นี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,fantasy,โรแมนซ์,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือนนี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
ประตูที่เคยแบ่งภพคนเป็นกับคนตายได้เปิดออก โลกจึงตกอยู่ในความวุ่นวายมาตลอด 100 ปี
มนุษย์ถูกวิญญาณเล่นงาน ดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อจะคงตัวตนให้อยู่ในโลกคนเป็นต่อไปได้ และเพื่อทำสิ่งที่เมื่อครั้งมีชีวิตไม่อาจทำได้
ผู้ที่สามารถจัดการกับเหตุเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้มีเพียงแค่จอมเวทผู้ครอบครองเวทมนตร์ หรือจอมเวทตำแหน่งมือปราบ "Mage Exorcist" พวกเขาต่างช่วยเหลือผู้คนและขบคิดหาวิธีจัดการกับประตูแบ่งแยกสองภพนั่นมาตลอด
ทว่าจนปัจจุบันก็ยังไม่อาจปิดประตูนั่นได้
ภาคที่ 1 เฟาส์วอเชียที่ซึ่งสหายไม่ทิ้งกัน
เอเดน บลายธ์เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในชนบท จนวันหนึ่งก็มีคนจากโรงเรียนเวทมนตร์ชื่อดัง 'เฟาส์วอเชีย' มาทาบทาม โดยบอกว่าเขามีพลังเวทมนตร์ซ่อนอยู่
เอเดนไม่เชื่อในคำพูดสวยหรูเหมือนตนเป็นผู้ถูกเลือก หรือเป็นตัวเอกในเรื่องราวอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ในชีวิตที่ต้องเจอแต่สายตาหวาดระแวงอีกต่อไป จึงคว้าโอกาสโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะมีเวทมนตร์หรือจะใช้มันได้จริงหรือไม่
คุยกันก่อนเข้าเรื่อง
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกคนสู่นิยายเรื่องนี้นะคะ!
เรื่องนี้จะลงแบบหั่นตอนเนื่องจากบางบทค่อนข้างยาว แต่จะลงตอนทั้งหมดเลย โดยหั่นเป็นกี่ตอนขึ้นอยู่กับความยาวเดิมค่ะ
คาดว่าจะมาอัพทุก 2 สัปดาห์ แต่เราจะแต่งจนจบแน่นอนค่ะ
สามารถติดตามเราได้ที่
Twitter: Appletea_c
Facebook: Ringotea is ready
มีภาพประกอบเรื่อยๆ มาส่องได้นะคะ👌😌
#HauntingWish
ความฝันของเอเดนมักไม่ค่อยปราณีเขาบ่อยนัก
อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยมีความทรงจำดีๆ อย่างการเล่นพูดคุยหยอกล้อกับเพื่อน หรือการไปเที่ยวกับครอบครัวสักเท่าไร เวลาสมองดึงความทรงจำขึ้นมาสร้างเป็นความฝัน มันเลยมีแต่ความฝันเลวร้ายที่ทำให้ร่างกายของเขากระสับกระส่ายแม้จะอยู่ในห้วงภวังค์หลับไหล
ครั้งนี้ความฝันก็ยังคงผุดภาพความทรงจำเลวร้ายขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับต้องการจะบอกว่าเขาต้องพบชะตากรรมเดิมที่เฟาส์วอเชีย
มันเริ่มจากตอนที่เขาอายุ 8 ขวบ ขณะเล่นซ่อนแอบกับเพื่อนๆ
วันนั้นเป็นวันปกติที่ไม่มีอะไรผิดแปลกหรือชวนให้รู้สึกไม่ดี เอเดนที่รับหน้าที่เป็นคนออกตามหานั้นจับเพื่อนได้ทีละคนสองคนโดยไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก เพราะอย่างไรพื้นที่บริเวณรอบโรงเรียนก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรอยู่แล้ว แถมการเล่นเกมนี้หลายครั้งหลายคราของพวกเขาก็ทำให้เอเดนจำสถานที่ซ่อนส่วนใหญ่ได้ ทว่าหลังจากจับตัวเพื่อนคนที่หกมาได้แล้วสิบห้านาที เอเดนก็ยังหาตัวเพื่อนคนสุดท้ายไม่เจอ
