พลังที่ทรงอำนาจมักขึ้นเกิดจากความรักและความเกลียดชัง ลูกพีชอันหอมหวาน อาจเป็นผลไม้ต้องห้ามที่ใครบางคนได้กินเข้าไป

เกมอาญาสิทธิ์พระเจ้า-Love PEAch PEAce - ตอนที่ 1 บุรุษกับลูกแกะ โดย Fat Cat-Kun @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,สงคราม,ดาร์ค,รัก,เวทมนตร์,สงคราม,ความรัก,18+,นิยายแฟนตาซี,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกมอาญาสิทธิ์พระเจ้า-Love PEAch PEAce

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,สงคราม,ดาร์ค,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,สงคราม,ความรัก,18+,นิยายแฟนตาซี,ดราม่า,แฟนตาซี

รายละเอียด

เกมอาญาสิทธิ์พระเจ้า-Love PEAch PEAce โดย Fat Cat-Kun @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

พลังที่ทรงอำนาจมักขึ้นเกิดจากความรักและความเกลียดชัง ลูกพีชอันหอมหวาน อาจเป็นผลไม้ต้องห้ามที่ใครบางคนได้กินเข้าไป

ผู้แต่ง

Fat Cat-Kun

เรื่องย่อ

นิยายเรื่อนี้เป็นลิขสิทธิ์ของนามปากกา Fat Cat-Kun โดยสมบูรณ์ ภายใต้ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุด พ.ศ.2561 ห้ามมิให้ผุ้ใดคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข หรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ไปใช้โดยมิได้รับอนุญาต


นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจิตนาการของผู้แต่ง 


เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


รูปแบบการอ่าน 

- "...................." = ใช้ในการสนทนาทั่วไป (บรรยายโดยใช้อักษรปกติ) 

- '....................' = ใช้ในการบรรยายคำพูดในใจหรือเสียงในหัว (บรรยายโดยใช้อักษรตัวเอียง)

- เครื่องหมาย . จำนวน 3 บรรทัด = ใช้ในกรณีตัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันหรือละแวกใกล้เคียง

- เครื่องหมาย . จำนวน 5 บรรทัด = ใช้ในกรณีตัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่คนละแห่งกับเหตุการณ์ก่อนหน้า หรือสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากที่แรก


***Trigger Warning***

- นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสำหรับผู้อ่านที่เป็นซึมเศร้า, PTSD หรือมีภาวะใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง (ด้วยความห่วงใยจากผมเองครับ)

- เนื้อหามีความรุนแรง

- มีการบรรยายถึงเรื่องละเอียดอ่อน

- มีการบรรยายถึงการทำร้าย การฆ่า การทรมาน สภาพของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างละเอียด

- ทัศนคติและแนวคิดที่บิดเบี้ยวของตัวละคร 

- การทำร้ายจิตใจ การเหยียดหยาม การลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์


การอัปเดตนิยาย

- นิยายเรื่องนี้ลงตอนฟรีถาวรตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 10  

- ในหนึ่งสัปดาห์ไม่มีวันอัปเดตนิยายแบบตายตัว แต่จะอัปเดตอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ตอน ถ้าช่วงไหนสะดวกมากอาจจะอัปเดตมากกว่า 2 ตอนเลยครับ

- ช่วงเวลาอัปเดตนิยาย = ระหว่าง 17.30 น. - 20.30 น. (5:30 p.m. - 8:30 p.m.)

- นิยายจะติดเหรียญในตอนที่ 11 เป็นต้นไปในราคาเหรียญส่วนลด 50 เปอร์เซ็นต์จนกว่านิยายเรื่องนี้จะดำเนินถึงตอนจบ เมื่อนิยายจบแล้วไรต์อาจจะคงราคาเหรียญดังเดิมหรือปรับราคาตามความเหมาะสมได้ เช่น ตอนที่ ..... มีราคาส่วนลดคือ 3 เหรียญ เมื่อนิยายจบแล้วก็จะปรับเป็นราคาเต็มคือ 6 เหรียญ ซึ่งราคาเหรียญอาจจะคงไว้ที่ 3 เหรียญก็ได้ (แต่สปอยด์ไว้นิดนึงว่านิยายเรื่องนี้เนื้อหาค่อนข้างยาวระดับนึง รีบมาติดตามเนื้อเรื่องนี้กันไวๆ กันนะครับ ฮ่าๆๆๆๆ)

- ในอนาคตนิยายเรื่องนี้มีอีบุ๊คแน่นอน ไรต์จะแจ้งกำหนดอีบุ๊คในภายหลังนะครับ และก็ในกรณีที่มีการซื้ออีบุ๊คในระหว่างที่นิยายยังไม่จบ ราคาก็จะลดอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์เช่นกันครับ

