ความทรงจำหวานปนขมในฤดูฝนหนึ่งของการเรียนมัธยมปลายของเด็กหนุ่ม กับความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขามีให้เจ้าของร้านโมเดล

ต้นโมเดล #Mondayshortstory #เรื่องมันสั้นเพราะวันจันทร์สีเหลือง - 1 ต้นโมเดล โดย ราชาวาฬ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,รั้วโรงเรียน,ไทย,เรื่องสั้น,yaoi ,โรงเรียน,โรงเรียนไทย,นักเรียน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ต้นโมเดล #Mondayshortstory #เรื่องมันสั้นเพราะวันจันทร์สีเหลือง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,รั้วโรงเรียน,ไทย,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

yaoi ,โรงเรียน,โรงเรียนไทย,นักเรียน

รายละเอียด

ต้นโมเดล #Mondayshortstory #เรื่องมันสั้นเพราะวันจันทร์สีเหลือง โดย ราชาวาฬ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความทรงจำหวานปนขมในฤดูฝนหนึ่งของการเรียนมัธยมปลายของเด็กหนุ่ม กับความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขามีให้เจ้าของร้านโมเดล

ผู้แต่ง

ราชาวาฬ

เรื่องย่อ

ความทรงจำหวานปนขมในฤดูฝนหนึ่งของการเรียนมัธยมปลายของเด็กหนุ่ม กับความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขามีให้เจ้าของร้านโมเดล

สารบัญ

ต้นโมเดล #Mondayshortstory #เรื่องมันสั้นเพราะวันจันทร์สีเหลือง-1 ต้นโมเดล

เนื้อหา

1 ต้นโมเดล

 

 หลายสิบปีก่อน ผมยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในราชบุรี ตอนนั้นผมไม่ค่อยแข็งแรง ตัวเล็ก เรียนหนังสือก็ไม่ค่อยเก่ง ถูกบุลลี่ เรียกได้ว่าครบสูตรตัวละครขี้แพ้เลยก็ว่าได้ เพื่อนบางคนก็ดีอยู่หรอก แต่หลายๆ ครั้ง พวกมากลากไป ไม่มีใครเข้าข้างผมได้ตลอด

 ถึงอย่างนั้นชีวิตวัยเรียนของผมก็ไม่ได้มีแต่ความทุกข์ เพียงแต่ความสุขมันเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ชั่วโมงเรียนในแต่ละวันสิ้นสุดลงก็เท่านั้น

 สมัยนั้นในตัวเมืองราชบุรีมีห้างท้องถิ่น ถือว่าทันสมัยที่สุดของจังหวัด มีทั้งโรงหนังซีนีเพล็กซ์และร้านค้าแปลกใหม่มากมาย เหล่าวัยรุ่นก็ชอบมารวมตัวกันที่นี่ ผมเองถึงจะไม่ได้มารวมตัวกับใคร แต่ก็ยอมเดินมาจากโรงเรียนวันละกิโลเมตรกว่า ไม่สิ อาจจะสองกิโลก็ได้เพื่อมาที่ห้างนี้

 เนิร์ดอย่างผมมาดูอะไร เสื้อผ้าเหรอ หรือว่ามาดูหนัง โอเคผมยอมรับว่ามาดูหนังเป็นบางครั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เป้าหมายหลักจริงๆ คือร้านของเล่นเล็กๆ คูหาเดียวที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินของห้าง มันเป็นหลืบเล็กๆ ไม่ห่างจากโซนซูเปอร์มาร์เก็ตกับฟู้ดคอร์ทเท่าไหร่ ที่นั่นมีสองพี่น้องเจ้าของร้านคอยรอรับผมอยู่ พวกเขาขายกันพลา โมเดลพลาสติก และสี ชื่อร้านว่า “ต้นโมเดล” มาจากชื่อเจ้าของร้านคนพี่ ส่วนคนน้องชื่อเต้ย

 คุณคงคิดว่ามันไม่ใช่ของแปลกอะไรใช่ไหม แต่สำหรับเด็กราชบุรีเมื่อหลายสิบปีก่อน กันพลามีขายแค่ที่กรุงเทพ ต่างจังหวัดจะสัมผัสมันได้ก็แค่ในนิตยสาร ยิ่งสีทาโมเดลยิ่งหาซื้อไม่ได้เลย นิตยสารโมเดลสมัยก่อนต้องแนะนำให้คนไปซื้อสีสเปรย์ตามร้านอุปกรณ์ก่อสร้าง คุณคิดดูคนที่จะทำโมเดลพวกนี้ก็มีแต่เด็กวัยรุ่น ต้องมาดมกลิ่นสีกับทินเนอร์ เนิร์ดไม่สูบบุหรี่แต่ก็อาจจะเป็นมะเร็งปอดจากสีพวกนี้ก็ได้นะ

 ช่างเถอะ แต่ร้านนั้นก็คือจุดหมายปลายทางของผมในตอนนั้น ไม่ว่าจะได้คะแนนสอบย่อยเท่าโนบิตะ หรือมีใครเขียนข้อความประหลาดลงในสมุด ความกังวลพวกนั้นหายไปทันทีเมื่อได้มาที่ร้านนี้

