'หญิงผู้นี้ ชั่งอัปลักษณ์ยิ่งนัก อันสวีหนิง'
ย้อนยุค,จีน,ชาย-หญิง,รัก,ทะลุมิติ,จีน ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ'หญิงผู้นี้ ชั่งอัปลักษณ์ยิ่งนัก อันสวีหนิง'
แม่ทัพ… ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแอ
เมื่อ ไป๋เสวี่ยอิง ศัลยแพทย์สาวแห่งศตวรรษที่ 21 ประสบอุบัติเหตุอย่างไม่คาดฝัน วิญญาณของเธอกลับตื่นขึ้นมาในร่างของภรรยาแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าหลิง สตรีผู้อ่อนแอ ขี้โรค และเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมการเมือง!
สามีของนาง แม่ทัพหลี่เจิ้งหาน ชายผู้เคร่งขรึม เย็นชาดุจน้ำแข็ง ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสนามรบ ไม่เคยมองนางในฐานะภรรยาแม้เพียงครั้งเดียว…
แต่การเกิดใหม่ในร่างนี้ ไป๋เสวี่ยอิงจะไม่ยอมเป็นหญิงอ่อนแออีกต่อไป!
ด้วยสติปัญญา ทักษะทางการแพทย์ และจิตใจอันเด็ดเดี่ยวจากโลกอนาคต นางจะลุกขึ้นเปลี่ยนชะตาตัวเอง เขียนบทบาทใหม่ให้กับชีวิต และสะกิดหัวใจที่เคยด้านชาของแม่ทัพให้หวนไหวอีกครั้ง
——-
ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล การเมือง และกลิ่นคาวเลือด…
นางจะยังคงเป็นเพียงฮูหยินในนาม หรือจะกลายเป็น “ฮูหยินแม่ทัพ” ที่ไม่มีใครกล้าดูแคลน?
“หากท่านยังเรียกข้าว่าภรรยาเพียงในนาม เช่นนั้นจงจำไว้…
ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ใช่ฮูหยินผู้อ่อนแออีกต่อไป!”
บทนำ
จุดเริ่มต้น
กลางฤดูหนาวของปักกิ่งที่ไม่เคยหลับใหล
ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า แสงไฟนีออนวูบวาบ และเสียงไซเรนฉุกเฉินที่ดังก้องไปทั่วถนนหลัก
ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินแห่งหนึ่งในเมืองปักกิ่ง
“คนไข้ชาย อายุ 34 ปี ประสบอุบัติเหตุรถชน! ชีพจรต่ำ ความดันตก!”
เสียงพยาบาลตะโกนรายงานในห้องฉุกเฉิน มือทั้งสองยื้อชีวิตชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงเคลื่อนย้าย
“บอก OR ว่าฉันจะผ่าด่วนภายใน 5 นาที”
หญิงสาวในชุดกาวน์ขาวหันมาสบตาเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เสียงของเธอเด็ดขาดและไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
เธอคือ ไป๋เสวี่ยอิง
ศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังวัย 30 ปี ผู้มีฝีมือเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์แม้อายุยังน้อย
แต่ภายใต้หน้ากากอนามัยและดวงตาเรียบนิ่งนั้น คือหญิงสาวที่เก็บซ่อนความเหนื่อยล้าและความว่างเปล่าไว้ลึกที่สุดในหัวใจ
ชีวิตของเธอมีเพียงสองสิ่ง—การผ่าตัดกับคนไข้
ไม่มีครอบครัว ไม่มีความรัก และไม่มีวันหยุด
เสียงรองเท้าบู๊ตของเธอกระทบพื้นอย่างเร่งรีบ ห้องผ่าตัดสว่างจ้าไปด้วยแสงไฟสีขาวสะอาด
“หัวใจหยุดเต้นแล้วค่ะ!”