- หากไรต์มีเหตุจำเป็นที่อาจส่งผลให้อัปนิยายหรืออีบุ๊คได้ช้า เช่น ติดโปรเจคด่วนในงานประจำหรือกำลังเตรียมสอบ ไรต์จะรีบแจ้งโดยเร็วที่สุดนะครับ


เพิ่มเติม

ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะ มาติดตามผลงานด้วยกันเยอะๆ เลย แล้วก็ฝากกดหัวใจ กดเข้าชั้นเพื่อให้ไรต์มีกำลังใจในการแต่งนิยายต่อ ๆ ไปด้วยนะครับ หรือสามารถสนับสนุนผ่านการโดเนทก็ได้เช่นกันครับ

ขอความกรุณาแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ


Tag #เกมอาญาสิทธิ์พระเจ้า

สารบัญ

เกมอาญาสิทธิ์พระเจ้า-Love PEAch PEAce-อารัมภบท ดาวแห่งแสงสว่าง,เกมอาญาสิทธิ์พระเจ้า-Love PEAch PEAce-ตอนที่ 1 บุรุษกับลูกแกะ

เนื้อหา

ตอนที่ 1 บุรุษกับลูกแกะ

“ขออย่าได้ลืมว่าท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือหมดรสเค็มไปแล้วจะทำให้กลับมาเค็มอีกได้อย่างไร ตั้งแต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะถูกทิ้งให้คนเหยียบย่ำ ผมอยากบอกพวกท่านและตัวผมเองว่าท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะถูกปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านนั้น ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”


บรรยากาศภายในในห้องใต้ดินที่ถูกตกแต่งแบบเรียบง่าย มีเพียงแสงจากอุปกรณ์ให้แสงสว่างแบบไร้สาย ผู้คนกว่าร้อยชีวิตกำลังสดับรับฟังถ้อยคำสอนอันลึกซึ้งซึ่งถ่ายทอดจากชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า หน้าตาคมเข้มหล่อ เสื้อผ้าหน้าผมและหนวดเคราดูเรียบร้อยมีภูมิฐาน คำสอนถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นส่งผ่านไปถึงเหล่าผู้ศรัทธาในพระเจ้า แม้เหล่าผู้รับสารในตอนนี้ต่างมีอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็สงบนิ่ง บ้างก็ยังมีความไหวติงหรือกำลังกลัวอะไรบางอย่าง บ้างก็กำลังโศกเศร้า บ้างก็เปลี่ยนจากความโศกเศร้าเป็นกำลังใจ แต่ทุกคนยังคงมีจุดร่วมเดียวกันคือการตั้งมั่นด้วยความเชื่อและความศรัทธาพร้อมกับตระหนักว่าอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ณ ตอนนี้เป็นเพียงเรื่องรองลงมาเท่านั้นเพื่อที่พวกเขาจะได้รับคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยจิตใจที่หนักแน่นเสมอกับผู้ส่งสาร


“ผมรู้ว่าพวกท่านวิตกกังวลและหวาดกลัว ผมก็ไม่ต่างกันเลย แต่เชื่อได้อย่างหนึ่งเลยนะว่าทั้งผมทั้งพวกท่านต่างก็รู้เนื้อตัวไปและกำลังเปิดทางให้ความเชื่อ ความศรัทธา ความซื่อสัตย์และความภักดีนำหน้าอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายที่ผสมปนเปกันไปเหมือนกับที่พระองค์เสด็จนำหน้าพวกเราเสมอ เพราะงั้นอย่าให้ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ทอดทิ้งท่าน ขอให้ท่านพันมันไว้รอบคอและเขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งหัวใจของท่าน ขอความรักของพระองค์ทรงสถิตอยู่กับพวกเราเสมอ อาเมน!”


เหล่าผู้ศรัทธาหลายร้อยชีวิตต่างกล่าวอาเมนอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงท้ายของการเทศนาไปจนล่วงเลยคำกล่าวอาเมนปิดจบของศิษยาภิบาลหนุ่มด้วยความปิติยินดีและเปี่ยมล้นไปด้วยกำลังใจ ทางด้านศิษยาภิบาลหนุ่มก็ได้มองดูเหล่าผู้ศรัทธาอย่างตื้นตันใจ เขานึกคิดอยู่เสมอว่าผู้คนทั้งหลายที่เขามองดูอยู่ตรงหน้าคือพรอันประเสริฐที่พระเจ้าประทานให้เพื่อที่ตนได้ตระหนักว่าต่อให้โลกนี้จะโหดร้ายเพียงใดตนก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและมีสังคมที่อบอุ่นอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

                        .


                        .


                        .

