เกิดใหม่ทั้งทีไม่ได้พรเลยสักอย่าง พระเจ้าขี้งกเอ๊ย แถมยังเงยหน้าตื่นขึ้นมาในซอยเปลี่ยวด้วยร่างผอมแห้งเพราะไดเอทเกินขนาด ยังดีที่ร่างเธอมีเงิน งั้นเก็บแมวตรงหน้าไปเลี้ยงเป็นเพื่อนเลยแล้วกัน!
        แฟนตาซี,รัก,slow life,น่ารัก,fluff,feel good,slice of life,โรแมนติก,นิยายชายหญิง,พระเอกคลั่งรัก,แมว,ยุคดวงดาว,สตรีมเมอร์,เกิดใหม่ ,ต่างโลก,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี,  นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
        
        
      
          แฮ่ก แฮ่ก 
 เสียงหอบหายใจดังก้องตามทางเดินที่เธอถูกชายหนุ่มลากไป เขาไม่มีการหยุดฝีเท้าแม้แต่วินาทีเดียวราวกับคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นบ้านหลังที่สอง แต่เชอร์เบลยังไม่หายจากการตกใจและไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน จึงสะดุดเท้าตัวเองจากความรีบร้อนนั้น
 
 "อ๊ะ!"
 
 เชอร์เบลหลับตาปี๋เตรียมรับแรงกระแทก แต่กลับจมเข้าไปในอ้อมอกกว้างของวิลเลียมเสียก่อน ก่อนที่เขาจะประคองให้เธอยืนดีๆ
 
 "ขอโทษครับ ผมรีบเกินไป"
 
 เขาขอโทษด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ซึ่งดูสีหน้าอ่อนลงกว่าเมื่อครู่ที่เหมือนคิดอะไรอะไรอยู่ในหัวตลอดเวลาจนหน้าเรียบตึง ทำให้เธอไม่กล้าขัดแม้เขาจะก้าวเดินเร็วกว่าช่วงขาของเธอมากก็ตาม
 
 "อ่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินไม่ระวังเอง"
 
 เธอเกาแก้มอย่างกระดาก จนป่านนี้เขาก็ยังไม่ปล่อยมือที่จับมือขวาของเธอแน่นนั้นออกเลยสักนิด แต่ตอนนี้จากที่พากันวิ่งออกมาจากห้องวิจัยข้างในสุดก็ได้เดินช้าๆ แล้ว ดูเหมือนวิลเลียมจะสังเกตได้ว่าเธอเหนื่อยสักที
 
 "ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่มาช่วย อาจจะดูละลาบละล้วงไปหน่อยแต่ว่าคุณมาได้ยังไงเหรอคะ"
 
 หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่ตื่นมาเธอก็ไม่เห็นตัวส่งสัญญาณหรืออะไรเลยที่สามารถเรียกวิลเลียมมาได้ แม้เธอจะได้ยินอยู่ก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันแต่เธอก็ไม่กล้าถามเรื่องนี้ ด้วยเรื่องดูจะมีความละเอียดอ่อนที่อธิบายต่อคนนอกได้ยากพอสมควร
 
 "พวกนักวิจัยในทีมพี่ชายผมนั่นแหล่ะครับ ทันทีที่เห็นพี่อุ้มคุณไปเขาก็โทรหาผมทันทีเลย เผื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นน่ะครับ"
 
 เชอร์เบลพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ตอบหรือถามอะไรกลับไปอีก วิลเลียมเลิกคิ้วนิดๆ ด้วยความประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาดึงมือเธอให้เดินตามไปยังข้างๆ ตึกศูนย์วิจัยกองทัพ จากนั้นก็พาเธอขึ้นรถโดยสารอัตโนมัติที่ขับวนพากลับไปยังสำนักงานกองกลาง เขาเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งมองวิวออกไปข้างนอกอยู่ข้างๆ
 
 "คุณไม่ถามเหรอครับ ว่าทำไมเขาทำแบบนั้น หรือมีคนโดนแบบคุณก่อนหน้านี้รึเปล่า"
 
 เขาถาม ถามโดยที่ไม่รู้เช่นกันว่าตนต้องการคำตอบแบบไหนจากปากเธอ มองใบหน้าที่เหมือนแมวเด็กนั้นอ้าปากนิดๆ ด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงใสๆ จะตอบคำตอบที่คาดไม่ถึง
 
