เพลินยืนอยู่หลังม่านเวทีในชุดเดรสสีกรมลึกเข้ารูป มือเธอกำแน่นเมื่อได้ยินเสียงพิธีกรประกาศชื่อคอลเลกชันใหม่— “Sapphire Whisper : เสียงกระซิบแห่งไพลิน”
ดราม่า,รัก,ผจญภัย,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อาถรรพ์ศิขรไพลินแห่งรักเพลินยืนอยู่หลังม่านเวทีในชุดเดรสสีกรมลึกเข้ารูป มือเธอกำแน่นเมื่อได้ยินเสียงพิธีกรประกาศชื่อคอลเลกชันใหม่— “Sapphire Whisper : เสียงกระซิบแห่งไพลิน”
แสงไฟสาดสว่างเจิดจ้าเหนือรันเวย์ เสียงปรบมือดังก้องกังวานทั่วห้องโถงใหญ่ของโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร งานแฟชั่นโชว์ระดับนานาชาติที่ผู้คนทั้งวงการแฟชั่นจับตามองมากที่สุดในรอบปี กำลังดำเนินมาถึงช่วงไคลแมกซ์
เบื้องหลังความตระการตาในค่ำคืนนี้ คือหญิงสาวผู้เป็นดีไซเนอร์หลัก—ไพลินนภา ศิริเวช หรือที่ทุกคนในวงการเรียกสั้น ๆ ว่า “เพลิน” ดีไซเนอร์สาวผู้มากด้วยความกล้าและจินตนาการ เธอนำวัสดุที่คนมองข้ามมาร้อยเรียงเป็นงานศิลป์ และครั้งนี้เธอเลือก พลอย เป็นหัวใจของคอลเลกชัน
“Ladies and gentlemen… ขอเชิญพบกับคอลเลกชันใหม่ Sapphire Whisper : เสียงกระซิบแห่งไพลิน!”
เสียงพิธีกรก้องสะท้อน เหล่านางแบบก้าวออกมาในชุดราตรีหรู เครื่องประดับพลอยสีน้ำเงินเข้มเจียระไนวิบวับภายใต้แสงไฟ
แต่สิ่งที่ดึงสายตาผู้ชมมากที่สุด คือ สร้อยจี้ไพลินเม็ดเดี่ยว สีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ หากเพ่งลึกลงไปจะเห็นประกายสีฟ้าอ่อนเรืองไหวอยู่ภายในราวกับมีแสงชีวิต —นั่นคือ ศิขรไพลิน พลอยหายากที่เพลินได้มาจากครอบครัวรุ่นสู่รุ่นและตัดสินใจนำมาเป็นจุดศูนย์กลางของโชว์
เสียงฮือฮาดังระงมขึ้น
“มันสวยเกินจริง… เหมือนมีแสงอยู่ข้างในเลย”
“ไม่ใช่พลอยธรรมดาแน่…”
เพลินยืนกำมือแน่นหลังเวที หัวใจเต้นแรงเมื่อเสียงชมดังก้อง แต่ยังไม่ทันผ่อนลมหายใจ—แสงไฟบนเวทีกลับกระพริบวูบ เสียงไฟฟ้ารบกวนดังขึ้น นางแบบที่สวมจี้หยุดกะทันหัน ดวงตาเบิกกว้างราวกับได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่มีใครได้ยิน ทีมงานรีบวิ่งวุ่นแก้ปัญหา แต่ความรู้สึกประหลาดยังไม่จางหาย เพลินขนลุกไปทั้งแขน—หรือว่า…นี่คือ คำเตือน ของอัญมณีเม็ดนั้น?