เวลาได้ผ่านพ้นไปจนล่วงเลยยี่สิบสองนาฬิกา ศิษยาภิบาลหนุ่มในชุดนอนแขนขายาวแบบสบายๆ กำลังเดินเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งภายในคฤหาสน์อันเรียบหรู มีโต๊ะหินอ่อนชั้นดีตั้งอยู่กลางห้องควบคู่กับโซฟาเซ็ตสามที่นั่งตรงข้างกับโซฟาด้านซ้ายขวาอย่างละสองที่นั่ง ศิษยาภิบาลหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชายร่างอ้วนวัยกลางคนค่อนไปทางสูงอายุในชุดนอนแขนขายาวสบาย ๆ เสริมด้วยผ้าพันคอผืนยาว ใบหน้าไว้หนวดเคราทรง Balbo ทรงผมเปิดหน้าผากยาวประมาณลำคอ อิริยาบถอยู่ในท่านั่งดื่มไวน์ในแก้วทองแดง เขาค่อย ๆ วางแก้วไวน์ลงอย่างทะนุถนอมก่อนจะมองมายังศิษยาภิบาลหนุ่ม ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบหยิบซองขาวออกจากกระเป๋ากางเกงชุดนอนเพื่อจะมอบให้ชายร่างอ้วนในทันที


“เงินสนับสนุนจากท่านผู้นั้นครับคุณชินด์เลอร์” ชายหนุ่มยื่นซองขาวบรรจุเงินให้กับเศรษฐีร่างอ้วนนามว่าชินด์เลอร์

“ดาวิด ตั้งแต่พวกผู้เชื่อในพระเจ้ายกย่องเป็นหัวหอก วีรกรรมของแกคงเตะตาท่านผู้นั้นมากเลยสินะ” ชินด์เลอร์พูดกับชายหนุ่มโดยเรียกชื่อของเขาว่าดาวิด

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ส่วนสินน้ำใจของผมกับผู้ศรัทธารวมอยู่ในซองขาวแล้วครับ”

“เข้าใจแล้ว”


จังหวะนั้นสายตาของดาวิดโฟกัสไปยังแก้วไวน์กับขวดไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหินอ่อน เขาจึงถามชินด์เลอร์ด้วยความสงสัยปนความประหลาดใจ


“จำได้ว่าคุณชอบบรั่นดี ไม่เคยเห็นคุณดื่มไวน์เลยนะครับ”

“เพิ่งเห็นครั้งแรกสินะ ฉันก็ดื่ม แค่ไม่บ่อยเท่าบรั่นดี”


ชินด์เลอร์ตอบเพียงสั้น ๆ ในขณะที่ตนกำลังดมกลิ่นไวท์บริเวณปากแก้วตามด้วยลิ้มลองให้รสชาติแผ่ซ่านในปากก่อนจะกลืนลงไป


“ฟูลบอดีย์ ไม่หวาน เปรี้ยวกลางๆ ฝาดน้อย ไฮท์ซะด้วย กลิ่นสมุนไพรค่อนข้างชัด ต่างไปจากรสชาติที่นางลิ้มลองเป็นประจำ”

“คุณนายมีไวท์รสชาติแบบนี้ด้วยเหรอครับ?”

“คงใช่แหละ…แต่ฉันก็ชอบ จะรสชาติไหนก็ชวนให้นึกถึงนางเสมอ”

“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ ตอนนี้คุณนายได้อยู่ในความคุ้มครองของพระเจ้าแล้วครับ”

“ถึงตอนนี้ก็หนึ่งปีแล้วสินะ โลกใบนี้ จักรวาลนี้คงบัดซบเกินไปสำหรับนางจริง ๆ”


น้ำเสียงเรียบเฉยแต่เคล้าไปด้วยความเศร้าปนความโกรธทำให้ดาวิดถึงกับนิ่งเงียบจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ แต่ถึงกระนั้นดาวิดก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ชินด์เลอร์เอ่ยออกมาล้วนเป็นความจริง ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก ได้แต่คิดสองจิตสองใจว่าหากตนนิ่งเงียบนานเกินไปก็จะดูไม่ดี แต่หากพูดมากเกินไปก็เกรงว่าจะเป็นเพียงคำปลอบประโลมที่อีกฝ่ายอาจเข้าใจว่าเป็นการให้ความหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ


“คือว่านะคุณชินด์เลอร์…ถ้ายังมีอะไรที่ผมพอช่วยเหลือได้ก็บอกผมได้นะ ผมพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอครับ”

“ขอบใจ…คงเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ช่วยให้ฉันเข้ารับพระเจ้าของแก”

“ใช่ครับ ผมเข้าใจจุดยืนของคุณดีครับ”


ดาวิดนึกไม่ออกว่าพูดคุยอะไรต่อ ได้แต่นั่งอย่างสงบเสงี่ยมทำได้แค่มองชินด์เลอร์ลิ้มรสไวน์รสโปรดของภรรยา แต่จังหวะนั้นกลับมีข้อสงสัยอะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของชายหนุ่ม เขาจึงรีบเอ่ยชื่อชายร่างอ้วนเพื่อชวนคุยต่อในทันที


“เอ่อ…คุณชินด์เลอร์ครับ”

“ว่าไง?” ชายร่างอ้วนตอบกลับ

“ทั้งที่ผู้เผยแพร่ความเชื่อของพระเจ้าก็ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว แต่ทำไมคุณกับท่านผู้นั้นถึงได้ไว้วางใจในตัวผมขนาดนั้น?”

