'หญิงผู้นี้ ชั่งอัปลักษณ์ยิ่งนัก อันสวีหนิง'

ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ - บทที่ 1 -การพบกันครั้งแรก(ในร่างใหม่)- โดย เจ้าแพนด้าขอบตาดำ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ย้อนยุค,จีน,ชาย-หญิง,รัก,ทะลุมิติ,จีน ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ย้อนยุค,จีน,ชาย-หญิง,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทะลุมิติ,จีน ,จีนโบราณ

รายละเอียด

 ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ โดย เจ้าแพนด้าขอบตาดำ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

'หญิงผู้นี้ ชั่งอัปลักษณ์ยิ่งนัก อันสวีหนิง'

ผู้แต่ง

เจ้าแพนด้าขอบตาดำ

เรื่องย่อ






แม่ทัพ… ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ


 


เมื่อ ไป๋เสวี่ยอิง ศัลยแพทย์สาวแห่งศตวรรษที่ 21 ประสบอุบัติเหตุอย่างไม่คาดฝัน วิญญาณของเธอกลับตื่นขึ้นมาในร่างของภรรยาแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าหลิง สตรีผู้อ่อนแอ ขี้โรค และเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมการเมือง!


สามีของนาง แม่ทัพหลี่เจิ้งหาน ชายผู้เคร่งขรึม เย็นชาดุจน้ำแข็ง ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสนามรบ ไม่เคยมองนางในฐานะภรรยาแม้เพียงครั้งเดียว…



 


แต่การเกิดใหม่ในร่างนี้ ไป๋เสวี่ยอิงจะไม่ยอมเป็นหญิงอ่อนแออีกต่อไป!


ด้วยสติปัญญา ทักษะทางการแพทย์ และจิตใจอันเด็ดเดี่ยวจากโลกอนาคต นางจะลุกขึ้นเปลี่ยนชะตาตัวเอง เขียนบทบาทใหม่ให้กับชีวิต และสะกิดหัวใจที่เคยด้านชาของแม่ทัพให้หวนไหวอีกครั้ง



——-




ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล การเมือง และกลิ่นคาวเลือด…


นางจะยังคงเป็นเพียงฮูหยินในนาม หรือจะกลายเป็น “ฮูหยินแม่ทัพ” ที่ไม่มีใครกล้าดูแคลน?

 


“หากท่านยังเรียกข้าว่าภรรยาเพียงในนาม เช่นนั้นจงจำไว้…


ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแออีกต่อไป!”











 





สารบัญ

ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ-บทนำ จุดเริ่มต้น, ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ-บทที่ 1 -การพบกันครั้งแรก(ในร่างใหม่)-

เนื้อหา

บทที่ 1 -การพบกันครั้งแรก(ในร่างใหม่)-



บทที่1



-การพบกันครั้งแรก(ในร่างใหม่)-







เสียงกีบม้าดังเข้ามาในจวนแม่ทัพพร้อมขบวนคุ้มกันที่มาถึงในช่วงเย็นของวัน หลี่เจิ้งหานกลับมาจากการตรวจแนวชายแดนก่อนกำหนด


บ่าวไพร่ในจวนต่างรีบจัดเตรียมทุกสิ่งให้พร้อม แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเขาจะกลับมาในวันนี้ก็ตาม แต่ข่าวเรื่องฮูหยินที่รักษาผู้คนและเป็นที่กล่าวขวัญนั้น… คงทำให้เขาอยากกลับมาด้วยตัวเอง


ภายในเรือนกลาง ไป๋เสวี่ยอิงกำลังนั่งบดสมุนไพรอยู่เงียบ ๆ เสี่ยวถงกำลังเรียงตำราให้อยู่ใกล้มือ ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังใกล้เข้ามา พร้อมบานประตูที่ถูกผลักเปิดออกอย่างไม่ทันตั้งตัว


“ไป๋เสวี่ยอิง!”



เสียงนั้นทุ้มต่ำ หนักแน่น แต่เต็มไปด้วยแรงกดดันบางอย่าง เธอเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ พลันสายตาก็สบเข้ากับชายหนุ่มในชุดเกราะสีเข้ม ดวงตาคมดุดันราวกับเสือสงบที่พร้อมพุ่งตะปบทุกเมื่อ


เธอกะพริบตาปริบ ๆ แล้วหันไปกระซิบเบา ๆ กับเสี่ยวถง


“ใครกันเหรอ? ทำไมเดินเข้ามาแบบนั้น…”


เสี่ยวถงเบิกตากว้างก่อนจะรีบกระซิบตอบ “ฮูหยิน! นั่น…นั่นท่านแม่ทัพ!”