เสียงพยาบาลคนหนึ่งร้องออกมา
“Adrenaline 1 มิลลิกรัม ช็อกอีกครั้ง”
ปิ๊บ… ปิ๊บ… ปิ๊บ…
เสียงเครื่องกระตุ้นหัวใจที่เคยเรียบเป็นเส้นตรงพลันกลับมาเต้นอีกครั้ง เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วกลับไปลงมือเย็บแผลอย่างละเอียดไม่ต่างจากเครื่องจักร
เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงจนการผ่าตัดสำเร็จ
ทุกคนในห้องถอนหายใจโล่งอก ยกเว้นเธอ—ที่เพียงถอดถุงมือ ล้างมือ และเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
“ไป๋เสวี่ยอิง…เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่าเนี่ย?”
เสียงรุ่นน้องคนหนึ่งแซวเบา ๆ ขณะเดินผ่าน
เธอยิ้มจาง ๆ “เป็นสิ่งมีชีวิตที่นอนน้อยกับกินข้าวไม่ตรงเวลามากกว่า”
ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังความเข้มแข็งของเธอมีเรื่องราวมากมาย
ความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวตั้งแต่ยังวัยเยาว์ การทำงานเพื่อไล่ตามความฝันของพ่อแม่ที่จากไป และความโดดเดี่ยวที่ค่อย ๆ กัดกินหัวใจเธอทุกวัน
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนขณะเดินออกจากโรงพยาบาล
อากาศหนาวเย็นปะทะใบหน้า แต่หัวใจกลับอุ่นวาบด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
“หากมีโอกาสเริ่มใหม่…ฉันก็อยากใช้ชีวิตให้ตัวเองบ้าง”
เธอเดินข้ามถนนโดยไม่ทันมองข้างหน้า—
เสียงเบรกดังสนั่น รถบรรทุกพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงตะโกนของผู้คน
“ระวัง!”
โครม!!!
ทุกอย่างดับวูบลงในพริบตา
ไม่มีความเจ็บ ไม่มีแม้แต่ความกลัว มีเพียงความมืดและเสียงหัวใจของเธอที่ค่อย ๆ เงียบลง
…
แต่แทนที่ความว่างเปล่าจะตามมา
กลับเป็นแสงสีทองอบอุ่น และสัมผัสของผ้าห่มไหมจีนโบราณที่โอบรัดร่างกาย
เสียงกระซิบเบา ๆ ดังอยู่ข้างหู
“ฮูหยิน… ได้โปรดฟื้นเถิดเจ้าค่ะ…”
ดวงตาที่เคยเฝ้าดูหน้าจอเครื่อง EKG เปิดขึ้นช้า ๆ สู่โลกใบใหม่
โลกที่ไม่มียุคสมัย ไม่มีเครื่องมือแพทย์ มีเพียงเสียงของลมภูเขา ไผ่ และ… ชะตาชีวิตที่รอให้เธอเขียนใหม่…
….
กลิ่นสมุนไพรแรง ๆ โชยมาแตะจมูกทันทีที่เธอลืมตาขึ้น
ไป๋เสวี่ยอิงขมวดคิ้ว เบ้ปากเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด—กลิ่นนี่มัน… คล้ายยาหม้อที่ป้าข้างบ้านเคยต้มจนเหม็นลอยมาทั้งชั้นคอนโด
แต่คราวนี้มันไม่ได้มาจากคอนโด…
เพดานไม้แกะสลักลวดลายจีนโบราณ ผ้าม่านผ้าแพรปักลายเมฆมังกร และเสียงพูดแผ่วเบาแบบขอชีวิตข้าง ๆ หู ยืนยันกับเธออย่างหนึ่ง
เธอไม่ได้อยู่ในศตวรรษที่ 21 อีกต่อไปแล้ว…
“ฮูหยิน! ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?!”
เธอกะพริบตา มองสาวใช้ในชุดโบราณที่วิ่งเข้ามาหาอย่างลนลาน
“เดี๋ยวก่อนนะ… ใครคือฮูหยิน?” เธอถามเสียงแหบแต่ออกสำเนียงเป๊ะ เหมือนอ่านสคริปต์
สาวใช้หน้าเหวอไปชั่วขณะ ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ “ท่านเจ้าคือฮูหยินของท่านแม่ทัพหลี่เจ้าค่ะ!”