“นึกว่าอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง”

“ครับ”

“แกน่ะช่วยทัพหลวงปราบแม่ทัพโกไลแอทด้วยกระสุนปืนนัดเดียว แกมีโอกาสจะฆ่าซาอูลที่ทรยศหักหลังแกได้ด้วยซ้ำ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ ที่สำคัญแกเป็นคนที่กล้าแสดงจุดยืนให้เหล่าผู้เชื่อยืนหยัดในพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ามันขัดต่ออำนาจของพวกบ้านไฮเมดิซีนมาแค่ไหน พูดง่าย ๆ ก็คือแกเป็นผู้เชื่อที่มีทั้งศรัทธาแรงกล้าและเลือดนักสู้ที่เข้มข้นมาก ดีไม่ดีอาจจะมีมากที่สุดในบรรดาผู้เชื่อที่ฉันเคยเจอก็ได้”

“อืม…คุณก็พูดถูก แต่ที่ผมทำการใหญ่ขนาดนี้ได้เพราะพระเจ้าทรงเสริมกำลังให้ผมต่างหาก พระองค์ช่วยผมให้พ้นจากสิงโตและหมี แถมยังช่วยให้ผมรอดจากเงื้อมมือพวกบ้านไฮเมดิซีนด้วย”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แล้วทำไมผู้เชื่อหลายคนถึงไม่รอดกลับมาเหมือนแก?”


ดาวิดได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบกลับในทันที เขาก้มหน้าลงเล็กหน่อยพร้อมกับกุมมือเข้าหากันทั้งสองข้างก่อนที่ชายหนุ่มจะตอบกลับคำถามที่ชินด์เลอร์ได้ถามเอาไว้


“พูดตามตรงนะ ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าพระเจ้าให้เสรีภาพกับทุก ๆ คน ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะดีหรือชั่วแค่ไหนก็ตาม จะเป็นสามัญชนหรือคนของบ้านไฮเมดิซีนต่างก็มีรากฐานจากการสร้างของพระองค์ทั้งนั้น”

“แกจะบอกว่าคนของบ้านไฮเมดิซีนมีเสรีภาพเหมือนคนทั่วไป แต่ดันเป็นผุ้กุมอำนาจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เชื่อสินะ”

“อืม…ใช่ครับ”

“ฟังดูน่าหดหู่ว่ะ คิดว่าพระเจ้าของแกจะช่วยอะไรได้ไหม?”

“ช่วยได้ครับ พระองค์จะลงโทษคนพวกนั้นในวันพิพากษา”

“งั้นเรอะ…อีกนานมั้ยกว่าจะถึงวันนั้น”

“นานอยู่ครับ…แต่เกิดขึ้นแน่นอน”

“ถ้างั้นล้างแค้นให้เมียฉันด้วยก็แล้วกัน”


คำพูดของชินด์เลอร์ชวนให้ดาวิดที่นั่งก้มหน้าเล็กน้อยเปลี่ยนไปเป็นเงยหน้ามองมาทางชายร่างอ้วนทันที แม้ดาวิดรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เขากลับแสดงออกด้วยการเผยรอยยิ้มเบา ๆ ด้วยความรู้สึกว่าลึก ๆ แล้วเขาชอบคำพูดท่อนนั้นของชายร่างอ้วนจริง ๆ


“สิ่งที่คุณนายเคยทำไว้ พระองค์จะไม่ปล่อยให้สูญเปล่าครับ”


ชินด์เลอร์ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกเสียจากยิ้มมุมปากให้ดาวิดได้เห็นพร้อมกับชูแก้วไวน์ขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าเขาค่อนข้างพอใจในคำตอบของดาวิด ชายหนุ่มได้แต่นั่งนิ่งไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร ได้เพียงยิ้มอ่อน ๆ ให้กับชายร่างอ้วนด้วยความรู้สึกดีใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน


“คุณชินด์เลอร์ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”

“พรุ่งนี้เช้าตรู่เหมือนเดิมสินะ”

“ใช่ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“เออ ๆ เช่นกันไอ้หนุ่ม”


ดาวิดเดินหลังไปจากชินด์เลอร์แล้วเปิดประตูออกไปจากห้องรับแขก ทันทีที่ประตูปิดสนิทแล้ว ชินด์เลอร์ก็หันความสนใจมายังแก้วใบเดิมที่ว่างเปล่าแล้วเติมไวน์อย่างพอดิบพอดี เขาจิบเมรัยผลไม้พลางนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยได้นั่งดื่มอย่างสุขสันต์กับภรรยา แต่ชายร่างอ้วนก็ยอมรับความจริงได้ว่าคู่ชีวิตของเขาไม่มีวันที่หวนกลับมาและช่วงเวลาที่รำลึกถึงการจากไปของนางกำลังจะหมดลงในเที่ยงคืนของวันนี้


                           .


