เมื่อชะตากรรมถูกกำหนดด้วยเพศสภาพ ยศ อำนาจ และเงินตรา ความรักกลายเป็นพลังเดียวที่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจ... เรื่องราวที่ต้องต่อสู้ท่ามกลางคำดูถูก อวามอยุติธรรม และแรงแค้นที่ฝังลึก...

กานต์ญาดา - บทที่ 1 ปฐมบท โดย มงกุฎเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,อื่นๆ,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

กานต์ญาดา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,อื่นๆ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

กานต์ญาดา โดย มงกุฎเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อชะตากรรมถูกกำหนดด้วยเพศสภาพ ยศ อำนาจ และเงินตรา ความรักกลายเป็นพลังเดียวที่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจ... เรื่องราวที่ต้องต่อสู้ท่ามกลางคำดูถูก อวามอยุติธรรม และแรงแค้นที่ฝังลึก...

ผู้แต่ง

มงกุฎเพชร

เรื่องย่อ

เดือนธันวาคม พ.ศ.2544 บ้านโคกกะเทียม จังหวัดลพบุรี

เรื่องราวของ 'กานต์ ' เริ่มต้นขึ้น เธอเป็นสาวประเภทสองที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เธอเติบโตในครอบครัวร่ำรวยเพรียบพร้อมที่อบอุ่น โดยมี 'กฤตภูมิ' ผู้เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวใจแกร่งที่เข้าใจและสนับสนุนตัวตนของเธออย่างไม่มีเงื่อนไข กับ 'กันต์' พี่ชายที่รักและคอยปกป้อง แต่เมื่อความรักและมิตรภาพเริ่มก่อตัวขึ้นในกลุ่มเพื่อนสนิท ความซับซ้อนและความขัดแย้งก็ปรากฏขึ้น

ในขณะที่ 'ณัฐพล' แฟนหนุ่มของกานต์มอบความรักให้เธอ 'ก้องเกียรติ' ชายหนุ่มกำพร้าพ่อแม่ลูกพี่ลูกน้องของ 'ส้มเช้ง' หรือ สมชาย เพื่อนสาวประเภทสองพลังบวกของกานต์ ท่ามกลางความสดใสของเธอก็มีเรื่องราวแสนเจ็บปวดอึดอัดใจของพ่อจ่าทหารอากาศผู้ซึ่งไม่ยอมรับในเพศสภาพของเธอ ก้องเกียรติกลับแอบมีความรู้สึกพิเศษต่อกานต์อย่างลึกซึ้ง ทว่าเขาก็ได้แต่แอบเก็บไว้ในใจกับความรู้สึกยินดีที่มีให้กานต์ ขณะเดียวกัน 'พิมพา' เพื่อนสนิทอีกคนที่มีใจให้ณัฐพล กลับต้องทนเห็นชายที่เธอรักอยู่ในอ้อมแขนของกานต์ ความรู้สึกแสนริษยา แย่งชิง จึงถือกำเนิด

ท่ามกลางความรักและความขัดแย้งของเหล่าวัยรุ่น กานต์ยังต้องเผชิญกับความแค้นจากอดีตที่โยงใยถึงครอบครัวของเธอ โดยเฉพาะความโลภจาก 'ผลประโยชน์' 'อำนาจ' และ 'เงินทอง' เมื่อ 'นัยนา' แม่ของณัฐพล และ 'เถ้าแก่เจ๊ก' ร่วมมือกันวางแผนทำลายเสี้ยนหนามทางธุรกิจ ความสุข ในชีวิตของกฤต และอดีตความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงของระหว่าง กฤตกับนัยนา นำมาซึ่งความอาฆาตที่ยากจะยุติ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือกานต์นั่นเอง

ชีวิตของกานต์ต้องเผชิญกับความสูญเสีย ทั้งความรักที่พังทลาย เธอต้องยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคและความเจ็บปวดเพียงลำพัง ในขณะที่ 'ปกป้อง' หนุ่มน่ารักอบอุ่นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ได้เข้ามาเติมเต็มหัวใจที่แหลกสลายของกานต์ ชีวิตที่โชคชะตาไม่เข้าข้างของกานต์และทุกชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไร....