 "ก็เพราะคุณดูไม่อยากเล่า ฉันก็เลยไม่อยากถาม"
 
 "อีกอย่างดูดีๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ตั้งท่าทำร้ายฉัน และถ้าเป็นพี่ชายที่คุณวิลเลียมรักล่ะก็ ก็ต้องไม่ใช่คนเลวร้ายอยู่แล้วนี่คะ"
 
 เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มแสนเจิดจ้า ทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นอย่างผิดปกติ เหมือนวันที่เธอห่อตัวด้วยเสื้อกันหนาวของเขา เงยหน้ายิ้มและขอบคุณท่ามกลางบรรยากาศฝนตกแสนมืดครึ้ม ที่ไม่อาจกล้ำกลายแสงสว่างจากตัวเธอได้เลย
 
 เขาถอนหายใจเล็กน้อย จากเรื่องที่ยากแม้แต่จะทำใจเปิดปากเล่า แต่กับเธอคนนี้กลับรู้สึกว่าไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น เขาเชื่อว่าหากเธอได้ฟังเรื่องราวแล้ว เธอจะต้องไม่ตัดสินว่าพี่ชายของเขาเป็นคนบ้าเหมือนที่เขาแสดงออกให้คนอื่นเห็นอยางแน่นอน
 
 "ก่อนหน้านี้..."
 
 
 
 ย้อนกลับไปยังเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุหกสิบปีมีผมสีดำสนิทที่ได้จากพ่อ และดวงตาสีน้ำตาลทองจากแม่ มีชื่อว่าอาร์เธอ เขาเป็นเด็กหนุ่มแสนฉลาดแต่มีร่างกายอ่อนแอผอมบางที่ได้รับจากแม่มาเต็มๆ แต่เมื่อเป็นลูกชายคนแรกที่ป็นที่คาดหวัง เขาจึงต้องพยายามแล้วพยายามอีก เพื่อให้ได้รับคำชื่นชมและความรักจากคุณพ่อ
 
 "อีกแค่ยี่สิบปีก็ถึงเวลาสอบเข้ากองทัพแล้ว! ทำไมยังอ่อนแอปวกเปียกขนาดนี้อีกหา!!"
 
 "น่าผิดหวังจริงๆ เป็นลูกชายของฉันแกจะเป็นแบบนี้ไม่ได้!"
 
 คุณพ่อ หรือ มาร์ตินี่ มาร์ติน ผู้ก่อตั้งตระกูลมาร์ตินให้ได้มีชื่อเสียงเป็นตระกูลใหญ่ เป็นผู้มีพลังวิญญาณสายควบคุมอันแข็งแกร่ง การควมคุมเงานั่นเอง แนวหน้ากองทัพหน่วยปราบปรามสลัดอวกาศอันน่าเกรงขาม และเป็นผู้ที่รักในความแข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบมากกว่าใคร
 
 "คุณท่านคะ! คุณนายคลอดคุณชายน้อยแล้วค่ะ"
 
 "ดี! ส่วนแกถ้าทำลายหุ่นตรงหน้าให้เละไม่ได้ก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด"
 
 วันนั้นอาร์เธอได้เรียนรู้วิธีใช้พลังใหม่อีกครั้ง โล่ที่ไม่ได้มีไว้ปกป้อง หากแต่มีไว้บีบอัดจนอะไรก็ตามที่อยู่ข้างในถูกบดเป็นจุล 'รีเวิร์สชีลด์' เขาเข้าไปในบ้านด้วยเหงื่อโทรมกาย กำลังจะเข้าไปในห้องที่แม่อยู่กับน้องชายที่พึ่งลืมตาดูโลกที่เขาเฝ้ารอมาตลอด แต่กลับได้ยินเสียงที่เขาโกรธเกลียดดังออกมาเต็มสองหู
 
 "ดูสิ นอกจากเขาจะได้สีผมกับดวงตาของฉัน ยังได้สืบทอดพลังของฉันอีก! ต่อไปเจ้าลูกชายคนนี้จะต้องแข็งแกร่งแน่ๆ!"
 
 เสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจดังลั่นเคล้าคลอไปกับเสียงอ่อนโยนที่อ่อนแรงของคุณแม่ ก่อนที่คุณพ่อจะเดินออกมาพร้อมกับเครื่องตรวจพรสวรรค์คร่าวๆ ที่มีเพียงห้าอันในกาแล็กซี่ที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตา หินโบราณในไม้เท้าหรูหราที่ดื่มเลือดเพื่อปรากฎผล คุณพ่อขอยืมจากกองทัพมาเพื่อใช้กับเขาจนไม่มีนิ้วไหนที่ไม่มีรอยแผลเป็นจากการกรีดเลือด เคี่ยวเข็ญสายพิเศษอย่างเขาที่ดูไร้ประโยชน์ในตอนแรกจนแข็งแกร่งขึ้นมา ที่ต้องแลกด้วยทุกอย่างที่เขามี
 
 "ไปทำความสะอาดสภาพดูไม่ได้นั่นซะ อย่าเข้าไปทำให้แม่และน้องชายของแกต้องป่วย"
 
 เสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือหัวก่อนที่ร่างสูงใหญ่นั้นจะเดินจากไป เขาทำตามคำสั่งและได้เข้าไปในห้องของคุณแม่เมื่อดวงจันทร์มาแทนที่ดวงอาร์ทิตจนหมด ร่างผอมของเด็กหนุ่มยืนมองแม่ที่หลับไหล ทอดสายตาไปยังเตียงเล็กข้างๆ ที่มีสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยขยับดุ๊กดิ๊กอยู่
 
 เขาเดินไปใกล้ๆ มือทั้งสองโอบอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาอุ้มและเดินไปยังหน้าต่างที่เห็นวิวสวนดอกไม้ท่ามกลางอากาศหนาวและโดนแสงจันทร์สาดส่อง ตั้งใจจะทิ้งศัตรูที่มีอายุเพียงวันเดียวลงไปในพุ่มไม้ ทว่าเจ้าตัวจิ๋วกลับลืมตาตื่นขึ้นมาเสียก่อน ดวงตาสีฟ้าเหมือนคุณพ่อราวกับถอดแบบมา ทว่าดวงตาอีกข้างกลับมีสีน้ำตาลทองเหมือนคุณแม่และเขาเอง เส้นผมสีดำสนิทแม้จะเหมือนคนคนนั้น แต่ก็เหมือนกับของเขาเช่นกัน
 
 "เจ้าตัวจ้อย ถ้าแกไม่ลืมตาขึ้นมาฉันคงได้ทิ้งไปแล้ว"
 
 มือเกลี่ยที่ดวงตาโตนั้นอย่างนุ่มนวล แม้ว่าจะกำลังสั่นระริก ดวงตาสีอำพันคลอด้วยน้ำตา ก่อนที่หยาดน้ำนั้นจะตกลงที่แก้มนุ่มนิ่มของทารก
 
 "ทำไมแกต้องเกิดมาด้วย"
 
 "ไม่สิ ถ้าแกสมบูรณ์แบบอย่างที่คุณพ่อบอก แล้วทำไมฉันต้องเกิดมากัน"
 
 เสียงสะอื้นถูกกลืนไปกับเสียงลมหนาวหวีดหวิว เด็กหนุ่มวัยรุ่นร้องไห้เงียบๆ ท่ามกลางแม่ที่นอนหลับสนิท และน้องชายที่มองตาแป๋วอย่างไม่รู้เรื่อง มือเล็กๆ ปัดป่ายจนโดนหน้าของเขา แม้จะรู้ความจริงแต่อาร์เธอกลับเข้าข้างตนเองอย่างโง่งมแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
 
 "ขอบใจนะที่ปลอบกัน พี่ชายคนนี้น่าสมเพชเกินไปแล้วสินะ ฮะๆ"
 
 อาร์เธอปาดน้ำตาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เดินวนโยกเยกจนสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วในอ้อมแขนค่อยๆ หลับตาลงก็พากลับไปส่งที่เปลเล็กนั้น
 
 "นอนซะเถอะ น้องชายของพี่"
 
 เขางับประตูลงด้วยความเงียบเชียบและเดินกลับไปยังห้องของตนเองที่เงียบเหงาและเหน็บหนาว แต่นับจากนั้นอาร์เธอก็มีเป้าหมายในชีวิตใหม่ ความรักทั้งหมดถูกมอบให้กับน้องชายคนเดียวเท่านั้น ไม่มีเหลือสำหรับคุณแม่ที่แม้จะอ่อนโยนแต่อ่อนแอ ไม่เคยเอาตัวเข้าปกป้องแม้จะรู้ว่าเขาโดนพ่อทำอะไรบ้าง และยิ่งไม่มีเหลือสำหรับคุณพ่อ ที่ไม่มีทั้งเลือดและน้ำตาแม้แต่ในวันที่คุณแม่เสียชีวิตไปก่อนก็ตาม
 
