เกิดใหม่ทั้งทีไม่ได้พรเลยสักอย่าง พระเจ้าขี้งกเอ๊ย แถมยังเงยหน้าตื่นขึ้นมาในซอยเปลี่ยวด้วยร่างผอมแห้งเพราะไดเอทเกินขนาด ยังดีที่ร่างเธอมีเงิน งั้นเก็บแมวตรงหน้าไปเลี้ยงเป็นเพื่อนเลยแล้วกัน!
        แฟนตาซี,รัก,slow life,น่ารัก,fluff,feel good,slice of life,โรแมนติก,นิยายชายหญิง,พระเอกคลั่งรัก,แมว,ยุคดวงดาว,สตรีมเมอร์,เกิดใหม่ ,ต่างโลก,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี,  นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
        
        
      
          ในวันที่ท้องฟ้าอึมครึมและลมแรง เชอร์เบลคุลมเสื้อกันลมสีฟ้าเข้มตัวโปรดก่อนจะบอกลาลูกๆ ด้วยเสียงหวานๆ และออกจากบ้านไป ขาเรียวก้าวเดินไปตามถนนลาดยาวอย่างดีที่ค่อนข้างเงียบเหงา วันนี้เธอไม่ได้ใช้บริการขนส่งดวงดาวอันสะดวกสบายนั่นแล้วลงมาเดินเอง ด้วยความไม่ได้เร่งรีบและอยากมองสำรวจตัวเมืองที่เธออาศัยอยู่ด้วยเช่นกัน 
 ปิ๊บ~
 
 เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากสตาร์ชิปที่ข้อมือ บอกว่าอีกเพียงร้อยเมตรก็ถึงที่หมายของเธอแล้ว ซึ่งก็คือร้านงานฝีมือที่รับทำแท่นใส่รูปพลาสติกที่เธอตามหายังไงล่ะ ซึ่งเธอก็ได้ติดต่อกับทางร้านให้ทำจนเสร็จแล้ว ในวันนี้ก็แค่มารับงานที่เสร็จสมบูรณ์กลับบ้านก็พอ
 
 กรุ๊งกริ๊ง~
 
 เชอร์เบลผลักประตูไม้สีโทนอบอุ่นเข้าไปในร้านอย่างกระฉับกระเฉง เห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังพิจารณาดาบยาวที่น่าจะปลอมแต่ทำมาเหมือนจริงสุดๆ อย่างตั้งใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงประตูก็หันมามองนิดหนึ่งก่อนจะทำให้เชอร์เบลเลิกสนใจไป ถึงแม้จะหน้าตาดีพอที่จะเป็นดาราดังในโลกเก่าของเธอได้เลยก็เถอะ แต่จะมองต่อไปก็เสียมารยาทพอดี เธอจึงเข้าไปทักทายคุณปู่ที่นั่งเท้าคางอยู่หน้าเคาเตอร์อย่างเกียจคร้านด้วยความสุภาพ
 
 
 
 William's part
 
 ดวงตาสีฟ้าข้างหนึ่งและน้ำตาลทองข้างหนึ่งอย่างที่ไม่มีใครเหมือนเหลือบมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาในร้านอย่างเงียบๆ ด้วยความแปลกใจ ก่อนหน้านี้เขาเตรียมที่จะวิ่งหนีหากหญิงสาวเป็นซาแซงที่แอบสตอล์กเกอร์เขามาจริงๆ แต่ดูเหมือนเขาจะคิดมากไปเอง
 
 'เธอไม่รู้จักฉันจริงๆ หรือแค่ไม่กล้าทักกันนะ?'
 
