“จากความต้องการเอาชนะ เป็นที่ยอมรับ กลับกลายเป็นความรักที่อยากได้ใจ และครอบครอง ครูฝึกคนนั้น”
ดราม่า,แอคชั่น,สืบสวนสอบสวน,รัก,หญิง-หญิง,หน่วยรบพิเศษ,หญิง-หญิง,ทหาร,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ปฏิบัติการณ์รัก“จากความต้องการเอาชนะ เป็นที่ยอมรับ กลับกลายเป็นความรักที่อยากได้ใจ และครอบครอง ครูฝึกคนนั้น”
chapter 0
ค่ำคืนเงียบสงบ ใบไม้พัดไปตามแรงลมนั่นคือเสียงที่ได้ยินตลอดค่ำคืน ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเพียงแสงจันทร์ที่ยังพอให้ความสว่างสลัว
“แค่เฝ้ายามแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้วะ ชิ”
ใครคนหนึ่งบ่นอุบกับตัวเองเบาๆพร้อมมือที่กวาดไฟฉายไปตามแนวรั้วเพื่อสังเกตุการณ์หาความผิดปกติ ตามหน้าที่ของ เวรยามดึก
“ก็ไม่มีอะไรแท้ๆยังจะให้มาเฝ้ายามโง่ๆนี่อีก บ้ารึเปล่า”
“ตั้งอยู่กลางป่าขนาดนี้ ผีตัวไหนจะบุกเข้ามา”
นั่นน่ะสิ ผีตัวไหน
คิดได้ดังนั้นเธอก็ขนลุกวาบไปทั้งตัวก่อนจะกวาดดวงตามองโดยรอบภายใต้แสงจันทร์ที่มีเพียงน้อยนิดด้วยกลัวว่าจะมีลี้ลับเข้ามาใกล้ตัว ทหารน้องใหม่อย่างเธอ ไม่กลัวแม้กระทั่งระเบิดหรือกระสุนปืน แต่ดันกลัวผีไปซะได้
“ฟู่ววว ใจเย็นๆญา ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ผ่านคืนนี้ไป มึงทำได้“
ให้กำลังใจตัวเองแม้มือและเสียงจะสั่น แต่แล้ว
กรอบ แกรบ~
เสียงใบไม้ที่ดูเหมือนถูกย่ำคล้ายกับว่ามีคนเหยียบมัน ดังขึ้น หากแต่ว่าญายังยืนนิ่งไม่ได้ก้าวเท้าขยับไปไหน งั้นเสียงนี้คงไม่ได้มาจากเธอ
”ใครน่ะ!“
ญาว่าพลางสาดแสงไฟฉายไปยังต้นทางของเสียงก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปแนบกายชิดกับกำแพงโกดังที่ติดกับรั้วลวดหนาม สายตาของเธอมองไปตรงหน้าตามแสงไฟฉายที่สลับส่องซ้ายขวา กระทั่งเงาหนึ่งวิ่งผ่านตาไป ญาที่มั่นใจแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงสาวเท้าวิ่งตามสิ่งนั้นไป คิดในอีกแง่อาจเป็นแค่สัตว์ที่หลุดเข้ามา แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ เงาน้้นเคลื่อนไหวแปลกๆ คล้ายกับ คน
“นี่ หยุดนะเว้ย“
เสียงฝีเท้าสองคู่หนักขึ้นตามจังหวะ คนตรงหน้าที่ญาวิ่งตามอยู่ ส่วนสูงเพียงแค่นั้นคงเป็น เด็กหรอ? ไม่สิ คงเป็นผู้หญิง วิ่งไปคิดไปมือก็ถือกระบองคู่ใจเอาไว้เตรียมหวดใส่หลังของเธอคนนั้นทันทีที่วิ่งตามทัน
แต่มันคงไม่ง่ายตามใจคิด หญิงชุดดำคนนั้นเพียงแค่กระพริบตาไปหนึ่งที ก็หายไปจากครรลองสายตาของญาเสียแล้ว แต่ทางนี้มันมีให้เลี้ยวแค่ทางเดียวนี่สิ…