 ไม่นานอาร์เธอก็เติบโตขึ้น เขาสมัครเข้ากองทัพอย่างที่คุณพ่อคาดหวัง แต่ก็หักหน้าด้วยการไปเข้าหน่วยวิจัยที่ตนชอบ เขาทำหูทวนลมกับคำด่าว่าต่างๆ และทำวิจัยทุกอย่างที่เคยอยากทำ แม้แต่ทดลองกับตัวเองก็ตาม นั่นทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นปละหลากหลายขึ้นจนแม้แต่คุณพ่อก็เริ่มไม่สามารถควบคุมเขาได้
 
 แต่ถึงอย่างนั้นพลังความอุตสาหะก็ไม่อาจสู้พรสวรรค์ได้ ทำให้อาร์เธอเคียดแค้นต่อชะตาฟ้าดินมาตลอด จนกระทั่ง...
 
 เส้นผมครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีขาวจากผลกระทบที่ฉีดยาตัวหนึ่งเข้าไปในร่าง สติสัมปชัญญะเองก็ได้รับผลกระทบทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจเมื่อความรู้สึกแรงกล้าเกินไป ร่างกายใหญ่โตและแข็งแกร่งขึ้นจนแม้แต่เหล็กที่ไม่ได้ทำขึ้นพิเศษก็ไม่สามารถแทงเข้าได้ เป็นเพราะเขาทำวิจัยผิดกฎหมาย วิจัยการฉีดเซรุ่มที่พัฒนามาจากเซลล์ของเซิร์กที่สูญพันธุ์ไปแล้วเข้าร่างตัวเองเพื่อการวิวัฒนาการนั่นเอง
 
 แต่สุดท้ายการวิจัยนั้นก็หยุดไปเพราะถูกวิลเลียมทำลายทิ้ง และอาร์เธอเองก็รับปากกับน้องชายคนเดียวเป็นมั่นเหมาะ แม้ว่าจะยังทำวิจัยเกี่ยวกับพลังพรสวรรค์ของแต่ละคนต่อไป เพื่อสักวันจะเอาชนะชะตาที่ถูกกำหนดมาให้คนแต่ละคนได้ เพื่อไม่ให้มีใครโดนแบบเขาในตอนเด็กอีกต่อไป
 
 อาร์เธอเป็นห่วงวิลเลียมมากเมื่อเขาเริ่มต่อต้านคุณพ่อ เพราะเขาไม่อยากเข้ากองทัพ ไม่อยากเป็นทหาร หน่วยวิจัย หรือฝ่ายสำรวจทั้งนั้น วิลเลียมอยากเข้าวงการบันเทิงและเขาก็มีจุดยืนต่อพ่อมาตลอด แม้ว่าอาร์เธอจะไม่เห็นด้วยเลยก็ตามเพราะไม่อยากให้วิลเลียมโดนพ่อที่เลอะเลือนเต็มทีทำร้าย และถ้าวิลเลียมมาเข้าหน่วยวิจัยของเขาเขาก็จะสามารถปกป้องน้องชายได้อย่างเต็มที่ด้วย
 
 แต่เมื่อน้องชายสุดที่รักยังยืนยันคำเดิมมีหรือที่เขาจะขัดได้ เขาจำเป็นต้องปล่อยน้องชายไปและถอยไปปกป้องอยู่ข้างหลัง ส่วนเมื่อมีใครมาขัดขวาง ทำข่าวฉาว หรือแม้แต่จุ้นจ้านเข้ามามากเกินไป อาร์เธอจะไม่มีความปราณีใดๆ ให้แม้แต่นิดเดียว
 
 รวมถึงคุณพ่อด้วย
 
 วันนั้นวิลเลียมกลับบ้านในรอบปี อยากเอาถ้วยรางวัลมาอวดคุณพ่อ แม้ว่าเขาจะโหดเหี้ยมและเอาแต่ใจไม่ฟังใครแต่วิลเลียมก้ยังรู้สึกผูกพันธ์ ถึงแม้จะไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ที่ดีนักก็ตาม แต่มันก็เกินจะรับไหวเมื่อคุณพ่อเขวี้ยงถ้วยรางวัลนั้นลงกับพื้นอย่างไร้เยื่อใย รูปหล่อสีทองรูปม้วนฟิล์มแตกกระจายเป็นชิ้นๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาที่พังทลาย น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงจากตาและไหลอาบแก้ม แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ยังเอ่ยแซะว่าเขาช่างมีจิตใจอ่อนแอ เพียงของพังก็ร้องไห้เป็นวัยเบบี้ไม่เติบโตเป็นชายชาตรีเสียที
 