สารบัญ

กานต์ญาดา-0 คุยกับนักขียน,กานต์ญาดา-บทที่ 1 ปฐมบท

เนื้อหา

บทที่ 1 ปฐมบท

 

ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ ณ ตำบลโคกกะเทียม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี

             ลมหนาวกลางเดือนพัดผ่านท้องทุ่งนา กลิ่นดินและหญ้าหลังการรดน้ำกรุ่นฟุ้งในอากาศ บ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่หลังคามุงกระเบื้องของสองสามีภรรยา กฤตและกาญจนา ทินศรนารายณ์ เศรษฐีใหญ่ของตำบล ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่ง บริเวณใต้ต้นลำดวนใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงา แคร่ไม้ไผ่ตัวใหญ่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ เป็นที่ชุมนุมของเหล่าเพื่อน ๆ ที่มักมารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันความรู้สึกและความฝันของตน

           ‘กานต์’ หล่อนกำลังนั่งอยู่บนแคร่ มือข้างหนึ่งถือหนังสือเล่มหนา ส่วนอีกข้างหนึ่งถือไฮไลท์สีชมพู หล่อนกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างตั้งใจ 

           “อ่านหนังสือเป็นบ้าเลยนะมึง” เพื่อนสาวร่างท้วมทรวดทรงกะทัดรัด เดินมาจากห้องน้ำหลังบ้านพลางพูดขึ้น เสียงเจื้อยแจ้วนั้นเป็นของ ‘ส้มเช้ง’

          “มึงก็อ่านดิ เดี๋ยวสอบไม่ติดมาแล้วจะหาว่ากูไม่เตือน” กานต์ตอบพลางยกยิ้ม แต่สายตายังจับจ้องไปที่หนังสือตรงหน้า

           “มึงน่ะหัวดี อ่านอะไรก็ติด กูสิ อ่านแล้วไม่เข้าหัวเลย” ‘ก้อง’ ลูกพี่ลูกน้องของส้มเช้งพูดขึ้น เขานั่งอยู่บนม้านั่งใกล้ ๆ

          “พิม มึงเหม่ออะไรวะ เห็นมองกูกับณัฐอยู่นานสองนาน” กานต์ถามพลางสะกิดที่หัวเข่าเมื่อเห็นเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกายดูเหม่อลอย

            “เปล่าหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย” ‘พิมพา’ ตอบเสียงเรียบ พร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ

          “มึงอย่าหักโหมอ่านมากนะ เดี๋ยวปวดหัว มันจะกลายเป็นจำไม่ได้ อ่านไปก็ไม่เข้าใจ” กานต์พูดพร้อมส่งสายตาเป็นห่วง หล่อนได้แต่ยิ้มรับ

      ‘พิม’ คือเพื่อนสนิทอีกคนของกานต์ แม้ในวัยเยาว์ทั้งคู่จะรู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่ก็ถือว่าเป็นเด็กที่เติบโตมาในแวดวงเดียวกัน เพราะเถ้าแก่เจ๊ก พ่อหรือป๊าของพิม ทำกิจการโรงสีและร้านขายทอง เช่นเดียวกับพ่อกฤต แตกต่างกันเพียงว่า พ่อกฤตไม่ได้ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยแพงเหมือนกับเถ้าแก่เจ๊ก (เจ๊กในภาษาจีนแปลว่าหนึ่ง) ความสัมพันธ์ของพิมและกานต์เริ่มแนบแน่นยิ่งขึ้นเมื่อพวกเธอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ จากการที่ถูกจัดให้อยู่ห้องเดียวกัน พิมนั่งมองกลุ่มเพื่อนด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

