คู่โชคชะตาของฉันคือคนที่ฆ่าพ่อแม่ของฉัน ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเป็นแก — ริช ภวินท์ อาร์เจนตัม
แอคชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-ชาย,ComingOfAge,เรื่องยาว,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Code He(a)vn; ตราบนานชั่วนิรันดร์คู่โชคชะตาของฉันคือคนที่ฆ่าพ่อแม่ของฉัน ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเป็นแก — ริช ภวินท์ อาร์เจนตัม
Genre : Fantasy • Sci-fi • NanoPunk • Action • Coming of age • Adventure
เนื้อหานิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ทั้งเนื้อหา การบรรยาย และการกระทำของตัวละครล้วนไม่เหมาะสมด้านพฤติกรรม เพศ และความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้อ่านที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ
ริช ภวินท์ อาร์เจนตัม เด็กชายที่สูญเสียพ่อแม่ไปด้วยเหตุหมู่บ้านโลหิตซากเกลือนเมื่อ 20 ปีก่อน
เขารอดมาได้ด้วยความตั้งใจของ มาลิก โฮเนอร์ คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่โชคชะตาของเขา
สวัสดีค่ะ ขอฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ พึ่งเขียนแนวออริจินัลครั้งแรกเลย แถมเป็นแฟนตาซี ไซไฟ ซะด้วย!?! ถ้าชอบก็คอมเม้นกดเลิฟเรื่องนี้ได้นะคะ ขออนุญาตฝากแท็ก #ตราบนานชั่วนิรันดร์ #CodeHeavn ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ช่องทางการติดตามทั้งหมด
“คุณรู้ไหมว่าตัวเองไปนอนอยู่ตรงนั้นได้ยังไง?”
คำถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มได้ถามเป็นภาษาอังกฤษกับชายหนุ่มเจ้าของผมสีดำ นัยน์ตาสีเฮเซลนัทแกมสีเขียวตาซ้ายและสีฟ้าตาขวาคนละข้าง ผิวพรรณผ่องขาวซีดพร้อมกับแผลตามตัวที่ยังสดใหม่แม้จะไม่เยอะ
แต่ก็ดูรู้ว่าเขาโดนทำร้ายมา...
และรูปลักษณ์หน้าตาที่โดดเด่นบ่งบอกถึงชาติกำเนิดที่ใครต่างอิจฉาของเขานั่นก็คือ ‘อัลฟ่า’
ซึ่งมองยังไงก็เป็นอัลฟ่าและเป็นคนต่างชาติด้วย แต่เจ้าตัวนั้นยังมองตาเจ้าหน้าที่ด้วยแววตาที่นิ่งไร้อารมณ์ใด ๆ
“พูดภาษาไทยได้ครับ ผมพูดภาษานี้ได้”
การออกเสียงคำที่ชัดเจนทั้งสระและพยัญชนะของหนุ่มต่างชาติคนนี้ ถ้าไม่เห็นหน้าก็นึกว่าเป็นคนไทยแท้ ๆ เลยก็ว่าได้
สำหรับเจ้าหน้าที่แล้วมันสะดวกมาก ๆ ที่เขาพูดและฟังออกได้
“อา..เหรอครับ คุณรู้ไหมว่าตัวเองมาไปนอนอยู่ตรงนั้นได้ไง ”
“จำไม่ได้แล้ว”
“ใครทำร้ายคุณเหรอครับ พวกติดยาแถวนี้ไหม?”
“ถ้าจำไม่ผิดที่ผมนอนสลบ ไม่มีคนพวกนี้ครับ”
อัลฟ่าหนุ่มตอบ เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็แปลกใจที่เจ้าตัวพูดออกมาเหมือนรู้ว่าตรงที่เขาสลบจะไม่มีคนพวกนั้น ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนสารรูปคือบาดเจ็บเหมือนเพิ่งโดนทำร้ายมาแท้ ๆ
“ถึงไม่มีแต่เราต้องถามเพื่อความปลอดภัยในอนาคตครับ สรุปคือไม่มีใช่ไหม?”