 …เพราะนอกจากโมเดลที่สวยงามและอุปกรณ์ที่ครบครันแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ดึงดูดให้ผมมาก็คือพี่ต้น

 ผมไม่เคยรู้สึกประหลาดแบบนั้นมาก่อน น้ำเสียงที่รื่นหูของเขาดังละมุนอยู่ในหูและความทรงจำของผมเสมอมา ความรู้เกี่ยวกับโมเดลที่ออกจากปากเขา แม้มันจะผิดบ้างถูกบ้าง ที่ผมรู้ก็เพราะผมอ่านนิตยสาร และบางทีผมทำตามคำแนะนำของเขาแต่ผลที่ได้มันออกมาแย่มาก กระนั้นผมก็จำมันได้หมดทุกคำพูด หากเป็นหนังสือก็ทุกตัวอักษร ท่าทางของเขาที่บอกเล่า รอยยิ้มนั่น ไม่มีครูคนใด หรือว่าเพื่อนคนไหนที่จะทำให้ผมจดจำได้มากถึงขนาดนี้

 พี่ต้นเป็นลูกจีน ผิวขาวละเอียด ตัวไม่สูงนัก รูปร่างสันทัด และดูเหมือนจะมีกล้ามนิดๆ แตกต่างจากเนิร์ดทั่วไปที่ถ้าไม่อ้วนก็ผอมแห้งไปเลย บางทีผมมาที่ร้าน ได้พบกับพี่เต้ย นั่นเป็นวันที่การมาร้านโมเดลไม่สนุกเท่าที่ควร… ก็ยังสนุกอยู่นั่นแหละ เพียงแต่มันเหมือนกับเวลาที่ไปร้านโมเดลที่กรุงเทพ ไม่เหมือนกับตอนที่เขาเฝ้าร้าน อาจจะเพราะพี่เต้ยเป็นคนเงียบๆ ไม่ช่างคุยเหมือนพี่ของเขา บางทีผมก็ได้เจอแม่ของเขา คุณแม่บอกว่าให้ผมช่วยมาอุดหนุนบ่อยๆ เพราะเป็นร้านในฝันที่ลูกชายอยากทำ และในต่างจังหวัดอย่างนี้ก็ไม่ค่อยมีคนเล่นโมเดลสักเท่าไร ผมรับปาก แล้วก็พยายามอุดหนุนร้านเท่าที่ทำได้ หรือบางทีไม่ได้ซื้อของก็พยายามมาที่ร้านเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศ แต่แน่ล่ะ เด็กมัธยมปลายจะไปสนับสนุนร้านโมเดลจนอยู่ได้ได้อย่างไร ค่าเช่าร้านในห้างที่ทันสมัยที่สุดในเมือง ถึงจะเป็นยุคนั้นก็คงไม่ถูกนัก

 

 “เนี่ยเดี๋ยวเค้าจะออกตัวมาสเตอร์เกรดมา แยกสีมาดีมากแทบไม่ต้องทำสีเลย” พี่ต้นเล่าให้ผมฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปลายนิ้วชี้เรียวยาวชี้ชวนให้ผมดูรูปหุ่นกันดั้มในนิตยสาร

“แพงอะดิพี่” สวยมันก็สวยอยู่หรอก แต่สงสัยตัวเป็นพัน ค่าขนมน่าจะไม่พอซื้อ

“จะจองไหมล่ะ ถ้าของมาเดี๋ยวพี่ให้ผ่อน ลูกค้าคนอื่นพี่ไม่ให้ผ่อนนะ ให้เราคนเดียว”

 

ผมชะงัก เงยหน้าจากนิตยสารขึ้นไปสบตากับเขา สีหน้าอมยิ้มขี้เล่นไม่บอกว่าพูดเล่นหรือพูดจริง น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นเร็วผิดปกติ ผมไม่อาจฝืนมองดวงตาคู่นั้นต่อได้อีก ต้องรีบหลบตา เวลาน่าจะผ่านมาเป็นนาที แต่ข้างในอกก็ยังสั่นระรัวไม่หยุด

 

“มะ ไม่ดีกว่าครับ” เสทำเป็นดูนาฬิกา “วันนี้ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า”

“โอเควาฬ แล้วพรุ่งนี้มาร้านพี่อีกนะ พี่จะรอ” 

 

 ผมพยักหน้ารับคำ ไม่ได้รู้เลยว่าหลังจากวันนั้นก็เข้าสู่ฤดูฝน หลังเลิกเรียนฝนตกหนักทุกวัน ถึงจะมีร่มไปด้วยแต่ก็ไม่อาจจะเดินไปที่ห้างได้ สำหรับคนที่ต้องเก็บค่าขนมไว้ซื้อโมเดล แค่ค่าวินมอเตอร์ไซค์ไม่กี่บาทก็ไม่อยากเสียเพิ่ม ผมร้อนรนอยากไปที่ร้านนั้นจนทนแทบไม่ไหว อ่านนิตยสารเล่มเก่าจนเปื่อยขาด ครูในโรงเรียนพูดอะไรก็ไม่เข้าหัว สิ่งที่ขีดเขียนในสมุดเป็นเพียงรูปหุ่นยนต์โง่ๆ ของคนที่มีทักษะการวาดระดับเด็กประถมต้น ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าขี้เล่นของพี่ต้นยังติดอยู่ในใจ ทำไมเราถึงรู้สึกอย่างนั้นกัน