 อาจจะดูหลงตัวเองไปสักหน่อย แต่ความจริงแล้วหากกล่าวว่าวิลเลียมเป็นดาราชายอันดับสอง ก็คงไม่มีใครกล้ายกตัวเองเป็นที่หนึ่ง จากการทำงานในวงการมากว่าสามสิบปี ประชากรมนุษย์ที่แตะห้าหมื่นล้านคนทั่วอาณานิคมดวงดาวอย่างน้อยๆ ก็รู้จักเขาไปแล้วกว่าสี่หมื่นล้านคน ดังนั้นจึงหายากที่ในดวงดาวระดับกลางแห่งนี้จะมีคนที่ไม่รู้จักดาราจอเงินมือหนึ่งอย่างวิลเลียมอยู่ด้วย
 
 ในวันนี้วิลเลียมอาสาออกมาที่ร้านนี้เพื่อมารับดาบปลอมที่ใช้ในการถ่ายทำหนังด้วยตนเอง เพราะเป็นทางผ่านจากที่พักของเขาไปยังกองถ่าย แทนสตาฟคนหนึ่งที่ป่วยจนขอลาหยุดไปเมื่อเช้า
 
 วิลเลียมเดินออกจากร้าน ขณะเดียวกันหญิงสาวที่เดินตามออกมาก็ร้องออกมานิดนึงด้วยความตกใจ ชายหนุ่มหันกลับไปหา ช่วยรับเธอไม่ให้ล้มหน้าทิ่มพื้นได้ทันท่วงที แต่ในขณะเดียวกันก็คิดอยู่ในใจ
 
 'หรือเธอจะรู้จักเป็นเหมือนแฟนคลับพวกนั้นที่ชอบแกล้งล้มใส่กันแน่?'
 
 แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าเป็นแฟนคลับหรือรู้จักเขาแต่อย่างใด แค่ขอบคุณที่ช่วยเอาไว้แล้วเดินกระเผลกๆ ออกไป ปล่อยให้วิลเลียมมองตามเธอและรู้สาเหตุว่าเธอล้มเพราะส้นรองเท้าดันหักพอดีเท่านั้นเอง เขาก้มมองมือตัวเองที่พึ่งช่วยเธอไปอย่างครุ่นคิด
 
 'จริงๆ แล้วเรายังไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้นสินะ'
 
 วิลเลียมโทรหาผู้จัดการที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันให้มารับที่หน้าร้าน ก่อนจะไปถ่ายหนังต่อที่กองถ่ายอย่างมีไฟมากกว่าเดิม จนเคฟติดใจสงสัยอย่างคนที่รู้จักกันมานาน ว่าทำไมพี่ชายคนดังของเขาจึงดูแปลกไป
 
 "พี่ ตอนไปรับดาบมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ทำไมพี่ขยันแปลกๆ"
 
 "แล้วปกติฉันไม่ขยันรึไง?"
 
 วิลเลียมที่พิงเบาะรถเหม่อมองไปนอกหน้าต่างตอบด้วยเสียงต่ำ ทำเอาคนที่กำลังขับรถกำพวงมาลัยแน่นขึ้นมาอย่างร้อนตัว
 
 "เปล่านะพี่ พี่ขยันอยู่แล้ว ผมแค่สงสัยเฉยๆ ไม่ได้จะว่าพี่ขี้เกียจนะ"
 
 วิลเลียมขำเบาๆ เมื่อได้ยินน้องชายแก้ตัว ทำให้คนข้างหน้ารู้ตัวว่าถูกพี่ชายแกล้งเล่นอีกแล้ว เขากล่าวด้วยเสียงเง้างอดตามประสาน้องชายคนเล็ก
 
 "โถ่พี่ แกล้งผมอีกแล้ว ผมจะฟ้องป๊า"
 
 "หึๆ แกล้งเล่นนิดเดียวเอง"
 
 "แล้วสรุปพี่ไปทำอะไรมาอ่ะ หรือเกิดอะไรขึ้น"
 
 วิลเลียมพิงหัวที่ข้างหน้าต่าง มองไปบนฟ้าที่เริ่มเห็นดวงจันทร์สามดวงรางๆ ประกอบกับท้องฟ้าสีส้มเป็นจ้ำๆ จากแสงยามเย็น ก่อนจะตอบด้วยเสียงนุ่มนวลขณะที่นึกถึงหญิงสาวตัวเล็กที่ดูไร้เดียงสาและอ่อนโยน สีหน้าตอนมองดวงตาของเขาครั้งแรกที่ดูไม่แปลกใจ ตกใจ ทั้งยังแสดงออกถึงความชื่นชม นั่นแหล่ะจึงทำให้เขาแปลกใจมาก รวมถึงเรื่องที่เธอไม่รู้จักเขาแม้แต่น้อยเสียด้วยซ้ำ
 