“ครับผม”
“แล้วที่พักล่ะครับ จำได้ไหมพวกเราจะไปส่งคุณครับ”
“ที่พัก…บ้านเหรอ”
ชายหนุ่มนึกคำตอบก่อนที่ถอนหายใจเบา ๆแล้วมองเจ้าหน้าที่อีกครั้งด้วยแววตาที่ไร้อารมณ์เช่นเคย
“จำไม่ได้แล้วล่ะ”
“จริงเหรอ? ไม่มีที่พักเลยหรือครับ?”
“ครับ”
รู้สึกได้ถึงเกินเยียวยามาก เพราะอีกฝ่ายท่าทางคงโดนทำร้ายร่างกายมาเยอะมากจากที่เห็นรอยแผลตามที่ต่าง ๆ และเหมือนชายคนนี้มีกำแพงที่หนาพอตัวราวกับว่าเขาไม่ต้องการอะไรจากเจ้าหน้าที่ แม้สภาพเขาน่าเป็นห่วงขนาดนี้แท้ ๆ
ดังนั้นต้องช่วยเหลือให้ได้มากที่สุดเพื่อภาพลักษณ์ของประเทศและชื่อเสียง
“รู้ไหมครับ พวกเราที่ได้ไปเจอคุณนั้น สภาพคุณนอนเหมือนรอความตายเลยครับ อาจจะก้าวก่ายไปพอสมควรแต่พวกเราไม่สามารถนิ่งดูดายได้เลยครับที่จะให้คน ๆ หนึ่งเป็นอะไรไปโดยที่เราไม่ได้ทำอะไร”
เจ้าหน้าที่ที่นั่งตรงข้ามชายหนุ่มอัลฟ่าพูดด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและจริงใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไร้การตอบสนองยินดียินชอบให้จากชายหนุ่มต่างชาติคนนี้
“ตอนนี้ผมขอทราบอีกอย่างให้แน่ใจ คุณได้ทำพาสปอร์ตหายไหมครับ เราจะได้ให้สถานทูตประเทศนั้น ๆ ช่วย แล้วคุณมาจากประเทศไหนครับ?”
เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ยืนอยู่อีกคนได้ถามเพราะเขามีแผลตามตัวแม้เสื้อผ้าที่ใส่จะเป็นเสื้อแขนยาวคอเต่าสีดำและมีเสื้อนอกสีน้ำเงินเข้มดูเลอะดินมีรอยขาดบางจุดแถมไม่มีข้าวของอะไรเลย
ดูยังไงก็ถูกปล้น....
ไม่ว่าจะมองยังไงหนุ่มอัลฟ่าคนนี้โดนทำร้ายมาอย่างแน่นอน
“พาสปอร์ตเหรอ…ไม่มีครับ”
“แล้วเข้าของคุณถูกขโมยมีอะไรบ้างครับ”
“ไม่มีครับ”
“ถ้าไม่มีแล้วคุณนอนตรงนั้นทำไมครับ”
“ผมแค่เหนื่อยน่ะเลยนอนไปเฉย ๆ”
“ข้างถนนเนี่ยนะ?”