“หึ เสร็จกูแน่”
ญาหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน คิดในใจว่ามันช่างโง่จริงๆที่หลบเลี้ยวออกไปทางนั้น ญาตึงออกตัววิ่งไปอีกทางหมายจะดัก คนร้าย ที่กล้าบุกเข้ามาในหน่วยกลางดึกแบบนี้ บทเรียนที่สั่งสอนมา ฉันจะตอบแทนด้วยการจับผู้ประสงค์ร้ายในคืนนี้เองนะคะ ครูดี
ทหารหญิงผู้สวมเครื่องแบบเต็มยศ ลงน้ำหนักเท้าวิ่งไปตามทางด้วยความมั่นใจจนพ้นกำแพงซึ่งเป็นที่กั้นระหว่างทางไปหอพัก
”อั่ก!“
ไม่ทันจะได้หันไปมองซ้ายขวาให้ดี ร่างของญาก็เอนราวกับจะหงายหลัง เมื่อมีท่อนแขนปริศนาเกี่ยวรัดรอบคอของเธออย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนกระบองและไฟฉายร่วงลงสู่พื้นจนเกิดเสียง
อะไรกัน ยัยคนนั้นงั้นหรอ มันรู้ทางลัดนี้ได้ยังไง แถมรู้ว่าฉัน จะมาทางนี้
ร่างสูงโปร่งเริ่มอ่อนตัวลงมือก็ยกปัดอากาศไวๆอยากจะป้องกันตัวแต่แรงกดที่ลำคอมีมากนักจนแค่จะเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือยังทำไม่ได้ เอาแรงมาจากไหนมากมายขนาดนี้กัน ทันใดนั้นสติของญาก็เริ่มจะดับวูบลงไปเรื่อยๆ ทว่ามีเสียงกระซิบเบาๆดังขึ้นมาที่ข้างหู
“หลอกง่ายไปหน่อยนะเนี่ย ไม่สนุกเลยแฮะ”
ก่อนญาจะสลบไปในอ้อมแขนของเธอคนนั้น หญิงปริศนา
————————————————————
“กูเห็นจริงๆนะเว่ย”
“มึงบ้าป่ะญา กลางป่ากลางเขาขนาดนี้ใครแม่งจะมา โดนผีหลอกแล้วมึงอ่ะ”
ตั้งแต่ตื่นมา ไม่มีใครเชื่อญาซักคน
“แต่มันรัดคอกูเลยนะมึง เนี่ยดู..ดิ”
ทหารฝึกสาวไม่ยอมแพ้ ยังคงพยายามหาหลักฐานในสิ่งที่ตนพบเจอเมื่อคืนให้เพื่อนดู พลันนึกขึ้นได้กับเหตุการณ์ก่อนสลบจึงชี้ที่คอของตนแล้วหันไปมองกระจกบานใหญ่ ก็พบว่า ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนปรากฏ
“เชี่ย”
“กูบอกละมึงถูกผีหลอก หลอกกกซะเปื่อยจนมึงช้อคแล้วสลบไป ครูดีต้องหามมึงขึ้นมาบนหอนอนเนี่ย” ริสาเพื่อนทหารสาวของญาว่าพลางหัวเราะด้วยความขบขันกับใบหน้าของญาที่ไม่แม้แต่จะเชื่อสายตาของตัวเอง
“หรือกูโดนผีเล่นจริงๆวะ” ญายิ้มเจื่อนเมื่อคิดได้ตามเพื่อนของตน โดนรัดคอจนสลบขนาดนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ งั้นคงมีอย่างเดียวคือเธอโดนผีหลอกจริงๆ
“ก็เออดิ เฝ้ายามคืนแรกก็สลบแบบเนี้ย วันนี้ครูดีเล่นมึงต่อจากผีตนนั้นแน่ไอญา”
“บอกเลยว่า ไม่ใช่แค่สลบแน่จ้ะ”
ทั้งริสาทั้งต้นน้ำ พร้อมใจตบไหล่เพื่อนของตนเองด้วยรู้ชะตากรรมของญาว่าหากทำหน้าที่ของตนพลาด อาจได้รับบทลงโทษที่ไม่มีใครคาดถึง
ณ สนามฝึกหน่วยคมกรรณ
“ทั้งหมด แถว ตรง!”