         เสียงลมพัดกิ่งไม้เสียดสีกันเบา ๆ เป็นจังหวะ กานต์นั่งเปิดหนังสือบนแคร่ ณัฐแฟนหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ พยายามทำตัวให้ดูเหมือนกำลังสนใจหนังสือ แต่สายตาของเขากลับมองไปที่กานต์เสียมากกว่า

      “เธอช่วยอธิบายโจทย์ข้อนี้ให้เค้าหน่อยดิ งงมาก” ณัฐพลพูดพร้อมยื่นหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ไปตรงหน้า เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือของตัวเอง เธอรับหนังสือของแฟนหนุ่มมาแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

        “ข้อไหนเหรอ? อ๋อ...ข้อนี้ต้องจัดรูปสมการก่อนนะ ถึงจะคูณกระจายตัวเลขได้” แฟนหนุ่มพยักหน้าแต่สายตายังจ้องไปที่ใบหน้าของคนที่เขารักสุดหัวใจ 

“งั้นเธออธิบายให้เค้าอีกทีได้ไหม...แบบช้า ๆ”

แฟนสาวหัวเราะเบา ๆ “ช้าแค่ไหนถึงจะพอสำหรับคนไม่เก่งคณิตแบบเธอ?”

“ก็ช้าพอให้เค้าเข้าใจน่ะ” ณัฐพูดพร้อมยิ้มทะเล้น

“เออ...ฟังนะ” กานต์เริ่มอธิบายอย่างละเอียด ขณะที่ณัฐยังคงมองหน้าเธอด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น

        พิมพาที่นั่งอยู่ไม่ไกลเห็นภาพนั้นแล้วเริ่มรู้สึกไม่พอใจ แม้จะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก แต่สายตาที่มองณัฐพลนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง หล่อนกลืนความขมที่ปะทุในใจลงคอไป พยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ

“กูว่ามึงไม่ได้ฟังที่กานต์พูดหรอก” ส้มเช้งพูดขึ้นอย่างรู้ทัน พร้อมหัวเราะออกมา

“ฟังอยู่!” เขารีบเถียง พร้อมกับยิ้มเก้อ ๆ

“ฟังอะไรวะ มองหน้าเขายิ่งกว่ามองโจทย์อีก” 

“กูฟังจริง ๆ” ชายหนุ่มพยายามแก้ตัว แต่สีหน้ากลับดูเขินจนพิมพามองออก

“นี่ มึงช่วยตั้งใจหน่อยได้ปะ?” พิมพาพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่เคยสดใสเริ่มมีประกายของความไม่พอใจ

“พิม กูตั้งใจอยู่” ณัฐตอบพร้อมยิ้มแหย ๆ

“ตั้งใจ? ตั้งใจมองกานต์หรือโจทย์เลขกันแน่ ?” พิมเอ่ยสวนด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

        คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ กานต์ที่กำลังอธิบายโจทย์หยุดพูด เธอมองหน้าเพื่อนรักด้วยความประหลาดใจ “พิม เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า ไม่มีอะไร” หล่อนตอบเสียงเรียบ แต่สีหน้าและน้ำเสียงนั้นแสดงออกชัดเจนว่าเธอกำลังไม่พอใจ...

“ก้อง มึงมองอะไรอยู่?” เสียงกระซิบเย้าแหย่ของส้มเช้งหล่อนมองก้องด้วยสายตาล้อเลียน

“ไม่ได้มองอะไร” ก้องตอบกลับเสียงเรียบ

“กูรู้นะว่ามึงคิดอะไร” ส้มเช้งพูดยิ้ม ๆ 

        แต่เมื่อเห็นดวงหน้าที่ห่อเหี่ยวของญาติฝ่ายพ่อ หล่อนก็พลางพูดปลอบใจ “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะมึง กูเข้าใจ” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดและเศร้า