 อาร์เธอที่พึ่งตามมาเพราะได้รับข้อความจากน้องชายว่ากลับบ้านเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า พุ่งตัวโจมตีคุณพ่อด้วยดวงตาวาวโรจน์ เพียงไม่กี่กระบวนท่าคุณพ่อที่แก่ตัวลงก็ไม่อาจสู้ลูกชายที่กลายพันธุ์ตัวเองได้
 
 มาร์ตินี่ถูกปักเซรุ่มระเบิดพลังที่พึ่งวางขายในกองทัพสำหรับตอนที่พลังวิญญาณหมดจะถูกเติมอย่างรวดเร็วจนหมดหลอด ขณะที่ใช้ไมนด์ชีลด์กักพลังที่ไหลเวียนบ้าคลั่งนั้นเอาไว้และปล่อยในทีเดียว ร่างอายุหกร้อยสิบสามปีถูกระเบิดจากภายในกลายเป็นเสี่ยงๆ เลือดสีแดงสดอาบย้อมเสื้อกาวน์สีขาวจนชุ่ม
 
 "สุดท้ายชาติทหารสุดแกร่งอย่างคุณ ก็แพให้กับนักวิจัยที่คุณดูถูกมาตลอดจนได้"
 
 เขาเงยหน้าหัวเราะกับฟ้าดินด้วยความบ้าคลั่ง มือสากเขวี้ยงหลอดฉีดยาที่ว่างเปล่าออกไปพ้นตัว ก่อนจะหันหลับมาหาวิลเลียมด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยนที่ไม่เข้ากับเลือดที่เลอะไปทั้งตัวนั้นแม้แต่น้อย
 
 "โอ๋เอ๋ขวัญเอ๋ยขวัญมานะเจ้าวิลลี่น้อยของพี่"
 
 "พี่จะปกป้องแกเอง ไม่ว่าจากใครก็ตาม"
 
 อาร์เธอกอดน้องชายที่สูงกว่าตนเล็กน้อยนั้นแน่น นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่ไหลรินของน้องชายออกทำให้ใบหน้านั้นเลอะด้วยเลือดแทนที่น้ำตา โยกเบาๆ พร้อมกับฮัมเพลงกล่อมเด็กอย่างที่ชอบทำเมื่อยังเด็กกว่านี้ ราวกับเมื่อครู่ไม่มีฉากฆ่าบุพการีเลือดสาดเกิดขึ้นแต่อย่างใด
 
 หลังจากนั้นทั้งสองก็ยังคงรักกันและสนิทกันเช่นเดิม แม้ว่าจะมีช่วงที่วิลเลียมไม่รู้จะทำตัวอย่างไรอยู่บ้าง แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาทั้งแบบนั้น เพราะถึงอาร์เธอจะบิดเบี้ยวไปสักหน่อย แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือเขารักและยินยอมน้องชายของตนยิ่งกว่าชีวิต และวิลเลียมเองก็รักครอบครัวเพียงคนเดียวของตนมากเช่นกัน
 
 
 
 "เรื่องคร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหล่ะครับ รู้แล้วคุณโกรธเขาได้นะครับ แต่ได้โปรดอย่าเกลียดเขาเลย"
 
 วิลเลียมไม่ได้พูดเหตุการณ์ทั้งหมดออกไปอย่างละเอียด เขาเล่าแค่ผิวเผิน แต่ก็มากพอที่จะทำให้หญิงสาวตรงหน้ารับรู้เรื่องราว เขามองเข้าไปในดวงตาของเชอร์เบล เธอมีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยน มากกว่าสีน้ำตาลทองของอาร์เธอที่ดูลึกเข้าไปไม่สิ้นสุดและสามารถลุกโชนเมื่อไหร่ก็ได้มากกว่า เมื่อพบว่าเธอไม่มีท่าทีรังเกียจก็เบาใจ รวมไปถึงที่ไม่รังเกียจเขาที่ไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้แม้วาจะเห็นพ่อถูกฆ่าต่อหน้าก็ตาม เพราะถึงเทคโนโลยีจะเจริญมาก แต่การจับพ่อแม่เข้าคุกก็ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับกันไม่ค่อยได้อยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าที่จริงๆ แล้วถือเป็นอาชญากรรม ไม่สามารถลดโทษได้ไม่ว่าจะฆ่าใครด้วยเหตุผลอะไรอื่นนอกจากป้องกันตัวนั่นเอง
 