 วิลเลียมคิดในใจอย่างเงียบๆ คนที่ไม่ตัดสินว่าดวงตาของเขาว่าคือยีนด้อยแปลกประหลาดในครั้งแรกที่เห็นก็ยังมีสินะ
 
 "วันนี้ฉันได้เจอกับผู้หญิงคนนึงที่ไม่รู้จักฉันเลยสักนิดเดียว ทำให้ฉันรู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองก็ไม่ได้ดังมากมายขนาดนั้นน่ะนะ ก็เลยต้องตั้งใจทำงานกว่านี้แล้ว"
 
 "อะไรนะ! พี่เนี่ยนะไม่ดัง ห้าหมื่นล้านคนรู้จัดพี่ไปแล้วสี่หมื่นล้านกว่า ดาราคนอื่นได้ยินพี่พูดนี่ได้อิจฉาพี่แน่ๆ"
 
 เคฟร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ถ้าพี่เขาไม่ดัง แล้วดาราอันดับสองสามสี่ลงไปนี่เป็นอะไร ขยะเปียก?
 
 "ก็เหลืออีกตั้งหมื่นล้านนี่"
 
 "โถ่ คนเกิดวันนึงตั้งหนึ่งล้านกว่าคน อีกนิดพี่กะจะถูกรู้จักยันเด็กที่ยังไม่คลอดรึไง"
 
 วิลเลียมเขกหัวน้องชายไปหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้
 
 "โอ๊ย หัวผมแตกแล้ว"
 
 "ขี้เว่อร์"
 
 เคฟขยี้หัวตรงที่ถูกเขกเบาๆ ผมสีไข่ไก่ยุ่งจากลายเป็นรังนกขนาดย่อม เขาพ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างหงุดหงิดเล็กๆ
 
 "ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าใครกันที่ไม่รู้จักพี่ ให้ตายเถอะ อยู่มาทั้งชีวิตแบบไม่ดูหนังสักเรื่องหรือโฆษณาสักอันรึไงนะ แฟนคลับอันดับหนึ่งอย่างผมทนไม่ได้!"
 
 แล้วเคฟก็บ่นไปอีกพันคำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทำเอาวิลเลียมอ่อนใจ น้องชายคนนี้เป็นคนเดียวที่สนับสนุนให้เขาเข้าวงการอย่างที่ต้องการตั้งแต่เด็ก แม้จะถูกคนบุลลี่ในช่วงแรกๆ ว่าการมีดวงตาแบบนี้ไม่มีทางดัง เพราะผู้กำกับจะต้องเสียงบเพิ่มในการทำซีจีดวงตา เนื่องจากการใส่คอนแทคเลนส์ทำให้การแสดงอารมณ์ทางดวงตาลดลงเป็นอย่างมาก แต่เคฟก็คอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด เป็นผู้จัดการคนเดียวที่เขาไว้ใจ และยอมยกตำแหน่งแฟนคลับอันดับหนึ่งที่เจ้าตัวสถาปนาขึ้นมาเองให้อย่างเต็มใจ
 
 เขานั่งฟังอีกฝ่ายพูดไปเรื่อยๆ ก่อนที่นัยน์ตาคมปลาบจะสังเกตเห็นคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างถนน ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง วิลเลียมรีบสะกิดไหล่เคฟในทันที
 
 "อะไรพี่ ผมยังบ่นไม่เสร็จเลย"
 
 เคฟทำปากยู่ แต่ก็ชะลอรถลงแล้วหันมาถามพี่ชายตนด้วยน้ำเสียงสงสัย
 
 "เธออยู่นั่นไง"
 
 "ฮะ?"
 