                           .


                           .


ยี่สิบสามนาฬิกา

ดาวิดเดินออกมาข้างนอกคฤหาสน์ ทัศนียภาพด้านหลังบ้านสุดหรูของมหาเศรษฐีคือที่ดินขนาดกว้าง ทางเดินปูด้วยกระเบื้องคอนกรีต รอบพื้นที่ทางเดินมีพื้นหญ้าและสวนสวยเขียวขจีที่ผ่านการตกแต่งเป็นอย่างดี ความสะอาดและเขียวขจีช่างเหมาะแก่การเชื้อเชิญให้เหล่าแมลงมาเข้าครองส่งเสียงร้องในบรรยากาศร่มรื่นยามค่ำคืนแทนที่มนุษย์ซึ่งหลับไหลอยู่ในโรงนอนที่ดาวิดเพิ่งเดินมาถึง ชายหนุ่มหันหน้าไปทางโรงนอนฝั่งขวาตามด้วยหันหน้าไปทางโรงนอนฝั่งซ้ายก็ไม่พบผู้อื่นนอกจากตัวเขาเอง ในตอนนี้นอกจากการ์ดที่เข้าเวรตรวจตราตามพื้นที่โรงงานและบริเวณคฤหาสน์ก็มีดาวิดเพียงคนเดียวที่เพิ่งสแกนใบหน้าตรงหน้าทางเข้าโรงนอนก่อนจะผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย ภายในโรงนอนนั้นกว้างพอต่อการจัดวางเตียงสองชั้นและเก็บเสื้อผ้าข้าวของสำหรับคนแปดคนได้เป็นอย่างดี

ดาวิดปีนบันไดขึ้นไปยังเตียงชั้นสองฝั่งริมประตู กายอยู่ในท่านั่งฝั่งหัวนอน มือสองข้างรวบเข้าหากันพร้อมกับก้มหน้าลงเล็กน้อยตามด้วยเอ่ยคำอฐิษฐานเบา ๆ เท่าเสียงกระซิบ


“ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้เป็นเวลาที่ข้าพระองค์จะได้พักผ่อน ขอทรงอวยพระพรให้ข้าพระองค์นอนหลับอย่างสุขสบาย และในยามหลับขอให้จิตวิญญาณของข้าพระองค์ยังเติบโตและสนิทกับพระองค์ ขอบคุณที่ทรงรักข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอนอนหลับในพระทรวงของพระองค์ อธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน”


คำอธิษฐานอันแผ่วเบาออกจากไป ความสงบภายในจิตใจได้เข้ามาแทน ดาวิดล้มตัวลงนอน ตาสองข้างเริ่มปิดสนิทพลางปล่อยกายไปกับสัมผัสนุ่ม ๆ ของที่นอนอย่างสบายใจ


                          .


                          .


                          .

เวลาตีสาม

ดาวิดที่ตื่นนอนในสภาพงัวเงียกำลังเดินถือผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า พร้อมอุปกรณ์สำหรับล้างหน้าแปรงฟันไปยังห้องน้ำที่ตั้งอยู่หลังโรงนอน จังหวะนั้นประตูห้องน้ำด้านข้างถูกเปิดออก ปรากฏชายร่างสูงรูปร่างดี หน้าเกลี้ยงเกลา ไว้ผมทองอันเดอร์คัทเสยไปถึงด้านหลัง สวมเสื้อลำลองกับกางเกงขาสั้นสีเข้ม ๆ เดินสวนทางกับดาวิดอย่างพอดิบพอดี แต่ชายหนุ่มเลือกหยุดเดินแล้วหันมาทักทายดาวิดเสียก่อน


“ตื่นแล้วเหรอครับคุณดาวิด”

“อืม…” ดาวิดตอบรับด้วยอาการสะลึมสะลือ “ฉันอยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยน่ะโรเบอร์โต้ แต่ก็นะ…ตอนนี้ต้องเตรียมตัว ให้พร้อมแล้วจริง ๆ”

“ผมเข้าใจครับ ตีสี่เหมือนเดิม ช้าสุดไม่เกินตีสี่ครึ่งสินะ”

“ใช่ ๆ … งั้นฉันขอไปอาบน้ำล้างหน้าก่อนแล้วกัน”

“ได้เลยครับ แล้วเจอกันที่เดิมครับ”

“เข้าใจแล้ว”


พูดจบดาวิดกับชายหนุ่มที่ชื่อโรเบอร์โตต่างก็แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยและเตรียมตัวไปยังจุดนัดพบที่เดิม


                           .


                           .


                           .