หลี่…? แม่ทัพ…? ห๊ะ!?
เธอพยายามลุกขึ้น ทั้งที่ร่างกายยังอ่อนแรงเหมือนนอนโรงพยาบาลมาสามวันติดกันไม่มีน้ำเกลือ แล้วสาวใช้นั่นก็รีบเข้ามาประคองทันที
“ข้าอยู่ที่ไหน?” เสียงเธอยังเรียบ แต่นัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยการสังเกต
“ในจวนแม่ทัพเจ้าค่ะ ท่านล้มป่วยไปถึงห้าวัน…”
ไป๋เสวี่ยอิงถอนใจอย่างหงุดหงิด “โอเค สมมุติว่าข้าฟังไม่ผิด และนี่ไม่ใช่ละครย้อนยุค—ก็แปลว่าข้า…ทะลุมิติมาอยู่ในร่างภรรยาแม่ทัพจอมเย็นชา ที่ขี้โรค ขี้อาย ขี้ตาย และถูกทอดทิ้งจากสามี?”
สาวใช้พยักหน้ารัว ๆ “เจ้าค่ะ…”
เธอกุมขมับ
“สวรรค์! ถ้านี่คือการคืนชีวิตให้หนู… หนูขอเป็นหมอเวรดึกเหมือนเดิมยังดีกว่า!”
ผ่านไปเพียงสามวันนับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในร่างใหม่—ไป๋เสวี่ยอิงก็แทบไม่ได้นอนเต็มตา
การเป็นหมอในโรงพยาบาลใหญ่สอนให้เธออดทนกับความเหนื่อยล้า แต่การมาอยู่ในร่างหญิงโบราณที่ร่างกายอ่อนแอไร้กล้ามเนื้อขั้นพื้นฐานนี่มัน…ทรมานกว่าเวร ICU สามคืนติดเสียอีก!
.
“เจ้าคะ ฮูหยิน…ท่านจะให้หุงข้าวด้วยน้ำกรองจริงหรือ?”
สาวใช้หน้าเหวอเมื่อได้ยินคำสั่งแปลกประหลาด
“ใช่สิ ไม่งั้นก็เสี่ยงท้องเสียทั้งจวน จะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ” ไป๋เสวี่ยอิงยกมือกอดอกด้วยท่าทางมั่นใจ แม้ผมจะยุ่งเหยิงและชุดนอนยังไม่เปลี่ยน
“ฮูหยินเจ้าคะ”
“มีอะไรหรือ?”
“ท่านฮูหยิน…พวกบ่าวเขาลือกันว่า ท่านถูกผีสิงเจ้าค่ะ”
“หืม?” คิ้วเรียวเลิกขึ้น “แค่ข้าพูดรู้เรื่องขึ้นมา ทำอะไรคล่องแคล่วขึ้น ก็กลายเป็นผีสิงงั้นเหรอ?”
สาวใช้ก้มหน้าแทบจะติดพื้น
ไป๋เสวี่ยอิงถอนใจเบา ๆ ก่อนเอื้อมมือไปวางบนไหล่ของอีกฝ่าย “ข้าไม่ได้ถูกผีสิงหรอก ข้าแค่…ไม่อยากตายแบบไร้ค่าเท่านั้นเอง เข้าใจไหม?”