“แม่ทัพ?” ไป๋เสวี่ยอิงทวนคำอย่างมึนงง แล้วหันกลับไปมองชายตรงหน้าอีกครั้ง


เธอกวาดสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า—ผิวที่เข้มขึ้นเล็กน้อยจากแดดสนามรบ ดวงตาคมดุ คิ้วหนา และท่าทีที่แผ่รังสีเย็นชารอบตัว


“ท่าน…คือสามีข้า?”


คำถามที่หลุดออกมานั้น ทำเอาทั้งห้องเงียบงัน


หลี่เจิ้งหานนิ่งค้าง ราวกับเสียงเธอตบหน้าเขาเข้าอย่างจัง ไม่ใช่เพราะถ้อยคำหยาบคาย แต่เพราะการที่นาง “ไม่จำเขาได้เลยแม้แต่นิดเดียว”


“เจ้าจำข้าไม่ได้?” น้ำเสียงเขาเย็นลงโดยไม่ตั้งใจ แต่ภายในกลับสับสนยิ่งกว่าเดิม “ข้า…คือหลี่เจิ้งหาน แม่ทัพของแคว้นนี้… และเป็นสามีของเจ้า”


ไป๋เสวี่ยอิงยกมือขึ้นแตะขมับเบา ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดปนสงสัย


“ข้าขอโทษ… แต่ความทรงจำของข้ามีช่องว่างมากมาย… ข้าไม่รู้ว่าท่านเคยปฏิบัติต่อข้าอย่างไร หรือว่าข้าเคยรู้สึกยังไงกับท่าน”


เขานิ่ง ไม่ตอบอะไรในทันที แค่จ้องเธอราวกับต้องการค้นหาความจริงในดวงตาคู่นั้น


“นี่ไม่ใช่ไป๋เสวี่ยอิงที่ข้าเคยรู้จัก”


“แต่…ก็ดีกว่าเดิมเสียอีก”


ความเงียบที่ปกคลุมนั้นไม่อึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ


ไป๋เสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง


“แม้ข้าจะจำไม่ได้ว่าเราเคยเป็นอะไรกัน แต่…หากท่านต้องการให้ข้าทำหน้าที่ภรรยา ข้าก็จะทำในแบบของข้า”


หลี่เจิ้งหานไม่ตอบในทันที แต่ริมฝีปากแข็งกร้าวของเขากลับกระตุกขึ้นน้อย ๆ รอยยิ้มจาง ๆ ที่แม้ตัวเขาเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว


ตั้งแต่วันที่เขากลับมาถึงจวน หลี่เจิ้งหานก็เริ่มสังเกต “ภรรยาในนาม” ของเขาอยู่เงียบ ๆ


นางไม่ใช่ผู้หญิงขี้โรคที่เอาแต่นอนซมอยู่บนเตียงเหมือนในความทรงจำของเขา


ไม่ใช่สตรีที่เอาแต่หลบสายตา หรือพูดจาเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน


ตรงกันข้าม…


นางเดินไปทั่วเรือน หยิบสมุนไพรสารพัดชนิดออกมาวิเคราะห์ จดบันทึกในกระดาษด้วยลายมือเรียบร้อย แม้แต่ยามนางก้มหน้า ริมฝีปากนั้นก็ยังขมวดเบา ๆ เหมือนกำลังใช้สมองคิดอะไรสักอย่างตลอดเวลา


“นาง…เปลี่ยนไปจริง ๆ”


เขาเคยได้ยินคำนี้จากเสี่ยวถง แต่ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้


หลี่เจิ้งหานมักมายืนอยู่ในเงามุมระเบียง ยามเงียบ ๆ เฝ้ามองนางทดลองผสมตัวยาอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่…เขาเริ่มยืนนานขึ้นกว่าที่ตั้งใจไว้


วันหนึ่ง เขาเดินผ่านลานในเรือนที่นางกำลังทดลองต้มน้ำยาอยู่ บ่าวหญิงคนหนึ่งทำหม้อทองเหลืองหล่นจนของเหลวที่เพิ่งเริ่มร้อนกระเด็นใส่มือของเสี่ยวถง