 ผมพยายามรอวันที่ฝนไม่ตก แต่โชคไม่ดีนักที่ปีนั้นไม่มีวันแบบนั้นเลย เวลาที่ใกล้จะเลิกเรียนผมต้องถอนหายใจทุกครั้งที่เห็นเมฆฝนสีดำทะมึนอยู่ไกลๆ แล้วกางร่มเดินไปที่ท่ารถเมล์อย่างห่อเหี่ยว

 

 เปียกก็เปียกวะ

 

 ในที่สุดความอดทนก็สิ้นสุดลง ด้วยความซื้อบื้อตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่บ้านให้ใช้ร่มก็ใช้ร่มอยู่อย่างนั้น มาคิดดูอีกทีถ้าซื้อเสื้อกันฝนก็น่าจะสภาพดีกว่านั้น ของแบบนี้ไม่ต้องเสียเงินซื้อเองด้วย

 ยังไงก็ตาม ผมที่ตัวเปียกปอน และร่มก็หักพังจากลมฝน ก็มาถึงห้างในที่สุด

 หลังยืนเหน็บหนาวอยู่หลายนาทีที่พรมเช็ดเท้าหน้าห้างจนตัวแห้งลง ยามถึงให้ผมเข้าไปได้ ปกติผมเป็นคนเดินช้า แต่วันนั้นผมเดินเร็วที่สุดในชีวิตแล้ว

 ที่แห่งนั้นเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร้านโมเดลอยู่อีก แม้แต่ส่วนที่เป็นคูหาร้าน ห้างก็รื้อออก เพราะจะขยายโซนฟู้ดคอร์ทใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม ผมยืนนิ่งนึกถึงครั้งล่าสุดที่มาที่ร้านนี้ ห่างกันเพียงสองสัปดาห์ แค่สองสัปดาห์เท่านั้นเอง ผมไม่มีอะไรให้ติดต่อพวกเขาได้เลย ถ้าเป็นสมัยนี้ คงแชทกันผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ยุคนั้นมีเพียงการพบกันแบบออฟไลน์ เบอร์โทรศัพท์ผมก็ไม่เคยขอไว้ ใบปลิวอะไรพวกเขาก็ไม่เคยทำ ผมเดินไปถามร้านข้างๆ เผื่อจะมีใครรู้ว่าพวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่ทุกคนก็ส่ายหน้า ไม่มีใครรู้เลย

 ความรู้สึกเคว้งคว้างเกิดขึ้นในใจ ฝนหยุดลงแล้ว ทั้งที่ท้องหิวแต่ผมก็ไม่ได้แวะกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ท รู้ตัวอีกทีผมอยู่ที่บ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่ามาถึงได้อย่างไร

 

 ………….

 

 หลายปีต่อมา บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ

 

 “วาฬ เย็นนี้ไปแวะดื่มกันไหม”

 “ไม่อะ วันนี้เราเหนื่อย อยากนอน”

 “โห อะไรวะ เงินเดือนเพิ่งออกแท้ๆ”

 เพื่อนร่วมงานบ่นพอเป็นพิธี แต่เขาก็ไปดื่มกับคนอื่นๆ ผมยิ้มตามมารยาทโบกมือให้ ก่อนจะเดินแยกมาเพื่อที่จะไปขึ้นรถไฟฟ้า สายตาเหลือบผ่านไปเห็นร้านคูหาเดียวข้างทาง

 

 “ต้นโมเดล”

 

 ภาพความทรงจำในอดีตที่ผ่านมานับสิบปีขึ้นมาซ้อนทับ บทสนทนาต่างๆ ที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะมีให้กับเจ้าของร้านโมเดลที่คุยกันถูกคอ แม้แต่ป้ายร้านก็ยังเป็นการออกแบบเดิมๆ ที่อิงจากแผงพลาสติกของโมเดล ผมยืนนิ่งนานอยู่บนทางเท้า มองโมเดลหุ่นยนต์ที่จัดวางอยู่ในดิสเพลย์กระจก เดี๋ยวนี้ผมมีเงินพอที่จะซื้อมาสเตอร์เกรดได้แล้ว แต่จนถึงวันนี้ แค่มาสเตอร์เกรดตัวนั้นเท่านั้นที่ไม่ว่ามันจะออกมาอีกกี่รุ่นผมก็ยังไม่ยอมซื้อ

 มือขวาชะงักอยู่ตรงมือจับประตู ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักมันเข้าไป

 

 “พี่ต้นครับจำผมได้ไหม ผมวาฬไง”