ตุบ..ตุบ
”ผ่านไป1สัปดาห์แล้ว การสั่งให้แถวตรงคือพวกคุณต้องทำให้มันพร้อมกัน ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ!“
ชายชุดทหารกึ่งเต็มยศตะเบ็งเสียงออกมาอย่างน่าเกรงขาม สมกับเป็นครูฝึกประจำหน่วย เขายืนมือไขว้หลังอยู่ตรงหน้าเหล่าพลทหารทั้งสิบนายด้วยสายตาดุดัน
”มีใครยังไม่เข้าใจอีกมั้ย ผมจะได้จัดคลาสสอนพิเศษให้ซักหนึ่งชั่วโมงเต็ม“
บรรยากาศมาคุแต่เช้า เฉกเช่นทุกวันของการฝึก เหล่าทหารฝึกที่อยู่ในแถวต่างเชิดหน้ามองตรงทำทีมองนกมองไม้เพราะไม่กล้าสบตาชายตรงหน้า
เว้นเสียแต่คนหนึ่งที่ยืนเหม่อมองตรงไปอย่างใจลอย ไม่ได้รับฟังเสียก่นด่าใดๆ เพราะเหตุกรรณ์เมื่อคืนนี้หวนคืนมาในสมองซ้ำๆ
“อา เองไรเอี่ย” แรงสะกิดไวๆและเสียงกระซิบอู้อี้จากคนข้างๆเรียกสติของญาให้กลับคืนมา
“คุยอะไรกันทหาร มีเรื่องอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ?”
การกระทำอันไม่ควรแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่พ้นสายตาของครูฝึกหนุ่ม เขาสบสายตามองญาด้วยแววตาเรียบนิ่งจนญาขนลุกวาบไปทั้งร่าง พลันคิดในใจว่าจะบอกเรื่องนั้นดีไหม
“ว่ายังไงคุณญาดา มีเรื่องอะไรให้คุยกันในขณะที่ผมพูดงั้นเหรอ“
”เอ่อ..อึก..คือ“
”เมื่อคืนฉันเห็นคนบุกเข้ามาค่ะ!“ สุดท้ายก็ยอมเอ่ยออกไปด้วยใจที่หวังเล็กๆว่าจะมีคนเชื่อ
”หึ มีผู้บุกรุกงั้นสิ?“ เขาถามตามหลังเสียงหัวเราะในลำคออย่างขบขัน การกระทำแบบนั้นส่งผลให้ญาสบถถ้อยคำหยาบก่นด่าชายตรงหน้าอยู่ในใจไปเป็นพันคำ หึ หึอะไรวะ
”ไหนลองเล่ามาสิ ว่าใคร แล้วทำไมจับตัวมันมาให้ผมไม่ได้“
”ฉันพยายามแล้วค่ะ..แต่“ ขณะที่ญากำลังเล่าเหตุการณ์อยู่นั้นสายตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นเงาใต้ต้นไม้ด้านหลังของครูดี
ร่างเล็กเพรียวสวมชุดดำทั้งตัว สวมฮู้ดมีพิรุจกำลังยืนพิงต้นไม้มองมาที่เธออยู่ ก่อนจะเอียงใบหน้าแล้วยกมือขึ้นมากระดิกยิกๆคล้ายกำลังเรียกหาเธออย่างท้าทาย
“นั่น นั่นค่ะครูดี!“ ญาเบิกตาโพลงกับภาพที่เห็นพร้อมชี้นิ้วไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่เพียงพริบตาเดียวที่ญาหลบสายตาหันมามองชายหนุ่มร่างนั้นก็หายไปก่อนทุกคนจะหันไปให้ความสนใจเสียอีก
”ไหน ผมไม่เห็นมีใคร“ ครูดีกล่าว จากนั้นจึงหันกลับมาให้ความสนใจญาอีกครั้ง
”แต่เมื่อ“
”เอาล่ะ! ในเมื่อคุณยืนกรานว่ามีผู้บุกรุก“
“งั้นพวกคุณทุกคน ก็ไปจับมันมาให้ได้ ภายใน…” เขายกนาฬิกาข้อมาขึ้นมา
“หนึ่งชั่วโมง”
“อิ๊บอ๋ายแอ้ว” หนึ่งในพลทหารบ่นอุบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
ทุกสายตามองมาที่ญาอย่างคาดโทษ แต่กลับกัน ญา ไม่กลัวซักนิด เพราะเธอมั่นใจว่าสิ่งที่เห็น คือคนจริงๆ และคนคนนั้นต้องถูกจับมาลงโทษด้วยน้ำมือของเธอเอง
“ยืนทำหน้าโง่อยู่ทำไม ไปสิ!”