“อ๊ะ!” เด็กสาวร้องเบา ๆ


ไป๋เสวี่ยอิงรีบจับมือนั้นขึ้นมาดู ดวงตาเต็มไปด้วยสมาธิ ไม่ตกใจแม้แต่น้อย


“เจ็บใช่ไหม เสี่ยวถง ทนหน่อยนะ เดี๋ยวข้าจะหาใบสดตำพอกให้ก่อน แล้วตามด้วยขี้ผึ้งที่ข้าทำไว้…”


เสียงเธอนิ่ง สุขุม และนิ้วมือที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว…


แม้จะต่างยุคต่างวิธี แต่เขากลับสัมผัสได้ถึง “ความชำนาญ” ที่เหนือกว่าหมอทั่วไป


หลี่เจิ้งหานยืนพิงเสา หรี่ตามองผ่านม่านไม้ไผ่ที่พลิ้วตามลม


“เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ไป๋เสวี่ยอิง…”


“หรือว่า… ข้าไม่เคยรู้จักเจ้าเลยตั้งแต่แรก?”


คืนวันนั้น เขานอนไม่หลับ


ภาพหญิงสาวที่เคยเป็นเพียงชื่อในทะเบียนสมรสกลับเริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัวทีละน้อย…


เช้าตรู่วันต่อมา ขณะนางกำลังเลือกสมุนไพรที่เพิ่งตากแห้งอยู่ในสวนสมุนไพร


เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าใบเหมันต์จะช่วยลดพิษร้อน?”


ไป๋เสวี่ยอิงหันขวับ ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะเอียงคอนิด ๆ อย่างครุ่นคิด


“ข้าอ่านเจอในตำราของท่านหมอจาง… แล้วก็ลองเปรียบกับสิ่งที่ข้าเคยเรียนมา… ไม่สิ… ที่ข้าเคยรู้มาก่อนหน้านี้น่ะ”


เธอพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ


ไม่มีความกลัว ไม่มีการยกย่องสรรเสริญในคำพูดเหมือนสตรีอื่น


“ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ท่านลองมาดูด้วยตาตัวเองสิ”


เธอส่งตำราที่เปิดอยู่ในมือให้เขา


เขารับมาเงียบ ๆ และเมื่อสายตาสัมผัสกับลายมือบนกระดาษ


หลี่เจิ้งหานก็รู้…


…นี่คือผู้หญิงที่เขาไม่ควรมองข้ามอีกต่อไป


—-


ยามค่ำ


ใต้แสงโคมริบหรี่ หลี่เจิ้งหานนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน มือกำรายงานฉบับหนึ่งแน่นขึ้นเรื่อย ๆ


“ฮูหยินเปลี่ยนไปมาก…ทั้งท่าทาง น้ำเสียง สายตา และแม้แต่ความรู้”


คนที่เขาเคยมองว่าอ่อนแอจนแม้แต่ยืนยังแทบไม่ไหว กลับกล้าก้าวออกจากเรือนเพียงลำพัง


คนที่เคยกลัวแม้แต่เงาตัวเอง กลับใช้มือเปล่ารักษาบ่าวที่บาดเจ็บด้วยท่วงท่ามั่นใจ


และคนที่เคยพูดน้อย ดวงตาหม่นหมอง กลับพูดจาหนักแน่นด้วยคำศัพท์แปลกหู…


“เป็นไปไม่ได้” เขาพึมพำในลำคอ


หลี่เจิ้งหานเงยหน้าขึ้น ก่อนหันไปเอ่ยกับองครักษ์คนสนิทที่ยืนอยู่เงียบ ๆ มาตลอด


“ไป๋เสวี่ยอิง…ก่อนหน้านี้ นางไม่เคยแสดงความรู้ทางการแพทย์ หรือพูดจาฉะฉานแบบนี้ใช่หรือไม่”


“ขอรับ นายหญิง…เอ่อ ฮูหยินเคยเป็นคนขี้โรคและขี้อายมาตั้งแต่ก่อนเข้าจวน พูดแทบไม่เกินสองคำต่อวัน…แม้แต่ท่านผู้เฒ่ายังเคยเอ่ยว่า คงอยู่ได้ไม่นาน”


ดวงตาคมของแม่ทัพหลี่หรี่ลงเล็กน้อย


“แต่บัดนี้นางกลับสามารถผสมยาเอง ตรวจชีพจรเอง และวินิจฉัยโรคด้วยหลักเกินกว่าจะเป็นแค่ผู้เรียนรู้สามวัน”


เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“ไปสืบอย่างเงียบที่สุด…ข้าต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาง ตั้งแต่ก่อนแต่ง…จนถึงวันที่นางประสบอุบัติเหตุจมน้ำที่ลำธารในป่า”


“ขอรับ!”


