดได้ข้าก็ยอมแพ้"
กรีบดอกไม้หมุนเป็นพายุ ธาตรีโดนดูดเข้าไปอยู่ข้างในพายุนั้น พลังชีวิตของเขาลดลงฮวบฮาบเขาพยายามทนจนถึงที่สุด ผู้ที่อยู่ข้างนอกนั้นคือสหายเขาแต่คิดจะฆ่ากันเลยเชียวหรือเหตุใดใจร้ายถึงเพียงนี้
ทางด้านของพฤกษ์นั้น ยกผ่ามือขึ้นเพื่อควบคุมกรีบดอกไม้พวกนั้นพลังเขาเองเองก็ถูกพานลงอย่างรวดเร็วเช่นกันแต่เขาก็ยังฝืน จะให้ผู้ใดมาว่าเขาอ่อนแอมิได้ เป็นผู้ควบคุมผู้ช่วยเหลือแล้วอย่างไรเขาจะทำให้เห็นว่าเขาเองก็สู้ได้ไม่ต่างจากสายโจมตี เขาไม่ได้อ่อนแอ ในระหว่างที่ใช้พลังควบคุมดอกไม้อยู่นั้นของเหลวสีแดงสดก็เริ่มไหลออกจากมุมปากของเขา
"หยุดเถอะ" ธาตรีมองเห็นเช่นนั้นก็ปวดใจเป็นที่สุดเขาขอให้อีกฝ่ายหยุดมือ แม้สติของเขาจะเริ่มเรือนราง ลงไปทุกทีก็ยังอดห่วงคู่ต่อสู้ไม่ไหว
"ไม่..หากอยากชนะก็ต้องทนให้ได้" เทพพฤกษาหมายถึงตัวเขาเองมิใช่ใครที่ไหนหากเขาทนไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็นผู้ปกครองผืนป่า
ในเฮือกสุดท้ายที่ธาตรีจะไม่ไหวนั้นเขาก็นึกถึงข้อตกลงที่ตกลงหากเขาแพ้ระยะห่างของทั้งสองยิ่งจะห่างขึ้นไปอีก เพราะงั้นเขาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ทั้งสองต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ ต่อให้จะใช้เวลาเท่าไหร่วิธีไหนเขาก็จะไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
"ไม่ได้ข้าจะแพ้ไม่ได้ ข้าจะต้องเข้าออกวังพฤกษาได้ดังเดิมไม่ยอมข้าไม่ยอม" เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายระเบิดพลังของพฤกษาออกทันทีที่พายุกรีบดอกไม้แตกออก พฤกษาล้มลงกับพื้นสติดับวูบไปในทันที ธาตรีเห็นเช่นนั้นก็ค่อยๆเดินด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือไปนั่งข้างๆร่างที่หมดสติ
"ข้าชนะแล้วรักษาสัญญาด้วยละ"ก่อนสติจะดับวูบไปอีกคนจากนั้นก็มีใครเข้าประคลองร่างของทั้งสองกลับมิใช่ผู้ใดนั้นคือบ่าวคนสนิทของแต่ละฝ่ายนั้นเอง...
"คุณหนู"
"คุณพฤกษ์" ไม่น่าเลยสีหน้าของทั้งสองเพลานี้บ่งบอกความในใจเมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายหมดสภาพเช่นนี้ ฝ่ายธาตรีแม้จะชนะแต่พลังชีวิตโดนพลานไปเกือบหมด ส่วนคนแพ้ก็พลังปราณหมดไม่มีเหลือแม้จะพลังชีวิตจะเหลืออยู่ แต่พลังปราณหมดก็ยากที่จะมีสติ
บ่าวทั้งสองพานายของตนกลับวังเป็นที่เรียบร้อย
ทางด้านพฤกษา
"โถ่คุณพฤกษ์หนาคุณพฤกษ์ เหตุใดจึงทำถึงเพียงนี้เจ้าคะ พูดเองมิใช่หรือเจ้าคะว่าไม่อยากเอาชีวิต แต่คุณพฤกษ์ดันใช้ปลิวบุปผานี้นะเจ้าคะ ใช้ได้ที่ไหนกัน" เกลเช็ดตัวให้เจ้านายไปพรางบ่นไปเช็ดเสร็จเธอก็เดินออกไปด้วยท่าทีที่เอือมละอามากทีเดียวส่วนพฤกษานั้นก็เข้าสู่ห่วงแห่งความฝัน
"ท่านพ่อท่านแม่" ชายหญิงคู่หนึ่งหน้าตาสะสวยหล่อเหลาทั้งคู่มองมาที่เด็กน้อยตัวจ๋อยของพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
"ลูกรัก พ่อแม่ขอโทษเจ้า เหนื่อยหรือไม่ลูก" เพียงคำถามเดียวก็ทำให้น้ำตาเด็กน้อยร่วงได้เขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกไปไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขากลัวหากเขาขยับภาพตรงหน้าจะหายไป
"เหนื่อยขอรับ เหนื่อยเหลือเกินขอรับ" น้ำตาไหลรินเป็นทางอาบแก้มเนียนทั้งสองข้าง
"มาสิลูก" สองสามีภรรยาอ้าแขนรอรับลูกชายเห็นเพียงเท่านั้นเขาก็วิ่งไปสวมก่อนทั้งสองท่านทันที
"ท่านพ่อ..ท่านแม่..ข้าคิดถึงท่าน"
"พ่อแม่อยู่นี่แล้วพักให้สบายเถิดเจ้า" พฤกษากอดทั้งสองอยู่อย่างนั้นให้แน่ที่สุดเท่าที่จะแน่นได้เวลาผ่านไปสักพักก็ถึงเวลาที่ต้องจากกัน