พวกเขาเริ่มเล่นกันมาตั้งแต่บ่ายสี่โมงครึ่ง ดังนั้นในตอนนี้ที่เวลาล่วงเลยมาสามสิบนาที ดวงอาทิตย์จึงค่อยๆ ทอแสงสีส้มลงบนทุกสิ่งอย่างเกิดเป็นเงาทอดตัวยาวเหยียดบนพื้น เอเดนตระเวนตามหาเพื่อนคนสุดท้ายไปทั่วด้วยความไม่อยากยอมแพ้ จนกระทั่งตาไปสะดุดกับพื้นรองเท้าจางๆ ที่ไม่มีเงาทอดอยู่ของชายคนหนึ่ง
พอเงยมองก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาหม่นหมองตัวซีดเลือนจนแทบไม่ถูกแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ย้อมร่างกาย ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนเอเดนจะหันมองรอบๆ เพื่อนที่ถูกหาตัวเจอแล้วคงกำลังนั่งเล่นอย่างอื่นรอกันอยู่ แถวนี้จึงแทบไม่มีใครเลย เอเดนเหลือบมองชายตรงหน้าด้วยความลังเลอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามถึงที่ซ่อนของเพื่อนคนสุดท้ายดู
สิ่งที่เขากังวลตอนนั้นมีแค่เรื่องที่แอบโกงเกมเล่นซ่อนแอบด้วยการถามคนอื่นเท่านั้น ไม่มีความกลัวหรือตกใจเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วเลยสักนิด
เขาเดินตามเงาเลือนลางที่เคลื่อนตัวด้วยการลอยไปมามากกว่าการก้าวเท้า จนไปเจอที่ซ่อนของเพื่อนคนสุดท้าย เอเดนจับไหล่ของเด็กคนนั้นด้วยความตื่นเต้น ทำเอาเด็กคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย
‘อะไรกัน! อุตส่าห์นึกว่าไม่มีทางถูกจับได้แล้วเชียว!’
เด็กคนนั้นโวยวายเล็กน้อยเพราะนี่เป็นที่ซ่อนใหม่ที่ตนเพิ่งค้นพบ ส่วนเอเดนยิ้มร่า
‘ถ้าหาไม่เจอ นายคิดจะซ่อนอยู่นี่ไปตลอดรึไง’
‘ไม่อยู่แล้ว พ่อแม่ห้ามไม่ให้ออกมาตอนกลางคืนนี่…ว่าแต่นายหาเจอได้ไงน่ะ ไหนบอกเคล็ดลับมาซิเจ้าบ้านี่~’
เด็กชายทำท่าจะมาเล่นงานเขาแบบทีเล่นทีจริง เอเดนหัวเราะพลางหลบหลีกแขนกับมือที่เหวี่ยงมาเบาๆ พลางตอบอย่างง่ายดาย
‘เรื่องนี้เป็นความลับนะ ฉันขอให้คนช่วยพามาน่ะ’
‘หา โกงกันนี่!’
‘ไม่ใช่นะ!’
เอเดนรีบปฏิเสธทันที เขาไม่ได้มองว่าวิธีที่ใช้เป็นการโกง แต่เป็นวิธีพิเศษที่มีแค่เขาที่ใช้ได้ต่างหาก ดังนั้นเอเดนจึงรีบบอกความลับที่ตัวเองไม่เคยพูดกับใครนอกจากคนในครอบครัวให้ฟัง ทั้งสองคนค่อนข้างสนิทกัน เพราะฉะนั้นเขาต้องตื่นเต้นกับความสามารถลับของเอเดนแน่ๆ
เขาไม่ทันคิด…ไม่เคยคิดเลยว่าแม้แต่ในชนบทที่แทบไม่มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแห่งนี้ ผู้คนก็ยังกลัวเหล่าผู้หวนกลับมาจากความตาย
ในยามสนธยาที่โลกลับแลสามารถเผยสิ่งที่ซ่อนไว้ได้ เขาชี้นิ้วไปยังมุมมืดด้านหลังของเด็กชายด้วยรอยยิ้ม
‘ถ้าเป็นตอนนี้น่าจะเห็นนะ คนนั้นไง’
เด็กชายชะงัก แล้วค่อยๆ หันกลับไปด้วยลางสังหรณ์ที่ทำให้ร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา
และทันทีที่เอเดนพูดคำนั้น ใบหน้าของเพื่อนสนิทก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
‘ฉันขอให้วิญญาณคนนั้นช่วยน่ะ’
รอยยิ้มของตัวเองบิดเบี้ยวไปภายในสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัวสุดขีดของเด็กคนนั้น
“เอเดน!”