นี่ก็ตะโกนเก่งจริงๆ ไม่เจ็บคอบ้างรึไง!
ท่ามกลางป่ารกที่แส๊นนน สงบ แต่ไม่สงบเหมือนทุกวัน เพราะเหล่าทหารทั้งสิบนายตอนนี้กำลังเดินย่องไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย กระบองในมือถูกกำเอาไว้แน่นเตรียมพร้อมจะโจมตีหญิงชุดดำที่เกลบอกเอาไว้ก่อนหน้า และไม่รู้ว่าญาหรือผู้หญิงปริศนาคนนั้นเป็นคนทำให้พวกเขาดวงซวยต้องมาทำอะไรแบบนี้
“นี่ ไอญา ถ้ากูไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นที่มึงว่าไว้จริงๆล่ะก็ คนที่จะโดนกูสอยร่วงวันนี้ต้องเป็นมึงแทนนะคะ” ต้นน้ำกระซิบเสียงเบาอยู่ด้านหลังของญา แต่เพราะความเงียบงันบวกกับบรรยากาศตึงเครียดจึงทำให้ได้ยินกันไม่ยากนัก
“เชื่อกู กูเห็นมันจริงๆ” ญายืนกรานอย่างมั่นใจ
“แม่ง เดินจะถึงชายแดนอยู่ละ อีก10นาทีเองด้วย” ต้นน้ำว่าพลางหลุบสายตามองนาฬิกาข้อมือ
“มึงว่าคนอื่นๆจะเจอมั้ยวะ?” ญานึกฉงนในใจหลังจากแยกตัวกันออกไปคนละทาง ทีมละสี่คนเพื่อแยกค้นหา มีเพียงฝั่งญาเท่านั้นที่แยกออกมาแค่สองคนเพราะโดน เฉดหัวล่ะมั้ง
“เจอสิ”
“เฮ้ย! อั่ก“
ตุบ
ไม่ทันจะได้หันไปมองต้นทางเสียงที่มากระซิบด้านหลังร่างของเธอก็เหมือนถูกกดด้วยแรงโน้มถ่วงมหาศาลให้ล้มตัวลงหลังกระแทกพื้นดินโดยมีมือเพียงข้างเดียวจากใครซักคนที่ต้นน้ำไม่ทันได้เห็นหน้า
ญาที่ได้ยินเสียงเพียงเสี้ยววิ หันมาก็เจอเพื่อนตัวเองนอนจุกงอตัวบนพื้นอย่างหมดสภาพ แต่ไร้ร่างคนกระทำ
“น้ำ! มึงเป็นไร เจ็บตรงไหนมั้ย” ทหารหญิงรีบปรี่เข้ามาดูอาการต้นน้ำด้วยความห่วงใยจับเนื้อจับตัวเพื่อนดูพลิกซ้ายขวาด้วยมือที่สั่นเทา
“ไอ..เหี่ย..” ต้นน้ำจุกเกินจะรับไหวจนทำอะไรไม่ได้แม้จะหายใจยังรู้สึกถึงความจุก
“แม่ง อีเหี้ยเอ้ย ออกมาดิวะ! มึงออกมา!”