หลังงานเลิก เธอกลับไปพักในห้องแต่งตัว ยกกล่องกำมะหยี่สีดำขึ้นมากอดแนบอก ภายในคือสร้อยไพลินที่เพิ่งสร้างเสียงฮือฮา เธอสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวแผ่วเบาเหมือนคลื่นลึกลับที่ไม่ยอมหยุด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น—เบอร์บ้านที่เธอคุ้นเคย
“เพลินลูก! งานเป็นยังไงบ้าง แม่เปิดทีวีไม่ทันเลย”
เสียงของ อรทัย มารดาดังสดใส ตามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นของ อนันต์ ผู้เป็นพ่อ
“พ่อเห็นรูปแล้วนะ คนชมกันใหญ่ ลูกพ่อเก่งจริง ๆ”
รอยยิ้มของเพลินผุดขึ้นท่ามกลางความกังวล “ขอบคุณค่ะพ่อ ขอบคุณค่ะแม่”
ทันใดนั้นเสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวก็ดังแทรกมา
“พี่เพลิน! หนูดูในไลฟ์สดนะ พลอยเม็ดนั้น… มันเหมือนจ้องเราเลยอะพี่ น่ากลัวนิด ๆ แต่ก็สวยมาก”
เด็กสาวคือ ภัทร์นภา น้องคนเล็กที่มักพูดตรงเสมอ
เพลินกำลังจะตอบ แต่เสียงชรานุ่มลึกก็ดังตามมา—เสียงของ ยายบุญเรือง
“เพลินเอ๊ย… พลอยที่มีแสงในตัวมันไม่ใช่ของเล่น ยายเคยได้ยินตำนานว่ามันทั้งปกป้องและทำลาย คนใจบริสุทธิ์จะได้รับพร แต่ถ้าใครคิดร้าย… มันจะกลืนกิน”
หัวใจเพลินสั่นสะท้าน เธอเม้มปากแน่น หวั่นเกรงในสิ่งที่ไม่อาจมองเห็น
–––
ณ เหมืองแร่อัญมณีล้ำค่าในดินแดนอีกฟากหนึ่งของโลก
เสียงเครื่องจักรกลดังสะท้อนทั่วหุบเขา ชายหนุ่มร่างสูงยืนกอดอกบนแท่นหิน เขาคือ ฌามส์ สมิธ ลูกครึ่งอังกฤษ–ไทย ผู้สืบทอดธุรกิจเหมืองพลอยเก่าแก่จากฝั่งมารดา และขยายกิจการจนกลายเป็นนักธุรกิจอัญมณีชื่อดังระดับนานาชาติ
ในมือของเขา—คือ ศิขรไพลินอีกเม็ดหนึ่ง พลอยสีน้ำเงินเข้มที่มีประกายวูบไหวภายในราวกับเปลวไฟสีน้ำเงิน ฌามส์เคยสัมผัสถึงอำนาจลี้ลับบางอย่างจากมัน แต่แม้เวลาจะผ่านไป เขาก็ยังไม่เข้าใจความจริงทั้งหมด
จนกระทั่ง… ลูกน้องส่งรายงานพร้อมรูปถ่ายจากงานแฟชั่นโชว์ในกรุงเทพฯ
“นายครับ… พลอยเม็ดที่ปรากฏบนรันเวย์ ดูเหมือนกับของนานทุกประการ”
สายตาคมเข้มเพ่งมองรูปถ่าย—สร้อยจี้ไพลินเม็ดนั้นเรืองประกายอยู่บนคอของนางแบบ และชื่อของผู้ออกแบบถูกระบุไว้ชัดเจน—ไพลินนภา ศิริเวช
ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มแผ่ว เขาเอ่ยเสียงทุ้มหนักแน่น
“ในที่สุด… พลอยอีกเม็ดก็ปรากฏตัว”
มือใหญ่กำพลอยแน่น ความคิดวิ่งพล่าน—เขารู้ว่าพลังของศิขรไพลินไม่ใช่เรื่องเล่าลม ๆ แล้ง ๆ และหญิงสาวคนนั้นอาจเป็นกุญแจไขความจริงทั้งหมด
“ติดต่อเธอให้ได้” ฌามส์สั่งการเสียงเรียบ “ในนามธุรกิจ…”
แต่แววตาคมกริบกลับซ่อนประกายลึกที่บอกชัดว่า—การเจรจาครั้งนี้จะไม่ใช่เพียงเรื่องธุรกิจอีกต่อไป