"หมดเวลาแล้ว"
"จะไปแล้วหรือขอรับจะไปที่ใดพาข้าไปด้วย"
"ยังมิถึงเพลาของลูก อย่ากังวลเราต้องได้เจอกันอีกแน่" แล้วทั้งสองท่านก็สลายหายไปกับสายลม ความเจ็บปวดเริ่มก่อตัวภายในใจอีกครั้ง เขาทรุดลงกับพื้นร้องไห้อย่างหนักก่อนทุกอย่างจะวนกลับไปวันนั้นที่พ่อเขาโดนสังหารแม่มาเจอสังหารผู้ที่สังหารพ่อ หลังจากนั้นแม่ตรอมใจตายตามพ่อไปภาพเหล่านี้ถูกวนกลับมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าความทรมานทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
"อยู่ไปก็เป็นหนามยอกอกข้าตายไปเสียเถอะพนา"เสียงของชายหนุ่มวัยทำงานตะคอกเสียงดังลั่น ในมือถือปืนสังหารเร็งมาที่พี่ชายของตน
"เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เราเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ" ในแววตานั้นมีหลากหลายความรู้สึกทั้งผิดหวัง เสียใจ น้อยใจ
"หึพี่น้อง ข้ารักนางมาก่อนเจ้าเหตุใดต้องเป็นเจ้า ข้าเจอนางก่อนแท้ ๆ" ในตาคมเหม่อลอย ว่างเปล่าความเครียดแค้นชิงชังถูกสะสมมานานสุดท้ายก็ละเบิดออกในวันนั้น
"ข้ามิรู้" และที่ทำให้ตกใจไปมากกว่าน้องชายที่เขารักมากอยากฆ่าเขาคือเหตุผลของผู้เป็นน้องชายที่ว่าเขาแอบหลงรักพี่สะใภ้ของตัวเองนั้นยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัสแม้มิมีโลหิตสาดกระเซ็นแต่ความรู้สึกภายจิตใจนั้นกลับแตกสลาย
"ตายไปเสียเถอะ" ปั้ง..เสียงลั่นไกลปืนนั้นเป็นการโจมตีของคนเป็นน้องเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นร่างของผู้เป็นพี่ชายก็แน่นิ่งไป
"ท่านพ่อ..ท่านอาพงไพรเหตุใด เหตุใดท่านจึงฆ่าพ่อข้า" พฤกษาน้อยในวัย 10 เข้าสวมกอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นพ่อ ร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจปากก็พร่ำถามฆาตรกรถึงเหตุผลที่ทำเช่นนี้
"พฤกษ์ อา" เสียงนั้นทำให้เขาตื่นกลัวเมื่อรู้ว่าหลานเห็นสิ่งเขานั้นกระทำลงไปแม้จักเกลียดชังพ่อของหลานตนมากเพียงใดแต่เขามิเคยเกลียดหลานตนเองเลยสักครั้งกลับรักและเอ็นดูมากๆเสียด้วยซ้ำ
"เหตุใดจึงฆ่าพ่อข้า"ไม่นานท่านแม่ก็เดินเข้ามา
"เจ้าฆ่าเขาด้วยเหตุใด ต่อให้เขาตายไปข้าก็ไม่มีวันรักเจ้าไม่มีวัน" หญิงสาวใบหน้าสะสวยผมดำสนิทในชุดคลุมสีเขียวเข้าสวมกอดลูกชายสายตานั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของพงไพร
"กรรณิการ์"ชายผู้นั้นหันมาพูดกับหญิงสาวที่กอดเด็กวัย 10ขวบก่อนที่หญิงผู้นั้นจะใช่กริชประจำวังพฤกษาปักเข้าที่หัวใจของท่านอา
"ตายตามเขาไปเถอะ"
หลังจากนั่นเธอก็ไม่กินข้าวไม่กินน้ำไม่เพิ่มพลังอยู่แต่ในห้องสุดท้ายก็จากไปในที่สุดทิ้งไว้เพียงเด็กหนุมที่ต้องแบกสิ่งที่เขาเจอต้องโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่ยังไม่พร้อมเขาต้องกลายเป็นผู้ปกครองฝืนป่าตั้งแต่อายุ 10 และที่ทรมานที่สุดคือต้องอยู่กับความโดดเดี่ยวที่ผู้ใหญ่ทิ้งไว้ให้ ไม่เหลือใครสักคน ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงกลับมาหลอกหลอนเด็กหนุ่มทุกวันจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่จางหายไปไหนยังคงกลับมาทำร้ายเขาซ้ำๆ ตอกย้ำให้เขาจมดิ่งโดยไม่มีใครช่วยเหลือ
.
.
.
.
.
ช่วงคำถามท้ายตอน
ทุกคนคิดว่าความรักเป็นเช่นไร แบบนี้ดินแดนรู้สึกใช่รักหรือเปล่า แล้วความรักที่พงไพรให้กรรณิการ์เรียกว่าความรักหรือไม่ และหากทุกคนเป็นพฤกษ์จะรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้อย่างไร