ร่างสูงโปร่งสมส่วนหยัดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือกำกระบองแน่นพร้อมกับกำหมัด ตะโกนท้าทายสิ่งที่เธอไม่อาจรู้ว่าคือคนหรือผีกันแน่อแล้วในตอนนี้ กระนั้นในป่าใหญ่ก็ให้เธอได้แค่เสียงสะท้อนและใบไม้ที่ไหวตามลมเท่านั้น ญาถึงกับต้องกุมขมับเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เวลาก็เหลือน้อยลงเต็มที
ทว่า เมื่อญาหันหลังกลับมายังทางด้านที่จะเดินไปก่อนหน้า ก็มีร่างของผู้หญิงคนนั้นนั่งไขว่ห้างอยู่บนขอนไม้ใหญ่ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกวน ส้นตีน
”มึง!“
”จุ๊ๆๆ โมโหอะไรขนาดนั้น“
ลมหายใจร้อนถูกพ่นออกมาอย่างถี่รัวเพราะความโกรธที่สุมอกเพราะถูกปั่นหัวจากคนตรงหน้า ที่ตอนนี้หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วบิดตัวไปมา
”อ่าา เพื่อนเธอนี่…จัดการง่ายกว่าใครๆเลยนะ“
”หมายความว่ายังไง“ ญายืนนิ่งเรียวคิ้วขมวดกับคำพูดของคนตรงหน้า
”เอ้า ถามอะไรแปลกๆ ก็โดนฉันจัดการไปแล้วน่ะสิ“
ได้ยินแบบนั้นความโกรธยิ่งพุ่งขึ้นหน้า ญามองหญิงคนนั้นด้วยความโกรธจัดจนถ้ามีควันออกมาจากหูได้คงมีไปนานแล้ว
”ไม่รู้จะตายกันไปหมดรึยังน้า อ่อนแอซะจริง“
”หุบปาก!“ สิ้นแล้วความอดทน ญาตัดสินใจไม่ปล่อยให้มันได้พูดพล่อยๆออกมาอีก เธอสาวเท้าก้าวยาวๆวิ่งไปตรงหน้า ไปยังเป้าหมายที่ยืนนิ่งราวกับไม่เกรงกลัวแรงอาฆาตนั้น
มือข้างที่ถือกระบองเหล็กถูกง้างขึ้นสูงหมายจะฟาดให้ตายคามือเมื่อใกล้ถึงระยะที่พอเหมาะ ทว่าทันใดนั้นมันกลับหยุดชะงักกลางอากาศด้วยมือเล็กที่กำรอบท่อนแขนของญาด้วยความรวดเร็ว
”วิ่งมาโง่ๆแบบนี้เลยงั้นสิ“
สิ้นประโยค ญาไม่ทันจะได้โจมตีด้วยรูปแบบใดร่างของเธอก็ลอยหวืดตีลังกาด้วยแรงเหวี่ยงเมื่ออีกฝ่ายหมุนตัวพร้อมน้อมลงต่ำให้แผ่นหลังแนบชิดกับลำตัวของเธอ จากนั้นจึงออกแรงเหวี่ยงให้ญาข้ามไหล่ไปอย่างรวดเร็วในจังหวะเดียว ญารู้ตัวอีกทีก็นอนกองอยู่กับพื้นพร้อมเสียง “อึ่ก” ในลำคอที่ตามมา
ทั้งจุกทั้งชาจนแทบร้องไห้หาแม่ ดวงตาคู่สวยหลับปี๋กุมท้องตัวเองอย่างหมดสภาพ พลันเมื่อลืมตาขึ้นมา กลับไม่มีใครคนนั้นปรากฎอยู่
ตึก ตึก ตึก
เว้นเสียแต่รองเท้าคอมแบตคู่นึงที่ค่อยๆเดินตรงมาหาพวกเธอ
“เยี่ยม..ตายเรียบทุกนาย“ ครูดีนั่นเอง เสียงบ่นพร้อมลมหายใจที่ถูกทอดถอนนี้
”ลุกขึ้นไปรวมแถวซะถ้ายังเดินได้ ถ้าเดินไม่ได้ก็คลานมา“
ค้ำเอววีนเด็กตัวเองไปหนึ่งทีก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้สองร่างต้องหยัดกายลุกขึ้นพยุงกันเดินตามครูฝึกไป ระหว่างทางนั้นญาก็ได้เห็นเพื่อนของตนแต่ละคนที่ สภาพไม่ได้ต่างจากกันเท่าไหร่นัก