 "คนที่นายบ่นมาสิบนาทีนั่นน่ะ"
 
 เคฟตะลึงจนเผลอกดเหยียบเบรกดังเอี๊ยด ดีที่รถไม่ได้ขับเร็วตั้งแต่แรกจึงไม่เกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มมองตามมือของวิลเลียมไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอใส่เดรสสีขาวระบายรอบกระโปรงกับเสื้อคลุมกันลมตัวโคร่งสีฟ้าเข้ม ก่อนที่เธอจะคุกเข่าลงที่ข้างถนนด้วยสีหน้าไม่ดี เมื่อมองตามก็พบกับแมวตัวหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น หญิงสาวถอดเสื้อคลุมออกทำให้เห็นว่าเดรสข้างในเป็นสายเดี่ยว เธอสั่นนิดๆ ด้วยความหนาวก่อนจะใช้มันประคองแมวตัวนั้นที่อาการไม่สู้ดีนักอย่างเบามือ
 
 "ดูเหมือนเธอต้องการความช่วยเหลือนะ"
 
 วิลเลียมพูดขึ้นหลังจากดูจากในรถอยู่ไกลๆ เคฟหันมาหาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เพราะการที่วิลเลียมพูดขึ้นมาแบบนี้แปลว่า…
 
 "พี่จะช่วยเธอเหรอ"
 
 "ก็ไม่น่ายากนะ ยังไงเธอก็ไม่รู้จักฉันนี่นา"
 
 เคฟถอนใจนิดหนึ่ง ก่อนจะยอมปลดล็อกประตูรถ เมื่อวิลเลียมได้ตัดสินใจแล้วก็ไม่มีใครหยุดมันได้ เคฟรอในรถตามคำสั่งของพี่ชายคนสนิท มองตามด้วยความเป็นห่วง ถึงพี่เขาจะดูเย็นชาและเด็ดขาด แต่ที่จริงใจดีอย่างไม่น่าเชื่อแถมยังโดนหลอกง่ายอีกต่างหาก โดนซาแซงปลอมตัวมาให้ของแปลกๆ อย่างตุ๊กตาวูดูหรือตะปูในขนมเค้กตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เข็ด ลำบากเขานี่แหล่ะเช็คและเตือนให้ทุกที
 
 ทางด้านวิลเลียมที่ลงจากรถไปก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวที่อุ้มแมวตัวนั้นและมองซ้ายมองขวากระวนกระวายอยู่ เขาทักเบาๆ
 
 "คุณ"
 
 หญิงสาวหันกลับมาตามเสียงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นใบหน้าของเขาก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาทันที ทำให้วิลเลียมรู้สึกเก้อกระดากและทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
 
 "คุณที่เจอในร้าน! ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ ขอร้องล่ะ"
 
 "เอ่อ ให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ เกี่ยวกับแมวที่คุณอุ้มอยู่รึเปล่า"
 
 หญิงสาวที่ดูยังเป็นเด็กน้อยตรงหน้าสูดจมูกก่อนจะกลั้นสะอื้นพูดเสียงเบาอย่างเกรงใจ
 
 "คุณมีรถไหมคะ แมวตัวนี้น่าจะถูกรถชน เธอกำลังจะคลอดลูกแล้วก็เสียเลือดเยอะมาก ถ้าช้ากว่านี้ฉันกลัวว่า…"
 
 "มีครับ คุณตามผมมาเลย"
 
 หลังจากวิลเลียมได้รู้สาเหตุก็รีบนำเธอมาที่รถอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องอธิบายอะไรมากเขาพยักหน้ากับเคฟเป็นสัญญาณว่าเธอไว้ใจได้ เขาบอกให้เคฟขับไปโรงพยาบาลสัตว์ที่ใกล้ที่สุดอย่างเร่งด่วน ซึ่งบังเอิญก็คือที่เดียวกับที่เชอร์เบลเคยนำลูกๆ มาตรวจสุขภาพนั่นเอง เธอรีบวิ่งลงจากรถและเปิดประตูเข้าไปโดยพลันจนวิลเลียมยังวิ่งตามแทบไม่ทัน
 
 "อ้าว คุณเชอร์เบล มาไม่นัดแบบนี้มีอะไรฉุกเฉินรึเปล่าครับ"
 
 ธีโอดอร์ทักหญิงสาวทันทีที่เห็น แต่ก่อนจะได้พูดคุยกันเขาก็สังเกตเห็นแมวในอ้อมแขนของเธอที่เปื้อนเลือดไปทั่วเสียก่อน จึงรีบแจ้งพยาบาลผู้ช่วยให้เตรียมห้องผ่าตัดโดยด่วน ก่อนจะอุ้มแมวตัวนั้นเข้าไปด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว
 