“เฮือก—!”
เอเดนสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อกาฬที่ไหลลงมาเต็มใบหน้า เขาหอบหายใจถี่ มือกำผ้าห่มบนตัวแน่น ในหูเหมือนจะได้ยินเสียงของเด็กผู้ชายที่ไม่ได้ยินมานานมากๆ อยู่ และชั่วแวบหนึ่ง เอเดนคิดว่าจะเห็นแสงสีส้มที่ย้อมทุกอย่างให้อยู่ในแดนสนธยา ทว่าสิ่งที่ปรากฏตรงใบหน้าตื่นตระหนกของเขากลับเป็นใบหน้าของคนไม่คุ้นเคยสองคน
“เอเดน เป็นไรไหมพวก?”
ไอน์ที่ก้มหน้ามองเขาอยู่เอ่ยถามสบายๆ แต่ก็แฝงความเป็นห่วงในน้ำเสียงเล็กน้อย ส่วนคาแนตต์ยืนมองอยู่เงียบๆ
อา นี่เขาฝันไปเท่านั้นเอง
ความโล่งใจหลังกลับมาสู่ความจริงได้ทำให้เอเดนเริ่มสงบลง เขาขยับตัวลุกขึ้นพลางบอกว่าไม่เป็นไรกับทั้งสอง
“โอ้…อืม ไม่เป็นไรหรอกนะเอเดน! วันแรกที่ฉันมาก็ฝันร้ายเพราะไม่คุ้นที่เหมือนกัน!” ไอน์บอกด้วยรอยยิ้มร่าเริง ส่วนคาแนตต์ส่งสายตามองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร
เอเดนเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงดีเหมือนกัน ภายในห้องจึงเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนไอน์จะกระแอมเสียงดัง
“อะแฮ่ม! ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเตรียมตัวเถอะ! เราต้องไปหาอะไรกินก่อนเข้าเรียนวิชาแรกนะ เดี๋ยวฉันจะแนะนำเมนูอร่อยๆ ให้เอง!”
“เอ่อ…ขอบใจ” เอเดนมองนาฬิกาข้างเตียง ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงสิบ เวลาเริ่มเรียนคือแปดโมงครึ่ง ดังนั้นเขาควรจะรีบสักหน่อยจริงๆ
พอเขาหย่อนขาลงบนพื้นคาแนตต์ก็เอ่ยขึ้น
“บลายธ์ ช่วงเช้านี้ฉันคงไม่ได้ไปเรียนด้วยเพราะติดงานของพรีเฟ็คน่ะ นายไปกับคีธแล้วกัน”
“อ้อ เข้าใจแล้ว” พอเขาตอบคาแนตต์ก็พยักหน้าให้หนึ่งทีแล้วเตรียมตัวออกไปจากห้อง ทำให้เขาสงสัยว่างานของพรีเฟ็คนี่มันมีอะไรบ้างกันนะ ถึงกับต้องขาดเรียนไปทำ
“เพิ่งเปิดเทอมแท้ๆ แต่งานยุ่งมากเลยนะคาแนตต์”
“ก็นะ พรีเฟ็คไม่อยู่คนนึงนี่”
“อ้อใช่ เหนื่อยหน่อยนะเพื่อน”
คาแนตต์ไม่ตอบอะไร แล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง เอเดนจึงหยิบเสื้อผ้าของตนเข้าห้องน้ำไปเช่นกัน
หลังสวมชุดนักเรียนสีดำสนิทของโรงเรียนเฟาส์วอเชียแล้วหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายไหล่หลวมๆ เอเดนก็ตามไอน์ออกมายังโรงอาหารซึ่งมีคนอยู่หนาแน่นต่างจากเมื่อคืน บนโต๊ะแถวยาวตรงมุมห้องนั้นมีจานอาหารเรียงรายให้เลือกหยิบได้อย่างเต็มที่ เอเดนสังเกตว่าแม้จะมีนักเรียนแวะเวียนมาตักอาหารไปแต่อาหารในจานก็แทบไม่พร่องลงเลย พวกเขาเข้าไปต่อคิวแถวตักอาหารขณะที่ไอน์ก็เริ่มเล่าว่าเมนูไหนอร่อยไปด้วย
สำหรับเอเดนแล้วเขากินอะไรก็ได้จึงไม่สนใจเมนูอาหารที่ไอน์แนะอย่างออกรสเท่าไร แถมตอนนี้เขายังโฟกัสกับสายตาของคนในโรงอาหารที่มองมาทางนี้มากกว่าด้วย ถึงจะมีทั้งคนที่ไม่สนใจแล้วก็จับกลุ่มคุยเรื่องของตัวเองด้วยก็เถอะ แต่เอเดนก็ยังอยากรีบๆ ตักอาหารแล้วหลบสายตาเหล่านั้นไปอยู่ดี เพราะการอยู่ท่ามกลางผู้คนมันไม่ใช่วิสัยของเขาเอาซะเลย