.


..



เรือนรับรองด้านหลัง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่พักผ่อนและศึกษาตำราแพทย์ของไป๋เสวี่ยอิง กลับกลายเป็นสถานที่ที่สายตาในเงามืดเริ่มจับจ้องอย่างเงียบงัน


ชายชุดดำคนหนึ่งแฝงตัวเข้ามาในยามดึก เขาคือ “อวี้เหวิน” องครักษ์เงาของแม่ทัพหลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลอบเข้าออกโดยไม่มีใครรู้ตัว


เขาใช้เวลาไม่นานในการสำรวจห้อง พยายามไม่แตะต้องสิ่งของให้ผิดตำแหน่ง จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับ กล่องไม้เล็ก ๆ ใต้โต๊ะเขียนหนังสือ ที่มีผ้าคลุมไว้บาง ๆ


เมื่อเปิดออก…


ในนั้นคือ สมุดเล่มหนึ่งที่ทำจากกระดาษบางเนื้อดีผิดยุค เขาเปิดอ่านช้า ๆ ทีละหน้า


“Antiseptic = ฆ่าเชื้อโรค… suture = เย็บแผล… adrenaline = ใช้เร่งการเต้นของหัวใจ”


ตัวหนังสือที่จดบันทึกลงไป…ไม่ใช่อักษรแคว้นต้าหลิงอย่างชัดเจน


แถมยังเต็มไปด้วยคำแปลกหูมากมาย พร้อมคำอธิบายด้วยศัพท์ทางการแพทย์ที่แม้แต่หมอหลวงก็อาจไม่เข้าใจ


บางหน้ามีภาพวาดเหมือน “เข็มปลายกลม” และ “กล่องโลหะเล็ก ๆ” ซึ่งเขียนกำกับว่า ชุดปฐมพยาบาล


อวี้เหวินขมวดคิ้ว


“นี่มัน…ตำราของแคว้นอื่น? หรือว่า…”


ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เขาเก็บสมุดลงที่เดิมอย่างรวดเร็วแล้วล่าถอยออกทางหน้าต่างอย่างเงียบกริบ


ห้องหนังสือของแม่ทัพหลี่


“ท่านแม่ทัพ” อวี้เหวินคุกเข่าพร้อมส่งสมุดอีกเล่มที่เขาลอกสำเนามาไว้บางส่วน


หลี่เจิ้งหานเปิดดูพลางเลื่อนสายตาไล่ไปทีละบรรทัด สีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงแววครุ่นคิด


“คำเหล่านี้…ไม่ใช่ภาษาใดในแผ่นดินต้าหลิง แม้แต่ภาษาต่างแคว้นก็ไม่มีคำที่คล้ายเช่นนี้”


เขาหลับตาลงชั่วครู่


“ยังมีอะไรอีกไหม”


“นอกจากนี้ ข้าน้อยได้ยินจากบ่าวคนหนึ่งว่านายหญิงเคยพูดคำว่า ‘อ็อกซิเจน’ กับ ‘ซึนามิ’ ในตอนรักษาอาการหายใจติดขัด…ซึ่งไม่มีผู้ใดเข้าใจคำเหล่านั้นเลย”


หลี่เจิ้งหานพับสมุดในมืออย่างเงียบงัน ดวงตาคมปลาบก้มลงมองกองกระดาษแปลกประหลาดที่อยู่เบื้องหน้า


“นาง…เป็นใครกันแน่?”