 เมื่อหมดหน้าที่แล้วเธอก็ทิ้งตัวลงบนที่นั่งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ วิลเลียมมองตามหญิงสาวที่วิ่งไปวิ่งมาเมื่อครู่ด้วยแววตาอ่อนลง คิดไม่ผิดที่เข้าไปช่วย ดูเหมือนเธอจะเป็นคนดีจริงๆ แถมยังอ่อนต่อโลกมาก หากเขาบังเอิญเป็นผู้ร้ายขึ้นมาเด็กสาวคนนี้คงไม่รอดเป็นแน่
 
 เคฟเดินตามลงมาหลังจัดการจอดรถให้เรียบร้อยในอึดใจเดียว ย่นจมูกใส่เขาทีหนึ่งก่อนจะยื่นเสื้อกันหนาวสีครีมที่เคฟมักจะติดหลังรถไว้เผื่อเขาเสมอให้ พยักเพยิดหน้าอย่างน่าหมั่นไส้แต่วิลเลียมก็เข้าใจสัญลักษณ์นั้นเป็นอย่างดี เดินเข้าไปคลุมเสื้อให้อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในขณะที่เคฟทำหน้าช็อคโลกที่วิลเลียมไม่ได้รับรู้
 
 เขาแค่จะให้พี่วิลไปยื่นเสื้อให้เฉยๆ เองนะ! เคฟคิดในใจด้วยความช็อค
 
 ส่วนเชอร์เบลที่จู่ๆ โดนเอาเสื้อมาคลุมก็ช็อคไม่แพ้กัน เธอเงยหน้าขึ้นมามองวิลเลียมด้วยความตกใจ จนเขารู้สึกเก้อกระดากขึ้นมา(อีกแล้ว)
 
 "เห็นคุณหนาวตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แต่ว่ามัวแต่รีบพาแมวมาโรงพยาบาลอยู่ก็เลย…"
 
 วิลเลียมเกาหัวนิดๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ตัวเองไม่ดูเจ้าชู้แปลกๆ (ในสายตาตัวเอง)
 
 "อะ เอ่อ ขอบคุณค่ะ ฉันมัวแต่กังวลเลยไม่ได้ใส่ใจความหนาวเลย ขอบคุณนะคะ"
 
 วิลเลียมสังเกตเห็นแก้มของอีกฝ่ายเป็นสีชมพูนิดๆ แต่เขาคิดว่าเกิดจากความหนาวที่กัดกินเธอมาประมาณสิบนาทีกว่าๆ เท่านั้นเอง เคฟที่มองนาฬิกาเห็นว่าเกือบถึงเวลาข้าวเย็นแล้วก็สะกิดวิเลียมก่อนจะเคาะที่นาฬิกา ช่วยไม่ได้ ดาราดังไม่ได้ได้หุ่นฟิตเฟิร์มมาได้ง่ายๆ เขาต้องคุมอาหารและทานตรงเวลา นอกจากนั้นหลังทานข้าวแล้ววิลเลียมก็มีบทที่ต้องซ้อมก่อนนอนเพื่อตื่นเช้ามืดไปแสดงในวันรุ่งขึ้นอีกด้วย
 
 เชอร์เบลมองท่าทางนั้นก็เดาออกว่าอีกฝ่ายต้องมีธุระเป็นแน่ จึงรีบรั้งตัวเขาไว้ทันที
 
 "ฉันขอช่องทางการติดต่อคุณไว้ได้ไหมคะ เอ่อ คือว่าเดี๋ยวฉันซักน้องแล้วจะเอามาคืนให้ค่ะ"
 
 วิลเลียมเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงใจดี
 
 "น้อง? หมายถึงเสื้อกันหนาวเหรอครับ ไม่ต้องซักคืนก็ได้ครับ คุณเอาไปได้เลย ยังไงเสื้อคลุมของคุณก็เปื้อนเลือดจนซักไม่ออกแน่ๆ อยู่แล้ว"
 
 หากเป็นแฟนคลับเขาก็คงดีใจที่ได้ของของเขาเป็นการส่วนตัว แต่อีกฝ่ายกลับรีบตอบปฏิเสธออกมารัวเร็วด้วยความเกรงใจทันที
 