น่าเสียดายที่ไอน์ไม่ได้รีบหรือใส่ใจสายตาผู้คนเท่าเขา เด็กหนุ่มแลบลิ้นมุมปากพลางตั้งอกตั้งใจเลือกแซนวิชทูน่าชิ้นที่ดีที่สุดอย่างใจเย็น จนเอเดนรู้สึกเหนื่อยแทน จะว่าไปการยืนคู่กับไอน์ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นด้วยไม่ผิดแน่ เพราะเด็กหนุ่มผมสีเหลืองเข้มคนนี้ตัวสูงมาก น่าจะเกินร้อยแปดสิบนิดหน่อยเลยด้วยซ้ำ
เอเดนก็ไม่ได้เตี้ยหรอก เขาสูง 173 และน่าจะยังสูงได้อีก แต่การยืนคู่กับไอน์ที่สูงจนเกือบเป็นเสารวมพลได้นี่มันก็อีกเรื่อง
ในที่สุดไอน์ก็เลือกแซนวิชที่มีไส้ทูน่าเต็มแน่นมาได้ชิ้นหนึ่ง แล้วจึงสังเกตเห็นว่าเอเดนไม่สบายใจกับสายตาคนสักเท่าไร เด็กหนุ่มเหลียวมองไปยังนักเรียนที่นั่งเต็มโรงอาหาร จากนั้นก็ขยับมากระซิบข้างๆ
“นายไม่ต้องสนใจพวกนั้นหรอก ก็แค่อยากรู้ว่าเด็กใหม่เป็นคนจากไหนน่ะ”
“…ทำไมถึงต้องอยากรู้ขนาดนั้น” เอเดนพึมพำแบบไม่ได้ตั้งใจจะถาม แต่ไอน์ก็ตอบให้อยู่ดี
“ก็เด็กที่จะเข้าเฟาส์วอเชียต้องมีความสามารถด้านเวทมนตร์กับด้านสัมผัสวิญญาณน่ะสิ ส่วนใหญ่ที่มาเข้าโรงเรียนกันเลยเป็นพวกที่ได้รับการฝึกมาตั้งแต่เด็ก อยู่ในโรงเรียนหรูๆ ดีๆ …ก็พวกลูกขุนนางกับคนรวยนั่นแหละ แทบไม่เคยมีกรณีที่เด็กย้ายเข้ามาหลังเปิดเรียนเลย พวกนั้นถึงสงสัยว่านายมาจากตระกูลไหนถึงเข้ามาเป็นกรณีพิเศษได้”
“ฉันไม่ได้มาจากตระกูลไหนเลยน่ะสิ”
“ฉันรู้ เอาจริงฉันก็มาจากครอบครัวธรรมดานี่แหละ ไม่ได้มีเงินอะไรเท่าไรด้วย กู้เรียนเอาน่ะ”
เอเดนมองเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ “โรงเรียนนี้ไม่ค่อยให้ทุนเหรอ”
“น้อยนะ ต้องเป็นนักเรียนที่พวกเขาคิดว่าจะเติบโตไปเป็นจอมเวทเก่งๆ ใหญ่โตได้แน่ๆ เท่านั่นล่ะ…แต่ปีนี้ก็ให้ทุนคนที่ไม่ได้มีแววเท่าไรด้วย นายก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ไอน์ว่าพลางคีบแซนวิชแฮมวางในจานเขาชิ้นหนึ่ง ส่วนเขากำลังคิดว่าควรจะพูดอย่างไรกับเรื่องทุนที่ได้รับแบบงงๆ นั่นดี จนสุดท้ายก็ตัดสินใจพูดไปตรงๆ ระหว่างเดินไปจนถึงท้ายโต๊ะอาหาร
“ฉันใช้เวทมนตร์ไม่เป็นหรอกนะ ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ไหมด้วย”
ไอน์ยิ้ม “ฉันรู้น่า ฉันเป็นผู้ดูแลนายอีกคนนะ เดี๋ยวนายก็ใช้ได้แหละเอเดน อาจารย์ใหญ่ยังว่างั้นเลย”
เอเดนหน้าเจื่อนทันทีที่นึกถึงแอ็บนัส ซึ่งนั่นทำให้ไอน์หัวเราะ ทั้งสองไปหาที่นั่งหลบมุมเพื่อกินมื้อเช้า ระหว่างนั้นไอน์ก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้พลางกระซิบกับเขาอย่างตื่นเต้น
“จะว่าไปนี่เป็นข่าวลือวงในที่ฉันได้ยินมา ดูเหมือนว่าช่วงนี้รัฐบาลจะเฟ้นหาตัวผู้มีพรสวรรค์เพื่อดำเนินแผนการปิดประตูสองภพอยู่ บางทีนายอาจจะเป็นคนที่พวกเขาตามหาก็ได้นะ!”