แววตาสาวใช้เริ่มสั่นไหว ถึงจะไม่เข้าใจสิ่งที่นายตนพูด เสี่ยวถงพยักหน้าตอบรับเบา ๆ
…
คืนนั้น เธอออกมาเดินคนเดียวในสวนเล็ก ๆ ของจวน ท่ามกลางแสงจันทร์และเสียงจิ้งหรีด
เงียบ… จนน่าประหลาด
“ไม่มีเสียงรถ ไม่มีไฟ ไม่มีโทรศัพท์…” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเหม่อมองฟ้า
เธอคิดถึงโลกเดิม…แต่เธอก็รู้ว่า คงไม่มีทางกลับไปแล้ว
เธอคิดถึงเสื้อกาวน์สีขาว
เสียงเครื่องวัดคลื่นชีพจร
และกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในห้องผ่าตัด
…นั่นคือโลกของเธอ
โลกที่เธอใช้ชีวิตเพื่อรักษาผู้อื่น โลกที่ไม่ต้องคำนับชายใด โลกที่เธอมีอิสระ มีความฝัน และมีจุดหมาย
แต่บัดนี้
เธอกลับต้องเรียนรู้การเดินอย่างสงบเงียบ พูดอย่างอ่อนน้อม กินอย่างระวังแม้กระทั่งข้าวคำหนึ่ง เพราะคำว่า “ฮูหยิน” ที่เธอไม่ได้สมัครใจจะเป็น
“กลับไปไม่ได้แล้วสินะ…” เสียงพึมพำแผ่วเบาดังในความมืด
แม้จะเคยพยายามบอกตัวเองว่าอาจเป็นแค่ความฝัน หรือเพียงจิตหลุดช่วงขีดเส้นตายระหว่างชีวิตกับความตาย แต่วันแล้ววันเล่าในร่างนี้ ทุกลมหายใจ ทุกแววตาของคนรอบตัว—มันจริงเกินไป
โลกนี้ไม่มีเครื่องมือแพทย์ ไม่มีเพื่อนร่วมงาน ไม่มีโรงพยาบาล
มีเพียง…จวนแม่ทัพ
สามีที่ไม่เคยแล
“งั้นก็ไม่เป็นไร…” เสวี่ยอิงยกปลายคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนแค่นยิ้มออกมา!
หากฟ้าส่งเธอมาให้เริ่มต้นใหม่ เธอก็จะมีชีวิตใหม่ที่คู่ควรกับตัวเอง
ภายในเรือนฮูหยินซึ่งเงียบสงบแต่แฝงด้วยความอึดอัด แสงแดดอ่อนยามสายสาดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายอย่างแผ่วเบา ไป๋เสวี่ยอิงนั่งพิงเบาะบนเก้าอี้ไม้หอม มือบางถือถ้วยชาเอาไว้แน่น ดวงตาหลุบต่ำ ราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดอันซับซ้อน
“เสี่ยวถง”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” เสี่ยวถงวางถาดชาลงบนโต๊ะ แล้วรีบหมอบลงเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าอยากรู้เรื่องบางอย่าง เกี่ยวกับ…ตัวข้าเอง” น้ำเสียงของเสวี่ยอิงนุ่มนวลแต่จริงจัง
เสี่ยวถงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
“ฮูหยิน…ท่านหมายถึง…?”
“ข้ารู้ว่าข้าเปลี่ยนไปมาก เจ้าก็ต้องรู้” เธอปรายตามองนางกำนัลตรงหน้าอย่างแน่วแน่ “เพราะฉะนั้น…ข้าต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ ‘ข้า’ เป็นคนเช่นไร”
เสี่ยวถงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ฮูหยินในอดีต…สงบเสงี่ยมเจ้าค่ะ พูดน้อย ไม่ค่อยสบตาใคร… และแทบไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง”
“…”
“ทุกคนในจวนล้วนมองว่าท่าน…อ่อนแอเกินไป ทั้งกายและใจเจ้าค่ะ”
เสวี่ยอิงก้มหน้าลง ริมฝีปากเม้มแน่น เงาสะท้อนในถ้วยชาดูพร่ามัวและแปลกแยกจนแทบจำไม่ได้ว่าเคยเป็นใครมาก่อน
“แล้วกับท่านแม่ทัพล่ะ?” เธอถามเสียงเรียบ
เสี่ยวถงหลุบตาลงทันที