“ใช่”
คำพูดคำจาหน้าตายอีกรอบ ไร้สีหน้าแววตาที่ว่างเปล่าของหนุ่มอัลฟ่าคนนี้ ดูก็รู้ว่าเขาไม่ให้ความร่วมมืออะไรเพราะไม่เชื่อใจในฝีมือของหน่วยรักษาความปลอดภัยประเทศไทยแน่นอน
ถึงอย่างนั้นถ้าเกิดอะไรเข้าตาจน หน่วยงานปกป้องจากภัยร้ายก็ทำงานได้ดีไม่แพ้ใครเหมือนกัน
“ผมเข้าใจนะครับ..คุณกำลังกลัว เพราะนี่มันก็ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของคุณ แต่โปรดไว้ใจ—”
“ไม่มีของแบบนั้น…อะไรทั้งนั้นครับ”
ชายหนุ่มพูดเสียงชัดแทรกและน้ำเสียงที่เปร่งนั้นมันช่างไร้อารมณ์อีกครั้ง แต่รอบนี้มีอารมณ์ที่กดดันจากชาติกำเนิดอัลฟ่าแทรกเข้ามาด้วย
เจ้าหน้าที่สองคนแอบหัวเสียเล็กน้อยคิดว่าจะทำผลงานสักหน่อย เขาถอนหายใจแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ดูผลักไสและเหมือนไม่ให้ความร่วมมืออะไรให้
“คุณกำลังทำให้เจ้าหน้าที่ลำบากนะครับ แล้วคุณเป็นผู้เสียหายดูจากแผลตามตัว คุณถูกทำร้ายมา เจ้าหน้าที่รบกวนขอให้คุณแจ้งรายละเอียดมาเลยครับ”
เขามองตาไปที่สีเฮเซลนัทสวยของอีกฝ่าย ถึงจะอยากสร้างผลงานยังไงแต่การช่วยเหลือนั้นก็สำคัญเหมือนกัน
“ไม่ต้องกังวลไปนะครับ พวกเราพร้อมช่วยเหลือคุณ ขอแค่คุณบอกว่าเกิดอะไรขึ้น…”
"ใช่ครับ เช่นชื่อของคุณ" เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ก็เสริมขึ้นมา
"ชื่อเหรอ?" ชายหนุ่มอัลฟ่าถาม
"ครับ"
"อืม ผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยชื่อของผม"
เขาพูดโดยใบหน้ายังคงไร้อารมณ์อีกเช่นเคย แววตาของอัลฟ่าหนุ่มยังไร้ความรู้สึก ที่ดูกี่ครั้งก็ไม่สามารถรับรู้ถึงความคิดอะไรได้
“ชื่อจริงภวินท์ อาร์เจนตัมครับ ชื่อเล่นริช”
“อาร์เจนตัม? คุณเป็นลูกครึ่งเหรอครับ?”
“ใช่ครับ ไทย-อิตาเลี่ยน”
คำตอบของริช เหมือนจะให้ความร่วมมือหน่อยแล้ว ที่สำคัญนามสกุลของเขาเหมือนกับคนหนึ่งที่เจ้าหน้าที่เคยรู้จักได้ยินมานับไม่ถ้วน
“นามสกุลนี้ผมรู้จักนะครับ เมื่อ 20 ปีก่อนเขาทำงานเป็นดิสแมนเทิล (Dismantle) หรือหน่วยรื้อถอนซาก เขาชื่อ…” เจ้าหน้าที่หนุ่มที่นั่งกำลังนึกชื่อเขา
“ฟลิกก์ อาร์เจนตัม”
ริชพูดแทรกชื่อเขาทันทีแต่ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยรวมไปถึงแววตาทั้งสอง แม้จะเป็นแบบนั้นแต่น้ำเสียงเขาดูผ่อนคลาย
เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ยืนอยู่ก็ขอสลับตัวกันมานั่งสอบถามแทนคนเมื่อกี้ทันที พร้อมกับหยิบสมุดปากกาและที่อัดเสียงขึ้นมา และมองหน้าไปยังริชที่ดูเหมือนจะเปิดใจขึ้นมา
อีกอย่างนามสกุลเหมือนกันด้วย แต่ชาวต่างชาติหรือประเทศอื่นนามสกุลเหมือนกันใช่ว่าจะเป็นญาติกัน ฉะนั้นเจ้าหน้าที่คิดว่าชื่อเสียงเรียงนามในอดีตของฟลิกก์นั้นได้สร้างไว้ทำให้คนรุ่นหลังรู้จักไม่มากก็น้อย
“ชื่อนี้เป็นชื่อของเจ้าหน้าที่มากฝืมือ เขาเป็นคนที่แปลกแต่ก็แข็งแกร่งคอยจัดการพวกเอนเนเบิล (Enable) นอกเขตกั้นชายแดนไปมากแต่นั่นเป็นแค่อดีต…”
“...”