ข้อมูลนั้นยิ่งทำให้อาหารเช้าของเอเดนอร่อยน้อยลงไปอีก ถัดจากมีพลังเวทแฝงในตัวโดยไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นผู้ถูกเลือกให้ช่วยโลกเหรอ ไม่ตลกเลยนะนั่น
เอเดนภาวนาอย่างจริงจังว่ามันต้องไม่ใช่เขาเด็ดขาด
คาบเรียนแรกของเขาเริ่มด้วยวิชาคณิตศาสตร์ จากนั้นตามมาด้วยวิชาวิทย์และสังคม ซึ่งล้วนเป็นวิชาความรู้ทั่วไปอย่างที่หวัง
อย่างน้อยแอ็บนัสก็รู้ว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แม้จะต้องแยกกับไอน์เพราะอีกฝ่ายเลือกเรียนวิชาเวทพื้นฐานมากกว่า แต่ทั้งสองคนจะมาเจอกันอีกทีในคาบที่สามก่อนพักเที่ยง พอรู้ดังนั้นไอน์ก็ให้กำลังใจเสริมว่า 'คนที่เรียนวิชาสายทั่วไปมีแต่พวกที่ไม่อคติเจ้ายศเจ้าอย่าง แถมน่าจะมีพวกสติเฟื่องเพี้ยนๆ เยอะเลยไม่ต้องเป็นห่วงไป' ซึ่งมันก็เป็นดังที่เขาว่าจริงๆ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเอเดนนักเพราะมัวแต่นั่งอ่านหนังสือท่องสูตรกัน
นั่นทำให้เขาเริ่มคิดทบทวนเรื่องไอน์ใหม่อีกครั้ง จากที่ไม่ไว้วางใจตอนเจอกันเมื่อวาน ตอนนี้เอเดนเริ่มจะชินกับเด็กหนุ่มร่าเริงคนนั้นขึ้นมานิดหน่อยแล้ว แม้จะยังไม่เชื่อสนิทใจและยังมีความคิดแง่ลบวนเวียนเข้ามาว่าเขาอาจแกล้งทำเป็นตีสนิทด้วยก็ได้อยู่ แต่เอเดนก็ไม่รู้สึกว่าไอน์มีจุดน่าสงสัยเท่าไร
เขาดูเป็นเด็กหนุ่มร่าเริงธรรมดาๆ
แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
การเป็นที่หวาดกลัวและเป็นเป้าของการกลั่นแกล้งมานานทำให้เอเดนไม่สามารถเชื่อความจริงใจนั่นได้จนกว่าจะมีข้อพิสูจน์ และในเมื่อตอนนี้ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เอเดนจึงปัดเรื่องนั้นออกไปจากหัวแล้วตั้งอกตั้งใจเรียนแทน เขาไม่มีปัญหากับการไล่ตามบทเรียนนักเพราะตัวเองอ่านหนังสือล่วงหน้ามาตั้งแต่ปิดเทอมแล้ว แต่การที่ต้องแนะนำตัวให้ทุกคนในห้องเรียนฟังมันก็น่าอึดอัดใจอยู่
ทว่าเอเดนก็ยังผ่านมาได้โดยไม่มีเสียงซุบซิบหรือคำดูถูกแว่วมา คงจริงอย่างที่ไอน์ว่า เด็กส่วนใหญ่ในห้องสนใจการเรียนมากกว่าตัวเขา แม้บางคนจะมองเอเดนอย่างสนใจแต่ก็เลือกจะนั่งเรียนเงียบๆ ซึ่งนั่นทำให้เขาโล่งใจมากทีเดียว พอมาสมทบกับไอน์ในคาบสามและไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ เอเดนก็เริ่มจะคาดหวังว่าวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีขึ้นมา
ประเด็นก็คือเขายังไม่ได้ผ่านด่านที่ใหญ่ที่สุดอย่างวิชาเวทมนตร์ในคาบต่อไปเลยเนี่ยสิ