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแทรกกลางค่ำคืน ขณะที่เพลินกำลังเก็บของในห้องแต่งตัวหลังเวที ตัวเลขบนหน้าจอคือเบอร์ที่เธอไม่รู้จัก เลขรหัสประเทศแปลกตา—ไม่ใช่ของไทย
เธอลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนกดรับ
“สวัสดีค่ะ… ไพลินนภา ศิริเวชพูดสายค่ะ”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ห้าวลึก มีสำเนียงอังกฤษปนไทยฟังแล้วชัดเจนทรงอำนาจ
“คุณไพลินนภา… ผมคือ ฌามส์ สมิธ”
เพลินชะงักไป รู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากข่าวธุรกิจอัญมณีระดับโลก—นักลงทุนลูกครึ่งอังกฤษ–ไทย ผู้มีอิทธิพลในวงการเหมืองพลอย แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะติดต่อมาเองโดยตรง
“ดิฉัน เอ่อ… มีธุระอะไรหรือคะ?” เสียงเธอแผ่วลงอย่างระวัง
“ผมเห็นงานแฟชั่นโชว์ของคุณคืนนี้ พลอยเม็ดที่คุณนำเสนอ… มันสะดุดตาผมมาก”
เสียงเขาลดต่ำลง คล้ายกำลังทดสอบอะไรบางอย่าง “ผมอยากเจรจาธุรกิจด้วยโดยเร็วที่สุด”
หัวใจเพลินเต้นแรง—เขาหมายถึง ศิขรไพลิน ใช่หรือไม่?
“ธุรกิจ… เกี่ยวกับอัญมณีงั้นหรือคะ?”
“ใช่” ฌามส์ตอบทันควัน “ผมเชื่อว่าพลอยเม็ดนั้นไม่ธรรมดา และผมมีข้อมูลบางอย่างที่คุณควรรู้… ถ้าคุณอยากให้แบรนด์ของคุณก้าวไกลยิ่งกว่านี้”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับกำลังถือไพ่เหนือกว่า แต่ในขณะเดียวกัน เพลินก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดประหลาดที่ยากจะปฏิเสธ
เธอสูดลมหายใจ “แล้วคุณต้องการนัดพบเมื่อไรคะ”
“สัปดาห์หน้า โรงแรมริเวอร์แกรนด์ ห้องประชุมส่วนตัว ชั้น 20” เขาเอ่ยชัดถ้อยคำ “ผมไม่ชอบเสียเวลา”
เพลินกำมือแน่น หัวใจปั่นป่วน ทั้งหวาดระแวงและอยากรู้ความจริง
“…ตกลงค่ะ ดิฉันจะไป”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังลอดปลายสายมา “ดีมาก ไพลินนภา… คุณจะไม่เสียใจที่ตัดสินใจมาพบผม”
ติ๊ด—สายตัดไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบ และเสียงหัวใจของเพลินที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
เธอหันไปมองกล่องกำมะหยี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ ในกล่องนั้น พลอยสีน้ำเงินเข้มยังคงเรืองแสงเบาบางราวกับรู้ว่า… วันพรุ่งนี้ จะเป็นวันเริ่มต้นของบางสิ่งที่ไม่มีวันหวนกลับ
คืนนั้น หลังจากวางสายกับฌามส์ เพลินนั่งรถกลับบ้านในย่านเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บ้านไม้สองชั้นที่อบอวลด้วยกลิ่นไม้เก่าและเสียงจิ้งหรีดร้อง เธอคิดว่าควรจะเก็บความลับเรื่องนี้ไว้ แต่สายตาของคุณยายบุญเรือง ผู้หญิงชราที่เธอรักและเคารพที่สุด กลับจับสังเกตความผิดปกติได้เสมอ