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงพอดี ที่พวกเธอออกตามค้นหา ผู้บุกรุกคนนั้นแต่กลับมีค่าเป็นศูนย์ นอกจากจะไม่ได้อะไรเลย ยังต้องมาถูกลงโทษให้ยืนเรียงแถวตากแดดแบบนี่ด้วยสภาพร่างกายที่มอมยิ่งกว่าอะไรดี
“ขายขี้หน้ามาก พวกคุณนี่มันอ่อนหัดจริงๆ แค่คนร้ายคนเดียวยังตามจับไม่ได้”
ครูดีก่นด่าเด็กๆของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ ผิวกายเข้มที่ผ่านแดดฝนลมหนาวมาทั้งชีวิตเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬจากอากาศร้อนที่ถูกส่องลงมายังพื้นโลก
“ก็อ่อนหัดตามความสามารถครูฝึกนั่นแหละ”
ท่ามกลางความตึงเครียด มีเสียงหนึ่งเรียกความสนใจให้ทหารทุกนายต้องหันไปมองด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง ยิ่งกว่าตอนได้รับคำสั่งจัดแถวตรงเสียอีก
ควงตาทุกคู่เบิกโพลง บางคนอ้าปากเหวอ กับผู้มาใหม่ ที่เดินมาจากด้านข้างอย่างเงียบๆ
เธอคนนั้นสวมเสื้อยืดสีเขียวและกางเกงลายพรางพร้อมรองเท้าคอมแบต เรือนผมยาวถูกรวบขึ้นเป็นหางม้า ในมือทั้งสองข้างไร้อาวุธ แต่เป็น ขนม…
ดวงตาสิบคู่มองตามเธอที่เดินมาเรื่อยๆจนหยุดยืนอยู่เคียงข้างครูดีของพวกเขา ใครกัน คุ้นๆแฮะ
“พวกเธอนี่ฝึกมือ…ใช้..ไม่ได้เลยนะ สงสัยจะห่วยเพราะครูฝึกสอนไม่ดีสิท่า“ พูดไปปากก็เคี้ยวอยู่ตุ้ยๆเสียงดังกร้อบแกร้บ
พลันเมื่อญาเพ่งมองดีๆ ก็ต้องประหลาดใจจนแทบร้องเชี่ยออกมา เมื่อนึกได้ว่าคนที่คุ้นตาคนนี้ คือผู้หญิงคนนั้น คนที่อัดพวกเธอซะน่วม แต่ไหงมาแบบนี้กันล่ะ
”ก็ฝึกอาทิตย์เดียวนี่ครับ จะเอาไรมากร้อยโทเกล“
เชี่ย ร้อยโทเลยหรอวะ ทั้งญาและเพื่อนทหารฝึกร่วมชะตาต่างหันหน้าสบตากันอย่างมีนัยเดียวกัน แต่คนที่อึ้งหนักสุดคงเป็นคนที่ยืนยืนตัวชาทำหน้าเหลอหลา ญารู้สึกละอายแก่ใจไม่ ที่ไม่เพียงแค่วิ่งไล่ แต่ยัง ด่าเธอคนนั้น ครูฝึกของตัวเองอย่างออกรสอีกต่างหาก
”ก็นะ ก็สนุกดี ได้ยืดเส้นยืดสาย“ เกล ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระพร้อมกวาดสายตามองผลงานของตัวเองที่เป็นหลักฐานบนตัวทหารทุกนายที่ยืนอยู่ตรงหน้า เนื้อตัวเปื้อนดินบ้างก็ยังมีใบไม้ติดตามเสื้อกางเกง บ้างก็มีรอยเท้าที่ถูกฝากทิ้งไว้กลางอก
“เอาล่ะ ทหาร ผมขอแนะนำให้รู้จัก ผู้หญิงคนนี้ คือร้อยโทเกวลิน จะมาเป็นผู้ฝึกสอนร่วมกับผม”
“แฮ่ม สวัสดีค่ะทุกคน เรียกฉันว่า ครูเกลก็แล้วกันนะ ” ร้อยโทเกลกล่าวทักทายพลทหารทุกนายอย่าง ไม่เป็นทางการ ปากก็เคี้ยวขนมสายตาก็กวาดมองราวกับไม่ใส่ใจแต่ใครจะรู้ล่ะ ทันใดนั้นเอง เกลก็หยุดมองอยู่ที่ใครคนหนึ่ง
พาลทำให้คนที่ถูกเพ่งมองต้องสะดุ้ง ญา ถึงกับเบนสายตาหลบไม่ต่างจากคนอื่นๆ แขนทั้งสองข้างยังคงแนบลำตัวอย่างเป็นระเบียบ แดดจากแสงอาทิตย์ยังแผดเผาให้เธอใกล้ตายได้ไม่เท่าสายตาของครูฝึกคนใหม่ที่มองมา ตายแน่ กูตายแน่ เฮ้ลลลลล!