หลังกินมื้อเที่ยงเรียบร้อยและมาเลือกที่นั่งก่อนเวลาเริ่มเรียนวิชาเวทมนตร์สิบนาที ไอน์ก็มองไปรอบห้องเหมือนกำลังหาใครอยู่
ทีแรกเขาคิดว่าไอน์อาจจะกำลังหาคาแนตต์ แต่ท่าทางสองคนนี้ก็ดูไม่สนิทกันขนาดนั้น ไม่ก็ต้องบอกว่าไอน์พยายามตีสนิทอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า
“อา เหมือนยัยนั่นจะมาช้าแฮะ อุตส่าห์ว่าจะแนะนำนายสักหน่อย”
คำว่า ‘ยัยนั่น’ ทำให้เขาลบความคิดเดิมทิ้ง นี่ไอน์คิดจะแนะนำเขากับใครกันน่ะ
หรือว่าจะมาแนวลูกพี่ใหญ่…ไม่หรอก เขาคงระแวงจนจินตนาการไร้สาระไปเอง
เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ ก่อนเวลาเข้าเรียนเล็กน้อย ไอน์ก็หยุดหันมองคนอื่นแล้วมาอธิบายถึงอาจารย์ชายตัวใหญ่หน้าตาหยิ่งผยองที่สอนในวิชาเวทมนต์พื้นฐานแทน
“อาจารย์คาร์ล บาร์เกน น่ะถึงจะตัวใหญ่แต่ถนัดเวทใช้เวทมนต์มากกว่าร่างกายเลยมาสอนเวทพื้นฐาน แถมยังพูดเก่งสุดๆ ถ้าลองชมหรือขอให้เล่าวีรกรรมสักทีก็ไม่ต้องเรียนทั้งคาบนั้นเลย”
อาจารย์แบบนี้ไม่ว่าที่ไหนก็มีสินะ…
เอเดนยิ้มเจื่อนพลางมองอาจารย์ที่กำลังเปิดสมุดเช็คชื่อขึ้นมา ทันใดนั้นคาร์ลก็เงยมองเอเดนราวกับรู้ตัว เขาหรี่ตาลงพลางเผยยิ้มมุมปากที่ไม่น่าไว้วางใจ ทำให้เอเดนรีบหันหน้าหนีแล้วทำเป็นสนใจหนังสือเรียนทันที โชคดีที่เขานั่งอยู่หลังสุดมุมห้องจึงอาศัยหลังของนักเรียนคนอื่นบังได้อย่างเต็มที่
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ เสียงออดก็ดังขึ้นพอดี คาร์ลปิดสมุดเช็คชื่อดังฉับแล้วเริ่มกล่าวทักทาย จากนั้นก็เริ่มต้นการสอนที่เอเดนแทบไม่รู้เรื่องสักนิด นอกจากเรื่องเวทพื้นฐานที่คาแนตต์อธิบายให้ฟังเมื่อวาน เขาพอจะจับใจความได้แค่ปริมาณเวทที่สัมพันธ์กับระดับการใช้ ความเข้ากันได้ แล้วก็สัมผัสอะไรสักอย่าง บางทีถ้าเขาหัดอ่านนิยายแฟนตาซีไว้สักหน่อยอาจจะพอนึกภาพออกบ้างก็ได้มั้ง
พอสอนไปได้ครึ่งคาบ คาร์ลก็หยุดการอธิบายไว้ที่การควบคุมน้ำจากระยะไกล แล้วหันมาหานักเรียนด้วยรอยยิ้ม
“ฟังการอธิบายคงจะชวนง่วงกัน งั้นเราให้ใครออกมาสาธิตดูดีไหม มีใครอยากอาสาบ้างรึเปล่า”
นักเรียนหลายคนยกมือขึ้นมา คาร์ลจึงเลือกนักเรียนชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าซึ่งชื่อว่า เจด วิลเลี่ยม
เจดไม่ได้ลุกขึ้นทันทีที่คาร์ลเลือก
“ขอโทษครับอาจารย์ ผมไม่ได้จะอาสาเองแต่อยากเสนอชื่อคนอื่นที่น่าจะเหมาะมากกว่าน่ะครับ”
“โฮ่ ไหนลองว่ามาสิ”
“นักเรียนใหม่เป็นไงครับ”
เจดกล่าวด้วยรอยยิ้มแสยะพร้อมหันมามองเอเดน ส่วนคาร์ลก็เผยยิ้มที่ไม่ต่างกันมากนัก ราวกับรอเวลานี้มาตลอด