“แม่ทัพเคยมาเยือนเรือนนี้เพียงไม่กี่ครั้ง ตั้งแต่ท่านแต่งเข้ามา…ก็แทบไม่มีบทสนทนาใด ๆ กันเลยเจ้าค่ะ ทุกครั้งที่ท่านพบแม่ทัพ…ก็มักจะหลบตา ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแม้แต่จะยืนใกล้”
เสวี่ยอิงหลับตาแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างปลงตก
ไม่แปลกใจเลย…ว่าเหตุใดจึงไม่มีใครนับถือนางในฐานะภรรยา
“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอลืมตาขึ้น มองเสี่ยวถงที่ยังหมอบอยู่ตรงหน้า
“นับจากนี้…ข้าจะไม่ใช่สตรีที่พวกเขาจำกันได้อีกต่อไป”
เสี่ยวถงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหว
“ฮูหยิน…ท่านเปลี่ยนไปจริง ๆ เจ้าค่ะ แต่ไม่ใช่ในทางที่เลวร้าย…”
เสวี่ยอิงยิ้มน้อย ๆ
“ถ้าเปลี่ยนแล้วข้าอยู่รอดได้ ข้ายินดีจะเปลี่ยนจนไม่มีใครจำข้าได้เลยก็ยังได้”
เธอลุกขึ้น เดินไปหยุดที่บานหน้าต่าง มองออกไปยังสวนที่ลมพัดใบไม้ไหวเบา ๆ
“บอกข้าให้หมด…ไม่ว่าใครคิดยังไงกับข้า ใครชอบ ใครรังเกียจ ข้าต้องรู้ทุกอย่าง”
เสี่ยวถงพยักหน้าแน่น
“เจ้าค่ะ…ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้
ในเมื่อเจ้าของร่างนี้ ถูกดูถูกเหยียดหยาม เป็นแค่สตรีที่อ่อนแอไร้ความสามารถ ไป๋เสวี่ยอิง ในเมื่อสวรรค์นั้นยังให้โอกาสให้เธอมาอยู่ในร่างนี้ เธอจะทำให้ร่างนี้ดูมีคุณค่าอีกครั้ง ด้วยสองมือคู่นี้ และ ความสามารถด้านการแพทย์
เธอถอนหายใจเบา ๆ ขณะหันมองมือเรียวของตน
มือที่ครั้งหนึ่งเคยหยิบมีดผ่าตัดในห้องปลอดเชื้อ มือที่เคยต่อชีวิตคนไข้บนเตียงฉุกเฉิน…
ถึงแม้ว่าในยุคก่อนเธอเป็นศัลยแพทย์ เคยผ่านรักษาทั่วไปมาบางครั้ง และเคยลงวิชาเรียนแพทย์แผนจีนมาบ้าง ก่อนอื่นคงต้องมาเรียนรู้พวกสมุนไพรและ พวกการรักษาในยุคนี้สักก่อน
อยากแรกคือ ถ้ายุคที่ตัวเองจากมาคงจะต้องอ่านหนังสือกองโต แตาถ้าเป็นยุคนี้คงจะเรียนตำราแพทย์ แล้วจะหาได้ที่ไหนล่ะ ตำราแพทย์?
เธอลุกขึ้นทันทีและก้าวออกจากเรือน ก่อนจะเรียก เสี่ยวถง เด็กสาวคนสนิทที่เพิ่งเริ่มเปิดใจให้เธอในช่วงไม่กี่วันมานี้
“เสี่ยวถง ข้ามีเรื่องอยากให้ช่วย”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น “เจ้าคะ?”
“ในจวนแม่ทัพ…มีตำราการรักษา หรือบันทึกเกี่ยวกับสมุนไพรอยู่ที่ใดบ้าง?”
เสี่ยวถงนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ย “เอ่อ…ข้าน้อยเคยได้ยินว่า ท่านหมอจางที่เคยดูแลนายท่านใหญ่ เขาทิ้งตำราบางส่วนไว้ที่เรือนรับรองหลังเล็กด้านหลังจวนเจ้าค่ะ แต่ไม่มีผู้ใดเข้าไปนานแล้ว เพราะเขาเสียไปหลายปีแล้ว”
เรือนรับรองหลังเล็กที่ดูโทรมเก่า กลายเป็นจุดหมายใหม่ของไป๋เสวี่ยอิงทันที
เสียงประตูไม้แห้งกรังถูกผลักออก กลิ่นฝุ่นผงกับกลิ่นหอมจาง ๆ ของรากไม้แห้งลอยมากระทบจมูก
ชั้นวางตำราเรียงราย แม้จะมีใยแมงมุมพาดผ่าน แต่เมื่อกวาดสายตาไป เธอกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด
“ใบหลิว… เหง้าชะเอม… เกล็ดหอยนางรมบด…?”