               ในขณะที่กลุ่มเพื่อนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน กฤตพ่อเลี้ยงเดี่ยวผู้มั่งคั่งเดินออกมาจากในบ้านพร้อมถาดน้ำเต้าหู้และถุงปาท่องโก๋ “กินอะไรกันก่อน เดี๋ยวสมองไม่แล่น”

                  กานต์คลี่ยิ้มกว้างพร้อมรับถาดจากมือพ่อ “ขอบคุณค่ะพ่อ”

      “แล้วพวกเอ็งล่ะ ณัฐ ส้มเช้ง ก้อง พิม กินด้วยกันสิ” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน

           กันต์เดินเข้ามาพร้อมมือที่เลอะคราบน้ำมันจากการซ่อมรถมอเตอร์ไซค์เขาถามผู้เป็นพ่อด้วยเสียงที่เหนื่อยล้า “พ่อ น้ำเต้าหู้นี่ของกันต์ด้วยหรือเปล่า?” ‘พี่กันต์’ ‘กันตภูมิ’ ชายวัย ๒๒ ปี พี่ชายแท้ ๆ ของกานต์ หนุ่มหน้าคม ผิวสีน้ำผึ้ง สูงโปร่ง เขาห่างจากกานต์ ๓ ปี เรียนจบ ปวส. ‘เมธินี’ คือแฟนสาวของเขา ลูกสาวชาวนา ชาวบ้านถนนใหญ่ ครอบครัวมีอันจะกินสามารถส่งหล่อนเรียนครูได้ ซึ่งเขาก็กำลังเก็บหอมรอมริบไว้เป็นเงินสำหรับหมั้นหมาย

                “ของทุกคนแหละ ไอ้ทิดเอ็งก็อย่ามาแย่งน้องมันล่ะ” เขาพูดเสียงเอ็นดูลูกชาย

             “พี่กันต์! ห้ามแย่งนะ” น้องสาวพูดหยอกล้อพี่ชายพร้อมดึงถาดกลับไป ผู้เป็นพี่ชายยิ้มล้อแล้วหยิบปาท่องโก๋ชิ้นหนึ่งใส่ปาก พลางทำหน้าล้อเลียนผู้เป็นน้อง

 

ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับอาหารว่างยามสาย เสียงรองเท้าแตะที่กระทบกับพื้นถนนคอนกรีดดังแกรกกรากมาหยุดที่หน้าบ้าน หญิงม่ายวัยสี่สิบกลาง ร่างท้วมใส่เสื้อผ้าชีฟองลายดอกสีฉูดฉาดกับกางเกงขายาวสีดำ ในมือหล่อนถือสะเดามากำใหญ่ ยืนเท้าสะเอวตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน “ณัฐกลับบ้าน ไปช่วยงานที่ร้านหน่อยลูก” นัยนาพูดประโยคขอร้องด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ 

      “โห่แม่ ผมพึ่งมา...”

             เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินคำปฏิเสธของลูกนั้นจากหน้ายิ้มก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหน้ายักษ์เสียงขุ่น “กลับก็คือกลับ! อย่ามาขัดคำสั่งแม่! หนังสือไปอ่านต่อที่บ้านก็ได้”

       ลูกชายตีหน้าเศร้า ก่อนจะหันมาหาแฟนสาว “กานต์... เธอช่วยบอกแม่เค้าหน่อยได้ไหมว่าเค้าขออยู่ติวอีกสักชั่วโมง” ณัฐพูดออดอ้อน นัยน์ตาเป็นประกาย

  หล่อนยิ้มพลางหัวเราะเบา ๆ ในความเอ็นดู “จะดีเหรอ? เดี๋ยวแม่เธอหาว่าเค้าชวนเธอหนีงานอีก”

 “เค้าอยากติวกับเธอนี่”

         หล่อนมองลูกชายตาเขียว หน้ายักษ์ยังคงฉายอยู่บนใบหน้าหวาน ๆ ของผู้เป็นแม่ “เอ็งจะติวอะไรนักหนา ? แม่เห็นนั่งอยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว!”