“งั้นเชิญคุณเอเดน บลายธ์ ช่วยมาสาธิตเวทควบคุมน้ำระยะไกลให้เราดูหน่อยได้ไหม ทุกคนจะได้รู้จักนักเรียนใหม่ด้วยเลย”
เอเดนเม้มริมฝีปากด้วยความลำบากใจ ถึงเขาจะพอคาดเดาสถานการณ์อะไรแบบนี้ได้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจจะมาแสดงเวทมนตร์ที่ขนาดตัวเองยังไม่รู้วิธีใช้หรอกนะ
“เอ่อ อาจารย์ครับ ตอนนี้เอเดนไม่ค่อยสบายเท่าไร ไว้วันหลัง—”
“อะไรกันๆ ได้ยินว่าอาจารย์ใหญ่เป็นคนเชิญมาด้วยตัวเองแท้ๆ แต่กลับไม่สบายตั้งแต่วันแรกเลยเหรอเนี่ย ถ้าไม่สบายจนใช้เวทมนตร์ไม่ได้งั้นก็ควรไปห้องพยาบาลนะบลายธ์” คาร์ลตัดบทไอน์ด้วยรอยยิ้มจอมปลอม
“ไม่ใช่ว่าแกล้งป่วยหรอกเหรอ” เจดทำทีเป็นกระซิบกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ เสียงดัง โดยไม่ลืมส่งสายตามาทางเอเดนด้วย
ไอน์ทำเป็นยิ้มสู้แล้วตอบ “แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนอาจารย์ก็บอกว่าถ้าใช้เวทมนตร์ตอนป่วยอาจส่งผลกับร่างกายได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“นั่นมันก็จริง แต่วันนี้คุณบลายธ์ก็ไปเรียนวิชาอื่นโดยไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ หรือว่า…จะมีปัญหาแค่ในวิชาของฉันกันล่ะ?” คาร์ลเว้นช่วงอย่างจงใจ
ตอนนี้ทุกคนในห้องต่างหันมาให้ความสนใจที่เอเดนกันหมดแล้ว ข้อดีของการนั่งหลังห้องได้แปรเปลี่ยนเป็นเป็นข้อเสียในทันทีเมื่อสายตาของทุกคนตกลงมากระทบที่เขาอยู่คนเดียว และแม้จะทั้งก้มหน้าให้ผมปรกลงมาหรือใส่แว่นตาเพื่อบดบังแค่ไหน เจดก็ยังป่าวประกาศจุดด้อยของเขาได้อยู่ดี
“ถ้านับว่าตาสีเขียวเป็นปัญหาสุขภาพ เขาก็คงใช้เวทมนตร์ไม่ได้จริงๆ ล่ะครับอาจารย์”
เป็นการเล่นงานที่สมบูรณ์แบบ เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นตรงโน้นทีตรงนี้ที และสายตาที่มองมาก็เริ่มเสียดแทงขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาที่นำโชคร้าย ดวงตาที่เห็นแต่ความตาย พวกที่มีดีแค่เห็นคนตายแต่ไม่มีเวทมนต์ เอเดนฟังคำพูดเหล่านั้นพลางปิดกั้นตัวเองและคิดหาวิธีจบสถานการณ์ให้ไวที่สุด
ถ้าอยู่เฉยๆ ก็คงจะถูกสงสัยแล้วก็ไล่ต้อนไปเรื่อยๆ ถึงการออกไปแล้วโดนดูถูกจะไม่ใช่หนทางที่ดีพอกันก็เถอะ แต่เรื่องจะจบไวที่สุด เมื่อตัดสินใจได้ เอเดนก็เตรียมตัวจะลุกขึ้นมาเพื่อเดินไปสาธิตเวทหน้าชั้น ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงเก้าอี้ครูดกับพื้นก็ดังก้องทั่วห้อง
“ฉันอาสาเองค่ะ!”