เวลาล่วงเลยจวนจะตีสี่ ดาวิดและโรเบอร์โต้รวมทั้งการ์ดของชินด์เลอร์อีกจำนวนหนึ่งกำลังเดินตรวจตรารถบรรทุกสินค้าทั้งหมดหกคันที่จอดสตาร์ทเครื่องอยู่ที่ลานกว้างตรงกลางที่ล้อมรอบไปด้วยหอพักคนงานสองหลัง โรงนอนพ่อบ้านและการ์ดสามหลัง บ้านตึกสี่ชั้นสองหลังที่จุคนและสิ่งของได้เป็นจำนวนมาก การตรวจตราผ่านไปได้ด้วยดี การ์ดของชินด์เลอร์แต่ละคนเตรียมขึ้นรถบรรทุกคนละคัน มีเพียงรถบรรทุกคันแรกที่โรเบอร์โต้กับดาวิดนั่งไปด้วยกัน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว การ์ดที่ยืนอยู่บนลานกว้างจึงใช้อุปกรณ์ให้แสงสว่างโบกนำทางรถบรรทุกเคลื่อนที่ออกจากลานกว้างเป็นรูปขบวนแนวยาว รถบรรทุกทั้งหกคันวิ่งอ้อมบริเวณที่ตั้งคฤหาสน์ของชินด์เลอร์แล้ววิ่งผ่านเขตพื้นที่โรงงานและโกดังขนาดใหญ่ไปเรื่อย ๆ จนล่วงพ้นประตูทางเข้าออกอาณาเขตของมหาเศรษฐี

ขบวนรถบรรทุกวิ่งผ่านท่ามกลางเส้นทางอันมืดมิดล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีต้นไม้และลำธารปรากฏให้เห็นเพียงเล็กน้อย สิ่งที่ถ่ายทอยให้เห็นทัศนียภาพนี้ในความมืดมีเพียงแสงไฟและอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่ติดอยู่กับรถบรรทุกเท่านั้น แม้จะดูไม่สะดวกสบายมากนัก แต่พวกเขาก็เดินทางไปกลับหลายครั้งจนกลายเป็นความเคยชินแล้ว


“รอบนี้พาออกนอกเมืองหลวงได้ร้อยกว่าคนเลยนะ ไม่ธรรมดาเลยครับคุณดาวิด” โรเบอร์โต้ชวนดาวิดพูดคุยขณะขับรถไปพลาง

“มันก็จริง…แต่กว่าจะผ่านอะไรมาได้ก็เหนื่อยเอาเรื่องเลย” ดาวิดตอบกลับโรเบอร์โต้ด้วยน้ำเสียงที่ยังหลงเหลือความเหนื่อยล้า

“ผมเข้าใจเลยครับ น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยล้าขนาดเนี้ย ไม่ค่อยได้พักผ่อนเพียงพอสินะ”

“เหอะ ๆ ขอบคุณที่เข้าใจ” ดาวิดขำแห้งเล็กน้อย

“เบาะหลังที่นั่งคนขับมีที่นอนนะครับ ถ้ายังเพลีย ๆ อยู่ คุณนอนพักก่อนได้เลยครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยู่ช่วยดูทางดีกว่า”

“ตามนั้นก็ได้ครับ”


ดาวิดรู้อยู่แก่ใจว่ากายพร้อมล้มตัวลงนอน แต่จิตสำนึกคอยรั้งให้ตนนั่งติดเบาะข้างคนขับพร้อมกับสายตาที่มองทางข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ในใจก็คิดแต่เพียงว่าตนเองจะเดินทางถึงเมืองเบธเลเฮมในไม่ช้า แม้เขาจะเดินทางกับคนคุ้นเคยมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจชั่งใจตัวเองที่คิดถึงบ้านเกิดราวกับเด็กติดแม่ได้ด้วยซ้ำ โรเบอร์โต้เองก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่ร่วมเดินทางไปกับเขานั้นมีความรู้สึกอ่อนไหวต่อบ้านเกิดขนาดไหน แต่เบอร์โต้ก็เข้าใจดีว่าในเวลานี้ควรปล่อยให้ดาวิดอยู่กับตัวเองไปก่อนแล้วโฟกัสกับการใช้สมาธิในการขับรถต่อไป

การเดินทางยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนเวลาล่วงเลยผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง ดาวิดไม่พูดเรื่องอื่นเลยนอกจากการดูเส้นทางให้กับโรเบอร์โต้ ในตอนนี้โรเบอร์โต้เริ่มแน่ใจแล้วว่าดาวิดมีอาการเหนื่อยล้ามากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ชายหนุ่มไม่ถามอะไรเพิ่มเติมนอกเสียจากพูดบอกให้ดาวิดไปนอนที่ด้านหลังที่นั่งคนขับ


“ผมว่าคุณไม่ค่อยไหวแล้วนะคุณดาวิด รีบไปนอนพักก่อนดีกว่านะครับ”

“อืม...ตอนนี้...ฉันเห็นด้วย” ดาวิดตอบกลับด้วยความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด

“ถ้าถึงตัวเมืองเบธเลเฮมแล้ว เดี๋ยวผมปลุกคุณเองครับ”

“ขอบใจมาก...ฝากด้วยแล้วกันนะ”

“ได้เลยครับ”


                           .