หลังจากข่าวลือเรื่อง “ฮูหยินแม่ทัพรักษาโรคแปลกประหลาดได้ด้วยยาวิธีพิสดาร” เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วจวน แม่ทัพหลี่เจิ้งหานก็ตัดสินใจกลับมาจวนเร็วกว่าปกติ


เช้าวันนี้ เขาเดินทอดน่องไปยังเรือนพักของภรรยา โดยไม่ให้ผู้ใดส่งข่าวล่วงหน้า


“ข้าอยากพบฮูหยิน” เขาเอ่ยกับบ่าวประตูด้วยเสียงเรียบนิ่ง


บ่าวหน้าซีดเผือด รีบพานำไปทันที


เรือนในของไป๋เสวี่ยอิง


เสียงฝีเท้าหนักแน่นใกล้เข้ามา ไป๋เสวี่ยอิงซึ่งกำลังเขียนบันทึกเกี่ยวกับสมุนไพรชนิดใหม่ เงยหน้าขึ้นก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย


ชายร่างสูงในชุดแม่ทัพสีเข้มก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม เส้นผมดำขลับถูกรัดไว้เรียบร้อย ดวงตาคมปลาบประเมินเธออย่างเงียบงัน


เธอลุกขึ้น…ก่อนจะนิ่งงันไปเล็กน้อย


“ท่านแม่ทัพ!”


“สามีของเจ้า ทำไมไม่เรียกข้าว่า ท่านพี่ล่ะ” เขาตอบทันที ดวงตาไม่แสดงความรู้สึก


ไป๋เสวี่ยอิงกระพริบตา “อ้อ…ท่านพี่หลี่” เสียงของเธอฟังดูคลุมเครือ ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนอย่างแนบเนียน


แต่ความลังเลแค่ชั่ววูบนั้น…กลับไม่รอดพ้นสายตาของแม่ทัพผู้เคยจับผิดนักโทษมานับไม่ถ้วน


เขานั่งลงอย่างสง่างามพลางเอ่ยเรียบ ๆ “ได้ยินว่าเจ้ากำลังศึกษาวิธีรักษาแปลกประหลาด ข้ายินดีที่เจ้ากระตือรือร้น…แต่ข้ามีคำถามเพียงเล็กน้อย”


เขาหยิบสมุนไพรแห้งห่อหนึ่งออกมาวางตรงหน้า “สมุนไพรชนิดนี้ เจ้าเรียกว่าอะไร?”


เธอหยิบขึ้นมาดู ก่อนตอบ “หญ้าอึ้งเซี่ยน…ใช้ลดไข้และขับพิษบางประเภทได้”


“จริงหรือ? แต่ข้าเคยได้ยินเจ้าบอกเสี่ยวถงว่า ‘มันทำงานเหมือน paracetamol’ ”


ไป๋เสวี่ยอิงนิ่ง…


…เพียงเสี้ยววินาที สายตาเธอหลุดความตกใจเล็กน้อย


แต่เธอกลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่สงบ “อ้อ…ข้าชอบตั้งชื่อให้สมุนไพรแบบเล่น ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจำเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ‘พารา-เซ-ตา-มอล’ ก็ดูคล้ายชื่อแคว้นตะวันตกดีมิใช่หรือ?”


แม่ทัพหลี่เจิ้งหานจ้องเธอเงียบ ๆ เหมือนจะมองทะลุทะลวงไปถึงข้างในจิตใจ


ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “น่าสนใจ…เช่นนั้นเจ้าไม่คุ้นเคยกับข้าเลย ก็เพราะ…เจ้า ‘ตั้งชื่อใหม่ให้ข้า’ ด้วยหรือไม่?”


ไป๋เสวี่ยอิงกลั้นใจ หัวใจเต้นแรงเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน “ข้าเพียง…กำลังพยายามจดจำท่านใหม่ในฐานะบุรุษที่เคยเพิกเฉยต่อข้า”


>~<! เกือบโป๊ะแล้วไหมล่ะ ~~~


หลังจากคืนที่ถูกแม่ทัพหลี่เจิ้งหานจับพิรุธจนเกือบตั้งตัวไม่ทัน เช้าวันถัดมา ไป๋เสวี่ยอิงก็พยายามอย่างเต็มที่…เพื่อ “หลอมรวมเข้ากับชาวต้าหลิง”


แม้จะยังงงกับหลายเรื่อง แต่วันนี้เธอตัดสินใจ “ช่วยทำกับข้าว” กับบ่าวในครัว เพราะคิดว่า ถ้าจะสร้างสัมพันธ์ในเรือน…ต้องเริ่มที่กระเพาะ!