ทุกคนเงียบลงในทันทีเมื่อเด็กสาวผมแกละคนหนึ่งลุกขึ้นพร้อมชูแขนอย่างกระตือรือร้น
“…คุณแอช ฉันบอกแล้วนี่ว่าไม่อนุญาตให้เธอใช้เวทในคาบฉัน”
“อาาา เรื่องนั้นมันไม่ยุติธรรมไม่ใช่เหรอคะ ในเมื่อนี่เป็นวิชาเวทพื้นฐาน ทุกคนก็ต้องมีสิทธิใช้เวทเพื่อฝึกฝนสิคะ”
“แต่เธอน่ะ…เฮ้อ ฉันให้เธอใช้เวทในคาบที่เรียนห้องอื่นได้ ดังนั้นก็นั่งลงแล้วให้คุณบลายธ์มาสาธิต…”
“แต่ฉันอยากลองสาธิตค่ะ!”
“นี่คุณแอช!”
เอเดนมองเห็นเด็กสาวคนนั้นได้ไม่ชัดนักเพราะอยู่เยื้องกันไปคนละมุมห้อง แต่ดูเหมือนเธอจะยกแขนขึ้นกอดอกอย่างดื้อด้านอยู่
“ก็อาจารย์ถามว่าใครจะอาสา บลายธ์ไม่ได้อาสาแล้วทำไมต้องให้เขามาสาธิตด้วยคะ” เธอกล่าวอย่างฉะฉานจากนั้นก็ลดเสียงลงนิดเดียว “…แล้วไอ้เจ้าวิลเลี่ยมนั่นจะยกมือหาพระแสงอะไรก่อน”
“ยัยนี่!” เจดซึ่งนั่งถัดจากเด็กสาวเพียงสองที่นั่งทำท่าจะลุกขึ้น แต่เธอก็ไม่สนใจแล้วประกาศกร้าว
“ดังนั้นฉันจะสาธิตเวทควบคุมน้ำจากระยะไกลให้ดูเองค่ะ! มั่นใจได้ว่าต้องออกมาประณีตสวยงามดั่งแม่น้ำที่ไหลข้างโรงเรียนแน่นอน เอาจริงๆ ฉันสาธิตจากตรงนี้เลยก็ได้นะ” เธอยืดแขนไปยังโต๊ะอาจารย์ซึ่งมีแก้วน้ำวางอยู่ นักเรียนคนอื่นเริ่มโวยวาย ส่วนคาร์ลขยับหลบทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้ถ้ายังไม่อยากถูกกักบริเวณคุณแอช!”
“แต่ฉันอาสานะคะ!”
“ฉันไม่อนุญาต!”
“งั้นผมขออาสาเองครับ!”
คราวนี้ไอน์ลุกขึ้นบ้าง
“นั่งลงเดี๋ยวนี้คุณคีธ!”
“อ๊ะ ถ้าฉันไม่ได้งั้นก็ให้คนอื่นสาธิตสิคะ คนที่ยกมือเมื่อกี้มีถมเถ หรือจริงๆ แล้วก็แค่ยกเอาหน้า?”
นักเรียนคนอื่นเริ่มพูดคุยกันทันที ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเสียงก่นด่าเด็กสาวที่พาดพิงถึงพวกตัวเอง แต่เธอก็ไม่สนใจอยู่ดี
“เงียบๆ! เอาล่ะ วันนี้จะไม่มีการสาธิต แต่จะมีการบ้านแทน ไปเขียนรายงานเรื่องการควบคุมธาตุต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ และใช้งานได้จริงมาส่งภายในอาทิตย์หน้าซะ”
ทั้งห้องโอดครวญทันที เด็กสาวเองก็ด้วย เธอนั่งลงอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าตอนถูกคนในห้องว่าซะอีก จากนั้นคาร์ลก็กลับไปสอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเจดก็จ้องเด็กสาวคนนั้นก่อนจะหันมาจ้องเอเดนต่อด้วยแววตาเจ้าคิดเจ้าแค้น ยังกับว่าพวกเขาไปฆ่าหมาตัวโปรดอย่างงั้นล่ะ
ไอน์กลับลงมานั่งข้างเอเดนก่อนจะขยิบตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มทะเล้น
“ยัยคนนั้นแหละเพื่อนฉันเอง”