“แม่ ผมอยากตั้งใจสอบให้ได้คะแนนดี ๆ” 

เธอยื่นมือไปตบไหล่ณัฐเบา ๆ “เธอไปช่วยแม่เถอะ เดี๋ยวตอนเย็นเค้าส่งโจทย์ให้ดูในสมุดโน้ต”

ณัฐพลถอนหายใจยาว ชายหนุ่มจำนนท์ในคำบัญชาของผู้เป็นแม่ “โอเค...ก็ได้ งั้นไว้เจอกันเย็นนี้”

    “อย่าลืมนะ” ณัฐพูดพร้อมส่งสายตาหวานย้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาผู้เป็นแม่

            “กานต์ น้าเอามาฝาก” หล่อนสลัดคราบหน้ายักษ์ที่ฉายใส่ลูกชายเมื่อครู่ทิ้งไป เหลือเพียงใบหน้าที่ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา นัยนาพูดพร้อมยื่นมัดสะเดา ให้หญิงสาวที่อยู่ในคราบผมรองทรงต่ำ ว่าพลางกานต์ก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินหน้าตั้งไปหานัยนากับหน้าเปื้อนยิ้ม

         “ต้นที่หน้าบ้านน่ะ กิ่งมันรกเลยจ้างเด็กมาตัด จะทิ้งไปก็เสียดายน้าเลยแจกเขาไปทั่ว เอ็งเอาไปให้พ่อเขาหน่อยสิ” นัยนาพูดเสียงเรียบ ๆ

“ขอบคุณค่ะน้า” ว่าแล้วหล่อนก็ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมรับสะเดามัดนั้นมา

          ผู้เป็นทั้งเพื่อนรักของแม่และ อนาคตแม่ย่ามองหญิงสาว ที่อยู่ในคราบเสื้อมัดย้อมสีฟ้าตัวโคร่งกางเกงยีนส์ขาสั้น กับแว่นสายตาเลนส์หนา หล่อนมองเธอด้วยสายตาอบอุ่น “กานต์ เอ็งนี่เก่งจริงนะ เรียนก็ดี ใคร ๆ ก็รัก เห็นหน้าเอ็งแล้วน้าก็อดนึกถึงยัยนาไม่ได้” ‘ยัยนา’ ชื่อเล่นของกาญจนาที่ใคร ๆ ก็เรียก  

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะน้า” หลานตอบน้าสาวอย่างถ่อมตัว  

        “พ่อเอ็งเขาชอบสะเดามาก เอ็งเอาไปทำลวกให้พ่อกินนะ กินกับน้ำปลาหวาน กุ้งเผาไม่ก็...ปิ้งปลาดุกนามัน ๆ ได้ข้าวมื้อเย็นละนะ”

“จ๊ะน้า” หล่อนยิ้มตอบพร้อมกับเดินเข้าบ้านไปแล้วพลางตักน้ำในโอ่งมังกรชำระเศษขี้ดินขี้ฝุ่นที่เปื้อนออก

 

ลูกชายมองหน้าผู้เป็นมารดาอย่างปิติที่วันนี้แม่ดูอ่อนโยนกับแฟนสาวของเขาเนื่องด้วยมารดาของเขาเวลาจะแบ่งแกง แบ่งปันของก็จะฝากพี่ชายไม่ก็ลุงกฤตไว้อยู่เนือง ๆ แม่ไม่ค่อยจะเสวนากับคนรักของเขาสักเท่าไหร่...