“ข้าจะทำไข่เจียว” เธอประกาศอย่างมั่นใจ ขณะใส่ผ้ากันเปื้อนผืนเล็ก (ที่จริงคือผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่) ที่เธอดัดแปลงเอง


บ่าวทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก


“เอ่อ…ไข่เจียวนั้นมันคือ…?”


“ขอแค่มีไข่ น้ำมัน กับกระทะก็พอ!” ไป๋เสวี่ยอิงตบโต๊ะเบา ๆ แล้วลุย



เสียง “ปังงงง!” ดังลั่นจากเตาไฟ


“ไฟไหม้แล้วเจ้าค่ะฮูหยิน!”


“เจ้าจะทอดหรือจะระเบิดเรือนกันแน่!”


ไป๋เสวี่ยอิงไอแค่ก ๆ มือถือตะหลิวไหม้ไปครึ่งด้าม


“ก็ไฟมันแรงไปหน่อย…แล้วก็…น้ำมันมัน…มันร้อน!”


เธอรีบยกกระทะลง…แต่น้ำมันกระเซ็นจนโดนผ้ากันเปื้อนกระดาษของเธอขาดเป็นริ้ว


แม่ครัวสูงวัยรีบวิ่งมาดึงตะหลิวจากมือเธอ


“ฮูหยินเจ้าขา…ได้โปรดกลับไปต้มยาเถิดเจ้าค่ะ…ครัวนี้ข้าน้อยขอยึดคืน!”


ไป๋เสวี่ยอิงยืนขำก๊าก ทั้งเปรอะน้ำมัน ทั้งเลอะขี้เถ้า แต่เธอกลับหัวเราะจนแก้มแดง


“โอเค ๆ!“


ไป๋เสวี่ยอิงนั่งปัดขี้เถ้าบนชายเสื้ออยู่มุมเรือนครัว มืออีกข้างวางอยู่บนเข่า แววตาเหม่อลอยอย่างประหลาดใจ…กับตัวเอง


“ทำอาหารไม่เป็นเลยจริง ๆ …”


“ก็แน่ล่ะ จะให้หมอผ่าตัดมาทอดไข่เจียว มันก็ไม่ต่างจากให้แม่ครัวไปผ่าต่อมไส้ติ่ง”


เธอหัวเราะเบา ๆ พลางถอนใจอย่างรู้สึกขมขื่นนิด ๆ


จำได้ว่าในยุคของเธอ โรงพยาบาลคือบ้านหลังที่สองหรือจะพูดให้ถูก คือลมหายใจเดียวที่เธอรู้จัก


ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เธออยู่เวรแบบไม่มีวันหยุด ฝากท้องกับข้าวกล่องเย็นชืดจากตู้กด หรือไม่ก็มินิมาร์ตร้านเดิมหน้าห้องฉุกเฉิน


“ข้าวปั้นรสไข่เค็ม…ราดน้ำจิ้มสุกี้” เธอบ่นกับตัวเอง “กินอยู่แบบนั้นทุกคืนจนลิ้นไม่รู้รสแล้วมั้ง”


เวลาคนอื่นกลับบ้าน เธอเข้าเวร


เวลาคนอื่นนอนหลับ เธอใส่ถุงมือผ่าตัด


ไม่มีใครอยู่รอให้กลับ


ไม่มีห้องที่เปิดไฟไว้


ไม่มีใครถามว่า “วันนี้เหนื่อยไหม”


ดวงตาของไป๋เสวี่ยอิงค่อย ๆ เศร้าลง…


“อยู่คนเดียวจนเคยชินแล้วสินะ…”


แต่ในตอนนั้นเอง…


“ฮูหยินเจ้าคะ!”


เสียงของเสี่ยวถงดังมาแต่ไกล ก่อนที่เด็กสาวจะวิ่งหอบ ๆ มาพร้อมถาดไม้เล็ก ๆ ในมือ


“เห็นว่าท่านทำอาหารไม่สำเร็จ ข้ากับป้าแม่ครัวเลยช่วยกันทำข้าวต้มขิงใส่หมูบดให้เจ้าค่ะ!”