ปฏิกิริยาของริช อัลฟ่าหนุ่มดูเปลี่ยนไปหลังจากที่พูดถึงฟลิกก์ อาร์เจนตัมนั่นเอง เจ้าหน้าที่เห็นภาพรวมแล้วต้องได้สอบถามแน่นอน เขายิ้มบางและมองตาสองสีเฮเซลนัทฟ้าเขียวคนละข้าง
“ตอนนี้คุณพร้อมที่จะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ?”
เขาถามหนักแน่นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจให้กับริช ภวินท์ อาร์เจนตัม
“ถ้าจะให้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องเล่ายาวเลยล่ะ คุณพอมีเวลาฟังผมไหม?”
“ได้สิครับ หน้าที่ของพวกเขาคือช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนอยู่แล้ว”
สีหน้าของริช เจ้าของนัยน์ตาสีเฮเซลนัทแกมเขียวได้ระบายยิ้มออกมา บรรยากาศในที่นี่ดูจรรโลงใจไร้ความกดดันทันทีซึ่งต่างจากตอนแรกเป็นอย่างมาก
“ในประเทศไทยมีคดีโดนพวกปีศาจเอนเนเบิล (Enable) ได้ยกรังมาฆ่ากินทั้งหมู่บ้านเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และคนที่รอดจากเหตุการณ์นั้นมีแค่คนเดียวคือ ลูกชายของฟลิกก์ อาร์เจนตัมที่ทำงานหน่วยดิสแมนเทิล (Dismantle)”
“เด็กคนนั้นในช่วงเวลานั้นได้ตกเป็นจำเลยของสังคมเพราะเขารอดอยู่คนเดียว เลยมีการกล่าวถึงว่าผู้เป็นพ่อได้ปกป้องลูกตัวเองคนเดียวไว้และไม่ช่วยเหลือคนอื่น….” เจ้าหน้าที่หนุ่มที่นั่งอยู่พูดเสริม
“ครับ หลังจากนั้นเขาได้หายตัวไปหลังจากที่รักษาสภาพจิตใจที่ใคร ๆ ต่างก็บอกเด็กคนนั้นกลายเป็นคนวิกลจริต” ริชพูดเสริมต่อ
“หายตัวไปเหรอ?”
เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ขมวดคิ้วเขาพอจำคดีนี้ได้ เหตุการณ์นั้นได้สร้างสะเทือนขวัญไปทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยและที่อยู่อาศัย จนประชาชนตั้งคำถามให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าจะทำยังไงกับเรื่องราวนี้
“คดีนี้เรียกว่าหมู่บ้านโลหิตคลั่งซากเกลื่อน ที่ให้ชื่อนี้เพราะหมู่บ้านเต็มไปด้วยเลือดและศพมากมายก่ายกองตามหมู่บ้าน”
ริชพูดต่อแต่เจ้าหน้าที่หนุ่มยืนนั้นกำลังคิดว่าอัลฟ่าหนุ่มคนนี้คงไปเรื่อยมากกว่าที่จะให้ความร่วมมือ เพราะดูยังไงก็ไม่น่าเกี่ยวกับเขาแน่นอน เรื่องการตายของฟลิกก์ก็โด่งดังมากในไทยเมื่อตอนนั้น
“เออ คุณครับ…ผมว่าไม่ใช่เรื่องที่คุณประสบ—”
เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ยืนอยู่แสดงออกถึงความเหนื่อยใจที่เขาเล่าอย่างอื่นแต่อีกคนที่นั่งก็ยกมือห้ามปาง เป็นการบอกว่าให้เขาหยุด แล้วให้เจ้าของตาเฮเซลนัทสองสีได้เล่าไป
“คุณอย่าบอกนะว่าเด็กคนนั้นคือคุณ?”