          ระหว่างทางเดินกลับบ้าน สองข้างทางเป็นท้องทุ่ง มองไปไกล ๆ นั่นคือ ‘เขาพระงาม’ ผู้เป็นมารดาพูดขึ้น “ณัฐ เอ็งควรตั้งใจช่วยงานที่บ้านบ้าง หนังสือก็อ่านเอาที่บ้านก็ได้ อย่าไปขลุกอยู่แต่บ้านกานต์”

            “แม่ ผมแค่อยากอ่านหนังสือ” บุตรชายตอบเสียงอ่อน

           “อ่านน่ะมันดี แต่แม่กลัวว่าเอ็งจะลืมว่าใครเป็นใคร อย่าทำให้แม่ต้องลำบากใจ คบกับหนูพิมไม่ดีกว่ารึไง” ผู้เป็นแม่ตอบลูกชายหนักแน่น

            “ผมรักกานต์ ไม่ได้รักพิม” ลูกชายตอบเสียหนักแน่นเช่นกัน

           “เด็กจะรู้จักความรักอะไร แม่ก็อยากให้โตมามีลูก บ้านพิมกับบ้านกานต์ฐานะก็พอ ๆ กัน เลิกให้แม่อายชาวบ้านได้แล้ว” นัยนานิ่วหน้าตอบด้วยเสียงเขียวด้วยความไม่ได้ดั่งใจที่ชาวบ้านต่างหยิบลูกชายคนโทน ของเธอมานินทาสนุกปาก ณัฐมีสีหน้าห่อเหี่ยวรู้สึกอึดอัดในบทสนทนาของแม่ไม่น้อย แต่ไม่อยากเถียงเขาจึงเลือกที่จะเงียบ...

        ขณะเดียวกันพี่ชายเดินมาหาน้องสาวอย่างมีสิ่งที่อยากจะพูดในใจซึ่งแววตาเขาฟ้อง “กานต์ พี่ขอพูดอะไรหน่อย”

“อะไรพี่?” หล่อนหันมาถาม พลางดันแว่นสายตาขึ้น

“ระวังน้าแกหน่อย พี่ว่าความหวังดีของน้าอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิด”

     กันต์รับทราบดีในความสัมพันธ์ระหว่างอนาคตน้องเขยและน้องสาวของตน เขาพูดจากการสังเกตพฤติกรรมของนัยนามาแล้วในหลาย หน เธอส่องแววความไม่จริงใจที่นัยน์ตา และอดีตอันขมปนหวานระหว่างพ่อกับแม่และน้านัยนา ที่เขานั้นรู้ดีว่าหลังจากการแต่งงาน น้านัยนาก็ไม่ค่อยลงรอยกับแม่และพ่อสักเท่าไหร่ การเอาคืนนั่นคือสิ่งที่เธอคิดมาตลอด แม้ว่ากาญจนา แม่ของทั้งสองจะรักเพื่อนคนนี้มากก็ตาม

“ทำไมพี่คิดแบบนั้น?” กานต์นิ่วหน้าถามอย่างสงสัย

          “พี่แค่รู้สึกว่าน้าเขามีอะไรบางอย่างที่แปลก ๆ” กันต์พูดพร้อมถอนหายใจ “จริงอยู่ที่แม่ยกที่ดินกับเงินให้ส่วนนึง เพราะเขาก็เป็นเพื่อนกันมา น้านัยนาแกก็จน ผัวแกก็ผีพนันขี้เมาตบตีน้าแกบ่อย ๆ เพราะงี้แหละแม่ถึงสงสารยกสมบัติให้ก่อนตาย”