                           .


                           .


                            .


                            .

ขณะที่ดาวิดนอนหลับอ้าปากหวอในท่านอนหงาย ปรากฏว่ามีมือของใครบางคนตบไปที่ไหล่ของดาวิดเบา ๆ หลายครั้ง แต่ดาวิดก็ยังหลับสนิท ตบไหล่ครั้งที่สองชายหนุ่มเริ่มงัวเงียแต่ก็ไม่ยอมตื่น ครั้งที่สามเจ้าของมือข้างนั้นจึงประทานฝ่ามือตบไปที่หน้าให้ดาวิดตื่น และมันได้ผล ดาวิดร้องโอ๊ยจนต้องตื่นขึ้นมาพลางเอามือข้างหนึ่งประกบที่หน้าด้วยความรู้สึกเจ็บ แม้ไม่ถึงขั้นเจ้บจนแสบก็ตาม แต่เจ้าตัวก็หงุดหงิดเป็นอย่างมากและเข้าใจว่าต้องเป็นโรเบอร์โต้แน่ ๆ ที่ทำแบบนี้


“เจ็บนะโรเบอร์โต้...ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!”


แต่แล้วก็มีเสียงของใครบางคนดังแทรกเข้ามา


“ขอโทษที เราทำเองแหละ”


ดาวิดมองไปทางต้นเสียงเห็นเป็นบุรุษผู้หนึ่งยืนมองเขาอยู่ใกล้ ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อได้เห็นเช่นนั้นดาวิดถึงกับสะดุ้งเฮือกจนรีบเงยหน้าขึ้นพลางประสานมือแล้วเอ่ยคำสารภาพโดยเร็วไวจากการที่ตนเอ่ยคำพูดคำจาโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ


“ขะ! ข้าแต่พระองค์ ขอโปรดอภัยในคำพูดที่ไม่สมควรของข้าพเจ้าด้วย”

“อ่ะ ตกลง” บุรุษเอ่ยคำง่าย ๆ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยและพยักหน้าเบา ๆ ราวกับว่าเขาไม่ถือสากับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“ข้าพเจ้าสำนึกในพระคุณอย่างสุดซึ้งที่ทรงละเว้นความไร้มารยาทของข้าพเจ้า”

“ไม่เป็นไร ๆ ตอนนี้เจ้าคุยกับเราด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเถอะ จะได้ไม่รู้สึกห่างเหิน”

“เอ่อ...เข้าใจแล้วครับ”


บุรุษผิวสีแทน (สีน้ำตาลมะกอก) โครงหน้าดูสมส่วน มีสันจมูกโด่งเล็กน้อย ทรงผมเปิดหน้าผาก ผมสีน้ำตาลค่อนข้างหนา ความยาวปานกลางถึงบ่าหรือต้นคอ สวมเสื้อตัวยาวสีอ่อนมีเชือกคาดเอว สวมทับด้วยเสื้อคลุมด้านนอก เท้าเปล่าไม่สวมรองเท้า นั่นคือสภาวะที่คนทั่วไปมองเห็นได้ชัดว่าเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่คนทั่วไปเห็นเป็นบุรุษ บุรุษอันมีที่มาจากการรับสภาพเป็นมนุษย์ แต่ยังคงไว้ซึ่งฤทธานุภาพ เขาพูดคุยกับจิตของดาวิดได้แม้กายจะอยู่ในท่าหลับสนิท เขาดึงจิตของดาวิดเข้าสู่แสงสว่างอันปราศจากความมืดและเสียงขับเคลื่อนของรถบรรทุก บุรุษรู้ดีว่าดาวิดนอนหลับไม่เต็มอิ่มแต่เขาจำเป็นต้องปลุกดาวิดให้ตื่นแม้ลงเอยด้วยการตบหน้าชายหนุ่มก็ตาม


“เราเข้าใจว่าเจ้าควรนอนพักผ่อน แต่เรามีเรื่องที่ต้องรีบบอกเจ้าในตอนนี้ ”

“เข้าใจแล้วครับ ขอพระองค์ช่วยบอกกล่าวด้วยเถิด”

“โรเบอร์โต้บอกกับเจ้าว่าถ้าถึงตัวเมืองเบธเลเฮมแล้วจะปลุกเจ้าสินะ”

“ใช่ครับ”

“ฟังนะดาวิด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่ยังเดินทางไม่ถึงตัวเมืองเบธเลเฮม เจ้าห้ามตื่นนอนเด็ดขาด และหากมีความจำเป็นต้องตื่นนอนก่อนถึงที่หมาย ก็จงตื่นเพราะการปลุกโดยคนที่เรียกชื่อเจ้าอย่างร้อนรนเท่านั้น”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามหรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่พระองค์ตรัสไว้เท่านั้นใช่ไหมครับ?”