แม้บางชื่อจะไม่คุ้นเคย แต่หลายตำรากลับเขียนด้วยตัวอักษรชัดเจน มีทั้งตำราการจับชีพจร การต้มยา การวินิจฉัยจากลักษณะลิ้น หรือแม้กระทั่งการจัดสมดุลพลังหยินหยางในร่างกาย
“แบบนี้แหละ… เธอคงต้องเริ่มเรียนใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง”
ไป๋เสวี่ยอิงพึมพำกับตัวเอง ขณะหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วเดินกลับเรือนอย่างแน่วแน่
นับจากวันนี้
เธอ…จะเป็นผู้ควบคุมชะตาของตัวเอง
จะเป็นสตรีที่ไม่อ่อนแอ ไม่ถูกดูแคลน และไม่ถูกลืมอีกต่อไป
และที่สำคัญ…
เธอจะใช้ความรู้ที่มีสร้างศรัทธาใหม่ให้ทุกคนในจวนแม่ทัพ
…
ในช่วงสองวันต่อมา ไป๋เสวี่ยอิงใช้เวลาทุกวินาทีหลังอาหารและก่อนนอนจดจ่ออยู่กับตำรานับสิบที่นำกลับมาจากเรือนหลังเก่า
เธอจัดมุมเล็ก ๆ หน้าหน้าต่างของเรือนเป็นโต๊ะอ่านตำรา วางสมุนไพรที่เธอจำแนกไว้ในตะกร้าใบเล็ก ซ้อนกันอยู่ข้าง ๆ หม้อน้ำร้อนที่ต้มน้ำตลอดวัน
“ตัวยานี้ใช้ลดไข้… ส่วนอันนี้คล้ายกับยาขับเสมหะ… แต่ต้องระวังปริมาณ…”
นางบันทึกทุกอย่างลงสมุดบันทึกเล่มใหม่ ด้วยลายมือเรียบร้อยอย่างคนคุ้นเคยกับการเขียนเวชระเบียน
ในขณะที่ตำราส่วนใหญ่เน้นการใช้พลังหยินหยางเพื่อประเมินอาการ เธอกลับวิเคราะห์ด้วยความรู้จากยุคปัจจุบันประกอบเสมอ
“ไข้สูง หนาวสั่น อาจเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจ แต่พวกเขาใช้คำว่า ‘ลมเย็นกัดเข้าไขกระดูก’ … น่าสนใจทีเดียว”
และโอกาสแรกก็มาถึง เมื่อบ่าวในเรือนล้มป่วยด้วยอาการไอเรื้อรังและตัวร้อน
เสี่ยวถงรีบเข้ามาบอก “ฮูหยิน! เสี่ยวลี่ลูกสาวของป้าจางแม่ครัวประจำจวน ไข้ขึ้นสูง และไอจนตัวสั่น ข้าน้อยคิดว่า…อาการคล้ายกับที่ฮูหยินอ่านในตำราเมื่อวานนี้!”
ไป๋เสวี่ยอิงไม่รอช้า รีบคว้าตำราในมือ พร้อมสมุนไพรจากตะกร้าแล้วเดินตรงไปยังเรือนคนป่วย
ใต้แสงตะวันยามบ่าย เงาของเธอทอดยาวเป็นรูปสตรีในชุดเรียบง่าย แต่ท่วงท่าเต็มไปด้วยความแน่วแน่และมั่นใจ
ในสายตาของคนในจวน…
นางที่เคยเป็นเพียง “ภรรยาผู้ขี้โรค” เริ่มกลายเป็นคนที่น่าจับตามองเสียแล้ว!