           ‘ผัว’ ของนัยนาหรือ ‘สังพ่อ’ (คำนำหน้าที่ใช้เรียกคนที่สิ้นไปแล้ว) ของณัฐ ชื่อ วุฒิ นักร้องคาเฟ่ และลิเกตกอับ ขี้เมา ผีพนันเรียกพ่อ ตายเพราะโดนยิงจากการติดหนี้พนันที่บ่อน นัยนากลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่หวงลูกชายเอาเรื่อง ชีวิตดีขึ้นจากสมบัติเพื่อนรักอย่าง กาญจนา แม่ของกานต์ เพื่อนรักกันสมัยเรียนที่เห็นใจเพื่อนรักนัยนา ก่อนแม่ตายได้จารึกในพินัยกรรมว่า ให้ยกห้องแถวในตลาดโคกกะเทียม ๑ ห้อง และเงินทุนจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ กับ ทอง ๔ บาท ให้นัยนาและลูกเพื่อเป็นทุนในการเลี้ยงลูกและต่อชีวิตเธอด้วย พอได้ห้องแถวไม้สองชั้นในตลาดโคกกะเทียม เปิดร้านขายของชำซึ่งใช้เป็นบ้านและร้านค้าในที่เดียวกัน ด้วยความที่หล่อนเป็นสาวสวยผิวขาวรูปร่างกะทัดรัดเป็นหม้ายตั้งแต่อายุไม่พ้นเลขสามก็มีนายสถานีรถไฟมาจีบเธอ แต่หล่อนที่เข็ดขยาดจากรักครั้งก่อนที่พึ่งหลุดพ้นเพราะความตายมาพราก ก็สถาปนาตัวเองเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หวังรวยด้วยตัวเองเพราะไม่อยากกลับไปโดนชายหนุ่มทำร้ายแทบจนตรอกจำต้องหาผักบุ้งมาจิ้มน้ำปลากินหรือขอข้าววัดมาประทังชีวิตตนและลูกเหมือนก่อน

“หนูรู้พี่ นี่ก็อนาคตแม่ผัวหนูนะ”

           “เอ็งก็ดูไปละกันนะ มีอะไรก็บอกพี่บอกพ่อ” กานต์พยักหน้าตอบ ก่อนที่จะเดินกลับไปอ่านหนังสือต่อ...

        เจ้าหล่อนเดินกลับมานั่งทรุดตัวลงที่เก่าแสร้งอย่างเมื่อยล้าทั้งกายใจ หล่อนสลัดทิ้งทุกอย่างเพื่อเริ่มอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ แต่จิตใจที่หล่อนเก็บไว้ลึก ๆ กลับไม่สงบ มีความกังวลบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ในใจ เธอคิดถึงคำพูดของพี่ชายเกี่ยวกับน้านัยนา ความรักครั้งแรกมันทำให้หล่อนรักเขามาก และก็เชื่อมั่นในความรักของเขาที่มีให้ แต่คำพูดของพี่ชายกลับทำให้เธอเริ่มสงสัยและไม่แน่ใจว่าอนาคตของเธอกับณัฐจะเป็นอย่างไร…

 

บ่ายวันนั้น...

กานต์กำลังนั่งอยู่ข้างโอ่งน้ำใบใหญ่ หล่อนละจากหนังสือแบบฝึกกำลังง่วนกับการตัดเงี่ยงปลาดุก พลางเอาเกลือเม็ดขัดเมือกออกจากตัวปลาเพื่อเตรียมปิ้ง รับประทานกับสะเดาน้ำปลาหวาน ซึ่งพี่ชายของเธอและคนงานในบ้านนั้นวิดสระและดักปลาจากคลองซอยชลประทานที่ตัดเข้ามาในหมู่บ้านใน จึงได้ปลามาหลากหลายชนิด แบ่งแจกจ่ายกันไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาดุก หรือแม้กระทั่งปูนา เขาเอามาให้น้องสาวเขาไว้ทำทั้ง ปลาปิ้งกินกับน้ำพริก แกง ต้ม ต่าง ๆ หรือ ปลาเกลือตากแดด รับประทานกัน

             ส้มเช้งเดินเข้ามาพร้อมกับถุงขนมและน้ำอัดลมซาสี่ใส่ถุงของโปรดเธอ “กานต์ นี่ กูเอาขนมมาให้ พักมาทำอย่างอื่นบ้างก็ดีละ อ่านทั้งวันแล้วนะมึง”