“ท่านจะได้ไม่ต้องหิวจนเวียนหัวอีก…”


ไป๋เสวี่ยอิงมองถ้วยข้าวต้มร้อน ๆ ที่มีกลิ่นขิงหอมฟุ้ง ไอน้ำลอยขึ้นฟู เบียดกับความรู้สึกบางอย่างในอกเธอจนแน่นไปหมด


เธอยิ้ม ยิ้มที่แฝงทั้งความประหลาดใจ ความอบอุ่น และอะไรบางอย่างที่แสนเงียบงัน


“ขอบใจนะ เสี่ยวถง” เธอพูดเบา ๆ


“ข้า…ไม่ได้มีคนทำข้าวให้กินมานานมากแล้ว”


เสี่ยวถงทำหน้าสงสัย “เจ้าคะ?”


“ไม่มีอะไรหรอก” ไป๋เสวี่ยอิงยิ้มอีกครั้ง


“แต่ข้าคิดว่า…ข้ากำลังเริ่มมี ‘บ้าน’ ขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะ”



ค่ำคืนที่จวนแม่ทัพเงียบสงบ…


พระจันทร์ครึ่งดวงลอยอยู่กลางฟ้า แสงเงินที่ทอดผ่านยอดไม้ลงมากระทบพื้นกรวดในสวนของจวนแม่ทัพ ทำให้ทุกอย่างดูเย็นสงบและชวนฝัน


แม่ทัพหลี่เจิ้งหานเดินกลับเข้าจวนช้ากว่าปกติ หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมกับขุนนางฝ่ายทหาร แผ่นหลังกว้างใต้ชุดคลุมดำขลิบเงินขยับเงียบ ๆ แววตาเข้มสงบ…แต่คืนนี้ กลับไม่ตรงกลับเรือนของตนอย่างเคย


อะไรบางอย่างพาเขาเดินเลียบผ่านสวนหลังจวนใหญ่—ที่ซึ่งไร้คนเดินและมืดมิดในยามนี้


แต่เสียงเล็ก ๆ เบา ๆ ก็ทำให้ฝีเท้าเขาชะงัก


“ร้อนจัง…แต่ก็อร่อยแฮะ…”


เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังลอดมาจากศาลาเล็กใต้ต้นหลิว


เขาเดินช้า ๆ เข้าใกล้เงาที่นั่งอยู่ใต้แสงโคมจันทน์ ก่อนจะเห็นร่างบางในชุดนอนเรียบง่าย สวมเสื้อคลุมทับอีกชั้น…นั่งขัดสมาธิอยู่กับถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่บนตัก


หญิงสาวใช้ช้อนตักอย่างระมัดระวัง เป่าช้า ๆ แล้วส่งเข้าปาก พร้อมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ


“ให้ตายสิ…แค่ข้าวต้มร้อน ๆ ใส่ขิงกับหมูบดธรรมดา ทำไมถึงรู้สึกเหมือนได้กินอาหารเหรียญทองมิชลินแบบนั้นกันนะ…”


แม่ทัพหลี่เจิ้งหานนิ่งงันในเงามืด


เขาจำได้ว่า…หญิงตรงหน้าคือภรรยาที่เขาไม่เคยแม้แต่จะแลตามองมานาน


คนที่เคยเอาแต่นั่งก้มหน้า ป่วยง่าย จิตใจอ่อนแอ


แต่ตอนนี้…นางยิ้มให้ถ้วยข้าวธรรมดาราวกับเป็นของล้ำค่า ดวงตาเป็นประกายแม้จะอยู่เพียงลำพัง


“เธอ…ดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่ข้าเคยจำได้”


เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร…ที่เริ่มจับตามองนาง


หรือบางทีอาจเป็นตั้งแต่วันนั้น—วันที่เห็นนางช่วยรักษาคนในเรือนใหญ่ด้วยวิธีแปลกประหลาดแต่ได้ผล


หรือ…อาจเป็นตั้งแต่เห็นรอยยิ้มที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง


สายลมพัดเบา ๆ พาเอากลิ่นขิงและกลิ่นของดอกหลิวจาง ๆ ลอยมาชนจมูก


แสงโคมสั่นไหวเล็กน้อยบนใบหน้าของหญิงสาวที่กินข้าวต้มอยู่เงียบ ๆ คนเดียว


นางไม่ได้รู้ตัวเลย…ว่ามีใครคนหนึ่งยืนมองอยู่เงียบ ๆ ในความมืด


เฝ้ามองอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน…


และเฝ้าคิด…ว่าสตรีตรงหน้า




ยังเป็นภรรยาคนเดิมอยู่จริงหรือไม่!