“ถูกต้อง”

“แล้วถ้าผมตื่นขึ้นมาด้วยเหตุอื่นนอกเหนือจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

“ถือว่าคำเตือนของเราไม่สำคัญ ทุกคนที่เดินทางมาพร้อมกันก็จะตายกันหมด”

“เดี๋ยวก่อนนะ เรื่องแบบนี้มันจะร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”


จังหวะนั้นบุรุษยกมือข้างหนึ่งห้ามดาวิดเอาไว้ ดาวิดผละตัวออกเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ สีหน้าของบุรุษที่เรียบเฉยแต่เปี่ยมด้วยความสงบไร้ซึ่งความขุ่นมัวช่วยดึงชายหนุ่มออกจากความร้อนรนให้อารมณ์เย็นลงได้


“เราไม่จดจำความบาปของเจ้าหรอกดาวิด แต่เจ้าควรเรียนรู้ผ่านความทุกข์ยากและการทำผิดพลาด เพื่อที่เจ้าจะเชื่อฟังเรามากขึ้น”


“เป๊าะ!” เสียงดีดนิ้วดังขึ้นทันทีหลังจบถ้อยคำดังกล่าว บุรุษได้สลายหายไปพร้อมกับแสงสว่างราวกับภาพตัด

ดาวิดตื่นขึ้นมาพร้อมกับลืมตาอย่างกะทันหัน แต่หัวก็ยังสัมผัสกับหมอน เขานอนมองเพดานรถพลางนึกถึงข้อความในพระคัมภีร์ที่สอดคล้องกับถ้อยคำของบุรุษผู้นั้น จนกระทั่งเสียงในหัวดังขึ้นว่า


ก่อนที่ข้าพระองค์จะทุกข์ลำบาก ข้าพระองค์หลงเจิ่นไป แต่บัดนี้ข้าพระองค์ถือรักษาพระดำรัสของพระองค์


เมื่อได้คำตอบแล้วดาวิดจึงค่อย ๆ หลับตาลง ผ่อนคลายจิตใจให้สบาย ปล่อยกายนอนพักผ่อนต่อแล้วค่อยให้โรเบอร์โต้ปลุกเขาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถึงตัวเมืองเบธเลเฮม


                           .


                           .


                           .


                           .


                           .

เวลาเกือบ 6 โมงเช้า ณ บริเวณสะพานขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างเขตศูนย์กลางและเขตเมืองเบธเลเฮม มีแม่น้ำไหลเรื่อยตัดผ่านระหว่างแผ่นดินสองฝั่ง ถนนกว้าง 14 เมตร ทอดยาวผ่านทุ่งหญ้าโล่งเตียนทั้งสองข้างทาง ดอกไม้ใบหญ้าลู่ตามลมหนาวที่พัดมา ทว่ามีกองกำลังทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษในชุดลายพรางเสริมด้วยเสื้อเกราะ หมวกนิรภัย และอุปกรณ์ทางยุทธวิธี เดินตรวจตราบริเวณสะพานจำนวน 3 นาย เดินตรวจตราบริเวณข้างทางจำนวน 3 นาย อีก 2 นายยืนเฝ้ารถทางยุทธิวิธีที่มีไว้สำหรับขนกำลังพลและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นคนละคัน หนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วยที่ตรวจตราบริเวณสะพานอยู่นั้นได้หันมองไปยังพื้นดินริมตลิ่งซึ่งมีอะไรบางอย่างถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำ ก่อนจะหันมาถามเจ้าหน้าที่อาม็อนผู้เป็นหัวหน้าที่เดินตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ด้วยกันกับเขา


“หัวหน้าครับ จะดีเหรอครับที่ยังเก็บร่างพวกมันไว้?”

“เออสิ อย่างน้อยร่างคนพวกนี้ก็ยังใช้ต่อรองหรือขมขู่พวกมันให้ทำตามเราได้ง่าย”

“เข้าใจแล้วครับ”

“แล้วก็นะ อย่างที่ได้บอกไป มีคำสั่งให้จับเป็นแค่คนเดียวเท่านั้น นอกนั้นถ้าขัดขืนก็ยิงได้เลย”

“รับทราบครับ”


ในระหว่างที่เหล่าทหารตรวจตราพื้นที่อยู่นั้น บริเวณพื้นดินริมตลิ่งก็ได้มีหิ่งห้อยตัวหนึ่งบินส่องแสงน้อยๆ อยู่รอบๆ ร่างที่ถูกผ้าสีดำปกคลุมไว้ แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่มีหิ่งห้อยอาศัยอยู่บนโลกนี้นานแล้ว