            หล่อนเงยหน้าขึ้นตอบเสียงใจกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอบใจนะส้ม มึงนี่น่ารักตลอดเลย...แต่มือกูเลอะวางไว้ก่อน”

          ส้มเช้งนั่งยองลงข้างกายเพื่อนรัก ดูดน้ำเขียวในถุงไปพลาง “เออ ๆ เห็นมึงเครียดก็อดห่วงไม่ได้ ช่วงนี้อ่านหนังสือเตรียมสอบก็จริง แต่ก็ต้องพักบ้าง เดี๋ยวก็ตายห่าก่อนพอดี”

          กานต์พยักหน้า “เออ รู้แล้ว ๆ แค่กูอยากให้มันเต็มที่ อยากสอบติดให้ได้มันเป็นคณะที่กูอยากเข้าด้วย มึงก็เหมือนกัน ทั้งซ้อมวาดรูป ทั้งออกแบบ ตัดชุดจนเสื้อผ้าเต็มตู้กูกับพิมละ อาแดงรู้แกเอามึงตายคาตีนแน่”

          “กูก็ซ้อมมือมั้ยล่ะ ละอีกอย่างพ่อกูไม่มีทางรู้จ้า เพราะกูใช้จักรแม่มึงทำ” เธอพูดพลางหัวเราะชอบใจ สายตาของส้มเริ่มจ้องที่เพื่อนสาวซึ่งเจ้าหล่อนกำลังนั่งง่วนกับการบั้งเนื้อปลาดุก

        “หนิอย่าเปลี่ยนเรื่อง...กูรู้ว่ามึงเก่ง แต่มึงก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะเว้ย อย่าให้มันเครียดเกินไป จิตใจมึงก็สำคัญ อะไรบางอย่าเผื่อใจบ้างก็ดีมันอาจจะไม่เป็นดั่งใจมึงทุกอย่างหรอก...”

        กานต์ยิ้มบาง ๆ ก่อนที่จะละจากอีโต้หันมามองเพื่อนสาว “ส้ม มึงว่าความรักมันยากไหมวะ?” หล่อนถามอย่างคลางแคลงใจ

        ส้มเช้งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ ๆ “พูดยากว่ะเพราะกูก็ไม่เคยมีนะ แต่ดูจากพ่อกับแม่ กูว่ามันไม่ยากหรอก แต่มันขึ้นอยู่กับคนสองคนว่าจะทำให้มันง่ายหรือยาก กูเห็นมึงกับณัฐ กูรู้ว่าพวกมึงรักกัน แต่บางทีปัจจัยรอบข้างมันก็ทำให้ทุกอย่างซับซ้อนขึ้น”

         กานต์ถอนหายใจ พลางวักน้ำจากโอ่งขึ้นมาล้างปลาและมือของเธอ ก่อนจะเล่าเรื่องที่พี่ชายเธอพูดไว้ว่า “พี่กันต์บอกให้กูระวังน้านัยนา กูไม่รู้ว่าทำไม แต่กูก็รู้สึกกลัวว่าอนาคตมันจะไม่เป็นอย่างที่กูหวังไว้”

         ส้มเช้งยื่นมือมากุมมือเพื่อนรัก ซึ่งหล่อนรักดุจพี่สาว มือที่ยังล้างไม่เอี่ยม ยังคงคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวปลาอย่างไม่รังเกียจ “มึงไม่ต้องคิดมาก กูเชื่อว่ามึงกับณัฐจะผ่านไปได้ ทุกอย่างมันมีทางออกเสมอ”

กานต์ยิ้มและพยักหน้า “ขอบใจนะส้ม มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย”

ส้มเช้งหัวเราะเบา ๆ “เออ ๆ รู้แล้ว กูไปล่ะ เอาขนมมาให้มึงแค่นี้แหละ เดี๋ยวต้องไปช่วยแม่ทำกับข้าว”