 "ฉันอาจจะพูดว่าเข้าใจไม่ได้ แต่ฉันก็คิดว่าในตอนนั้นมันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ทั้งคุณและพี่ชายคุณจะตัดสินใจได้แล้วล่ะค่ะ ดังนั้น ฉันที่เป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์โกรธเกลียดและคิดแทนหรอกนะคะ แล้วเรื่องเป็นความลับขนาดนี้ยังยอมเล่าให้ฟังอีก ขอบคุณนะคะ"
 
 "แต่ว่า... ถ้าจากที่ฟังเนี่ยคุณอาร์เธอจะเข้ามาเมื่อมีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ แล้วทำไมฉันถึงโดนล่ะคะ ถึงจะต่างจากพวกที่ว่าร้ายคุณตรงที่ฉันไม่โดนทำอะไรก็เถอะ"
 
 หญิงสาวเอียงคออย่างไม่เข้าใจ วิลเลียมจึงหัวเราะน้อยๆ แล้วเปิดสตาร์บอร์ดให้ดู
 
 "คุณคงยังไม่ได้อ่านข่าวสินะครับ พวกนักข่าวเล่นข่าวระหว่างคุณกับผมเต็มสตาร์บอร์ดไปหมดเลยล่ะครับ นั่นคงทำให้อาร์เธอเข้าใจว่าคุณเป็น 'คนของผม' น่ะสิ"
 
 ลิ้งก์ข่าวที่ส่งไปทางข้อความถูกหญิงสาวเปิดอ่านทันที เธอกวาดตาดูอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหูที่แดงระเรื่อ ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความร้อนรน
 
 "แบบนี้ก็ต้องรีบแก้ข่าวสิคะ! ขนาดคุณพี่ชายยังเข้าใจผิดแบบนี้มีหวัง--"
 
 "ไม่ต้องแก้ข่าวหรอกครับ"
 
 วิลเลียมพูดขัดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเดินลงเมื่อประตูด้านข้างเปิดออกพอดีเพราะมาถึงที่หมาย เชอร์เบลรีบผุดลุกตามมาก่อนจะถามอย่างใสซื่อ
 
 "ทำไมถึงไม่ต้องแก้ข่าวล่ะคะ"
 
 ชายหนุ่มกระโดดลงจากบันได และอ้าแขนรอรับอีกฝ่าย ซึ่งไม่เสียเปล่าเลยเพราะตัวรถอัตโนมัติเริ่มแล่นไปต่อเพื่อวนรอบไปที่กองทัพทำให้เชอร์เบลเสียหลักจะล้มลง
 
 หมับ!
 
 แขนทั้งสองข้างโอบรอบเอวบางแน่น ใบหน้าทั้งสองใกล้จนเกือบจะชนกัน ก่อนที่วิลเลียมจะค่อยๆ วางร่างเล็กลงให้ยืนกับพื้นดีๆ นัยน์ตายังคงสบกันราวกับติดในภวังค์ และชายหนุ่มก็ตอบคำถามที่ค้างคาเมื่อครู่ด้วยเสียงกระซิบชวนใจสั่น
 
 "ก็เพราะผมพยายามให้มันเป็นจริงในอนาคตอันใกล้นี้อยู่น่ะสิครับ"
 
 ชายหนุ่มยิ้มอย่างอดใจไม่อยู่ ก่อนจะหันหลังจูงมือหญิงสาวให้เดินตามมาโดยไม่ให้ทันตั้งตัว
 
 "อะไรนะคะ!?"
 
 "ตามนั้นแหล่ะครับ คนของผม"
 
 "เอ๋!??~~"
 
 หญิงสาวเดินตามไปเร็วขึ้นเมื่อถูกกระตุกมือที่จับกันไว้อีกครั้ง แม้ใบหน้าจะแดงก่ำลงไปถึงคอจนรู้สึกร้อนไปหมดด้วยความเขินอายก็ตาม
 
 
 
 ______________________________________
 
 จะมาคนของพงคนของผมอะไร๊ บว้าาา เขียนเองเขินเอง โง้ยยยยยยย