“ฟลิกก์ อาร์เจนตัมและวิไลลักษณ์ อาร์เจนตัมกับลูกชาย 1 คน ริช ภวินท์ อาร์เจนตัม…” ริชเว้นระยะเสียง “และหมู่บ้านแถวสุขาภิบาล 5 เด็กชายที่รอดคนเดียว…คนนั้นคือผมเอง”
“แต่เมื่อ 20 ปีก่อนในข่าวบอกว่าลูกชายหายตัวไปนี่ครับ…”
ให้พูดตรงๆเขาไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็ข่าวที่ถูกรื้อทิ้งไปไร้การต่อสู้จนหมดอายุความเพราะลูกชายที่เป็นหลักฐานคนสำคัญได้หายตัวไป
ถ้าเกิดเป็นอัลฟ่าหนุ่มตรงหน้าจริงล่ะก็?!
สิ่งที่เคยตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อวิเคราะห์ที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดริชเป็นคนเดียวกันเมื่อ 20 ปีก่อนจริง สมการทั้งหมดจะคลี่คลายว่า เหตุการณ์นั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ซึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนได้มีเหล่าปีศาจเอนเนเบิล (Enable) ที่ยกทั้งรังมาบุกฆ่ายกหมู่บ้านแถวสุขาภิบาล5 กลายเป็นทะเลเลือดและกองซากศพตาย อีกทั้งยังไล่ฆ่าทุกคนในหมู่บ้านโดยที่แห่งนั้นห่างไกลจากตัวรังยักษ์เอนเนเบิล สร้างแรงสะเถือนขวัญผวาให้คนทั้งประเทศในช่วงเวลานั้น
ทุกคนตายหมดยกเว้นลูกชายวัย 4 ขวบของฟลิกก์ อาร์เจนตัม ที่สภาพจิตใจราวกับเป็นคนวิกลจริตอย่างสัมบูรณ์ ที่ไม่สามารถให้สอบปากคำอะไรได้เลย
ในเหตุการณ์สยองนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่ทำการสืบสวนรวมไปถึงตามหาร่องรอยว่า
‘ทำไมสถานที่ห่างไกลรังเอนเนเบิลถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้’
อีกทั้งเด็กชายผู้เหลือรอดคนเดียวได้หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน ในตอนนั้นได้คาดเดาไปต่างๆนาๆว่า อาจจะตายไปแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลปิดข่าว
จนมีชื่อคดีขึ้นหน้าหลักทุกแพลตฟอร์มออนไลน์และทั่วโลกในชื่อว่า หมู่บ้านโลหิตคลั่งซากเกลือน
“ผมรู้ว่าพวกคุณกำลังสงสัยว่าทำไมผมถึงกล้าบอกว่าตัวเองเป็นลูกชายสินะ เพราะในตอนนั้นเมื่อ 20 ปีก่อน เขาไม่ได้ออกข่าวชื่อผมลงไปในสื่อ ด้วยเหตุผลบางอย่างน่ะ”
‘เหตุผลบางอย่างเหรอ?’ เจ้าหน้าที่ที่นั่งเก้าอี้คิดตาม
“พอมาคิดดูแล้วในสื่อเมื่อตอนนั้นออกข่าวว่าเอนเนเบิลบุกมาได้ใช่ไหม? พวกคนใหญ่คนโตควบคุมสื่อได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ อันตรายจังเลย”
ริชพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดหน่อยแต่ก็แอบรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจลงไปด้วย
“มันอาจจะยาวไปสักหน่อย….”
ชายหนุ่มนัยน์ตาสีเฮเซลนัทมองเจ้าหน้าที่และปล่อยหลังพิงเบาะด้วยท่าทีสงบบรรยากาศรอบด้านผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง
เหมือนเขาเป็นคนควบคุมทุกอย่างและรังสรรให้ทุกอย่างรอบด้านสงบตามใจนึก....
เจ้าหน้าที่หนุ่มทั้งสองเข้าใจทันทีว่าพวกเผ่าพันธ์ุพิเศษมันต่างจากคนอื่นยังไง
"เพราะว่าในเหตุการณ์จริง มันเอนเนเบิลไม่ได้มาเอง..แต่ถูกเรียกมาโดยใครคนหนึ่งต่างหาก”