“เพลิน… หน้าตาลูกซีดเชียว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เสียงแหบพร่าของยายแผ่วเบา แต่แฝงด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าโกหก
เพลินวางกระเป๋าลงก่อนทิ้งตัวนั่งข้างยาย “หนู… ได้รับการติดต่อจากนักธุรกิจคนหนึ่งค่ะ เขาบอกว่าอยากเจรจาเรื่องพลอยเม็ดนั้น”
เมื่อเอ่ยคำว่า พลอยเม็ดนั้น แววตาของยายบุญเรืองก็ดูเปลี่ยนไปทันที มันสั่นไหว เหมือนเธอรับรู้บางสิ่งที่ไม่ควรถูกเปิดเผย พลอยเม็ดเดียวที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พลอยที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย
“ศิขรไพลิน…” ยายพึมพำเรียกชื่อออกมาเบา ๆ “พลอยเม็ดนั้น… มันไม่ใช่เพชรนิลจินดาธรรมดาเลยนะเพลิน”
เพลินขมวดคิ้ว “ยายหมายความว่ายังไงคะ”
ยายบุญเรืองถอนหายใจยาว เสียงพร่าของเธอเต็มไปด้วยความเศร้า “คนที่คิดร้ายกับเจ้าของพลอย… มักไม่ตายดี แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าใครครอบครองด้วยใจบริสุทธิ์ มันก็จะเป็นพร นำทางให้เขาพบสิ่งที่เขาควรพบ”
เพลินเงียบไป หัวใจหนักอึ้งเหมือนถูกทับด้วยหินก้อนใหญ่
“ยายอยากให้ลูกระวังตัว” มือที่เหี่ยวย่นกุมมือเธอไว้แน่น “ชายที่ติดต่อมานั้น… เขาเองก็คงมีพลอยในครอบครองเช่นกัน มิฉะนั้นเขาจะไม่รู้เรื่องนี้”
เพลินชะงักทันที—คำพูดของยายเหมือนตอกย้ำความจริงที่ฌามส์ยังไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ
“แล้ว… หนูควรทำยังไงดีคะ” น้ำเสียงเธอแผ่วเหมือนเด็กที่กำลังขอคำปลอบ
ยายบุญเรืองมองลึกเข้าไปในดวงตาเธอ ราวกับมองผ่านทะลุเวลาไปถึงชะตากรรมที่รออยู่เบื้องหน้า
“ไปเถอะเพลิน… ไปเจอเขา แต่จงจำไว้—อย่าเพิ่งตัดสินใจเชื่อใจใครง่าย ๆ พลอยนั้นจะพาลูกไปเจอเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ลูกต้องใช้หัวใจและสติของลูกเลือกเอง”
เพลินซบหน้าลงกับตักยาย กอดแน่นเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่เธอต้องการมากที่สุด ก่อนจะลุกขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่น เธอรู้แล้วว่าในไม่ช้านี้ ไม่ใช่แค่การประชุมธุรกิจธรรมดา แต่เป็นก้าวแรกของโชคชะตาที่ผูกพันกับ ศิขรไพลิน และผู้ชายลึกลับนามว่า ฌามส์
สัปดาห์ถัดมา ท้องฟ้ากรุงเทพฯ สว่างใส แต่หัวใจของ ไพลินนภา กลับหนักอึ้งเหมือนแบกหินก้อนใหญ่ เธอสวมชุดสูทสีงาช้างเข้ารูปที่สะท้อนบุคลิกของนักธุรกิจสาวรุ่นใหม่ในวงการแฟชั่น แต่ดวงตากลับเผยความกังวลซ่อนเร้นที่เธอพยายามปกปิดเอาไว้
สถานที่นัดหมายคือโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา—ห้องประชุมส่วนตัวที่ไม่ให้ใครเข้ารบกวน เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนก้องสะท้อน เธอก้าวไปทีละก้าวเหมือนกำลังเดินเข้าสู่โลกอีกใบ