 "ไม่ได้หรอกค่ะ แค่ได้สวมดูฉันก็รู้แล้วว่าน้องเป็นของดีและมีราคามากแน่ๆ อีกอย่างตอนนำน้องมาคืนจะได้เลี้ยงข้าวขอบคุณคุณด้วยค่ะ ถ้าไม่ให้ฉันตอบแทนเลยฉันคงจะติดค้างมากๆ เลยนะคะ"
 
 วิลเลียมแอบเอ็นดูเล็กๆ ที่อีกฝ่ายเอาแต่เรียกเสื้อกันหนาวของเขาว่าน้อง ทั้งๆ ที่ด้วยขนาดตัวของเขาทำให้เมื่อเธอสวมจึงใหญ่กว่าที่เธอใส่ปกติถึงสองเท่าด้วยซ้ำไป
 
 "ถ้างั้นเอานามบัตรผมไปก่อนนะครับ ผมยังไม่ว่างจนถึงบ่ายโมงวันพรุ่งนี้น่ะ"
 
 "ได้เลยค่ะ ฉันเชอร์เบลนะคะ ขอบคุณมากๆ อีกครั้งค่ะ!"
 
 เคฟมองหญิงสาวที่กำลังรอสลับกับพี่วิลเลียมที่หยิบนามบัตรให้อย่างไม่เข้าใจ หลังจากเดินกันออกมาสองคนเขาก็กระซิบกับวิลเลียมเบาๆ
 
 "พี่ ให้นามบัตรมาตรฐานไปแบบนี้เธอก็รู้น่ะสิว่าพี่เป็นดาราดัง"
 
 "ไม่เป็นไรหรอก ก็พวกเรารีบเกินกว่าจะมานั่งจดเบอร์กันนี่นา"
 
 วิลเลียมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขณะเข้าไปนั่งในรถที่เคฟเปิดประตูให้
 
 "แต่…"
 
 "ยังไงเธอก็ดูขี้เกรงอกเกรงใจถึงรู้ก็คงจะเอามาคืนตามที่ตั้งใจนั่นแหล่ะ หรือถ้าไม่กล้ามาเจอก็ถือว่ายกให้ไปเลย เสื้อตัวเดียวเอง"
 
 "โถ่…"
 
 "เอาน่า นายบอกว่าฉันดังมาก เพราะงั้นแค่เสื้อกันหนาวซาลีนตัวเดียวฉันมีเงินซื้อหรอกน่า"
 
 "ตั้งแสนกว่าเหรียญดวงดาวเลยนะนั่น…"
 
 เคฟพึมพำเบาๆ ในขณะที่วิลเลียมเอนตัวพิงเบาะหลับตาพักผ่อนไปแล้วเรียบร้อย
 
 
 
 "วิลเลียม มาร์ติน ติดต่องานโฆษณา ถ่ายแบบ และภาพยนตร์ที่ xxx-xxx-xxxxx"
 
 "ดารางั้นเหรอเนี่ย!"
 
 เชอร์เบลพลิกนามบัตรไปมาเมื่อไม่เจออะไรเพิ่มเติมก็ไม่รอช้ารีบค้นหาชื่อของอีกฝ่ายในสตาร์บอร์ด ก็ได้เจอว่าเป็นนักแสดงชายที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนนี้ ทำเอาเชอร์เบลแทบลมจับ ถึงจะเคยคิดในใจว่าเขาหน้าตาดีมากสมควรเป็นดาราก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นจริงๆ และดังเบอร์นี้ไหม!!?
 
 อ้อ แต่กลับบ้านฟ้ามืดขนาดนี้โดยไม่ได้บอกสามแสบก่อน ก็โดนลูกงอนไปตามระเบียบแบบไม่ต้องสืบ เอวัง
 
 
 
 
 
 _____________________________________________
 
 ทำไมวันนี้ไรท์เวิ่นเว้อจัง ไหนนักอ่านช่วยบอกไรท์หน่อยสิ ว่าอยากให้บรรยายเยอะๆ เหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หรือจะเร่งความเร็วเนื้อเรื่องหน่อยดี?
 
 #หม่าวเมี๊ยวแมวประเสริฐ