เมื่อประตูเปิดออก เธอได้พบกับเขา—ฌามส์ สมิธ
ชายหนุ่มร่างสูงสง่า สูทสีกรมท่าตัดเย็บอย่างประณีตรับกับหุ่นนักกีฬา ใบหน้าคมคายสืบสายเลือดจากทั้งอังกฤษและไทย ดวงตาสีเทาเข้มลึกเหมือนพายุในท้องฟ้า แค่แรกสบตา ไพลินนภา ก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ
“คุณไพลินนภาใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มต่ำเรียบหรูเปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“ค่ะ… ดิฉันเอง” เธอพยายามรักษาสีหน้าให้มั่นคง แต่ในใจกลับสั่นไหวอย่างประหลาด
ฌามส์เชื้อเชิญให้นั่ง เขายื่นมือมาทักทาย มือใหญ่ อุ่น และมั่นคงสัมผัสกับมือเธอเพียงเสี้ยววินาที แต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
บนโต๊ะกระจกวางกล่องกำมะหยี่สีดำสนิทอยู่สองกล่อง เขาผายมือเบา ๆ ก่อนเปิดออก—ในนั้นคือ ศิขรไพลิน หนึ่งเม็ดที่ส่องประกายแสงเย็นเฉียบ ราวกับกำลังพูดคุยกันเองในมิติที่ไร้เสียง แต่ข้างกันเป็นที่ว่างเปล่าราวกับรอพลอยศิขรไพลินอีกเม็ดอยู่ก่อนแล้ว
ไพลินนภา เผลอกลืนน้ำลาย รู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนในอกทันทีที่ดวงตาเธอประสานเข้ากับแสงจากพลอยเม็ดนั้น ที่ว่างอีกที่ในกล่องคงกำลังรอพลอยอีกเม็ดที่ตระกูลของเธอครอบครองและส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น
“ผมคิดว่า… คุณเองก็คงสัมผัสได้เหมือนกัน” ฌามส์เอ่ยเสียงนิ่ง แต่แฝงความจริงจังที่ทำให้เธอขนลุก
“คุณรู้… เรื่องอาถรรพ์?” น้ำเสียงเธอเบาลงแทบเป็นกระซิบ
เขาสบตาเธอแน่วแน่ “ผมไม่รู้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ผมรู้คือ พลอยนี้ไม่ใช่แค่เครื่องประดับ… มันคือคำสาป หรือไม่ก็พร จากใครบางคนที่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง และผมเชื่อว่าครอบครัวคุณอาจมีคำตอบ”
หัวใจ ไพลินนภา หวิวทันที—เหมือนคำเตือนของยายบุญเรืองเมื่อคืนกำลังเป็นจริง
ทั้งคู่เงียบไปชั่วขณะ เหมือนปล่อยให้พลอยสองเม็ดพูดแทน เสียงหัวใจเต้นดังในอกเธอประสานกับสายตาคมกริบของเขา
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า ชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
“และถ้าคุณต้องการ ที่เหมืองของผมคงมีอัญมณีมีค่าอีกหลายอย่างที่เป็นที่ต้องการของดีไซเนอร์อย่างคุณ คุณคิดว่ายังไงถ้าระหว่างการคันพบความจริงนี้ ผมอยากร่วมธุรกิจกับคุณจริง ๆ ด้วย” ฌามส์ทิ้งท้ายบทสนทนาไว้อย่างนักลงทุนระดับโลกก่อนที่จะแยกย้ายฌามส์ได้เชิญหญิงสาวที่เป็นว่าที่ผู้ร่วมธุรกิจอยู่ร่วมงานเลี้ยงพอเป็นพิธีแล้วจึงแยกย้าย