“ทหาร คนนั้นน่ะ ชื่ออะไรนะ?”
คนตัวเล็กเอ่ยถามหลังหลุบตามองแค่หัวจรดเท้าของเธอคนนั้นอย่างสำรวจ
“เอ่อ ดิฉัน..”
“ดังๆ!”
ขนอ่อนขนแข็งขนทุกส่วนในร่างกายลุกวืดดอย่างห้ามไม่ได้ เสียงตะโกนนั้นมันอะไรกัน ต่างจากครูดีไปหลายขุม น่าแปลกที่ครูเกล ตัวแค่นั้น แต่ทำไมกลับส่งออร่าความโหดเหมือนขุมนรกที่กำลังเปิดรับพวกเขาได้ขนาดนี้
ญากลืนก้อนน้ำลายหนืดลงคอก่อนจะกระแอมเบาๆ
“ดิฉัน พลทหาร ญาริสา รัตนไพศูรย์ ค่ะ!”
กลืนความหวั่นกลัวลงคอแล้วเปล่งเสียงแนะนำตัวออกมาอย่างฉะฉานและมั่นใจ แต่สายตากลับไม่กล้าสบมองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เกลที่เห็นแบบนั้นก็เบ้ริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมเรียวคิ้วที่ยกขึ้น เดาไม่ออกว่าเธอพอใจ หรือ กำลังดูถูกกันแน่ ก่อนจะยื่นซองขนมเปล่าให้ครูดีไปถือเอาไว้ แล้วก้าวเท้าย่างกรายตรงไปด้านหน้า จนกระทั่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพลทหารญาดาที่เธอจับจ้องมาแต่ก่อนหน้านี้
“ครูดีของเธอไม่ได้สอนหรือยังไง ว่าเวลาแนะนำตัวกับใคร ก็ต้องมองที่คนนั้นน่ะ”
ด้วยคยามต่างของส่วนสูงที่มีมากกว่า 20 เซนติเมตรทำให้เกลต้องเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปัดเศษดินเศษฝุ่นบริเวณเสื้อของคนร่างสูงตรงหน้าราวกับห่วงใยแต่แฝงด้วยนัยบางอย่าง
เหล่าสหายร่วมชะตาก็ได้แต่มองตามตาปริบๆแล้วคิดในใจ ว่า ญาแม่งต้องซวยแหงๆ
“หรือคิดว่า ฉันจะเป็นพวกขี้สงสาร ปล่อยผ่านได้แม้กระทั่งความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจเหรอ”
กวนตีน นั่นคือใบหน้าที่เกลแสดงออกในตอนนี้ ดวงตาคู่สวยกลมโตช้อนมองญาด้วยความสงสัยแต่ริมฝีปากกลับเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆ คนร่างสูงที่หลุบตามองก็ไม่รู้ว่าต้องสยองหรือโมโหดีกับท่าทีแบบนั้น
“เฝ้าเวรยามก็ไม่ได้เรื่อง ปล่อยให้ผู้บุกรุกลอยนวล แถมยังพาเพื่อนไปเจ็บตัวโดยไม่ได้อะไร รู้ใช่มั้ย ว่าถ้าลงสนามจริง พวกคุณคงตายกันไปหมดแล้ว”
เกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำและยานคาง แววตานั้นช่างดูถูกกันเสียเหลือเกิน มือเล็กๆที่วางอยู่บนบ่าไหล่ก็ไม่มีแม้แรงกดแต่ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวญาเล็กลงทุกที
กระทั่งครูเกลผละกายถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยเสียงกังวาลอย่างฉะฉาน
“แต่เอาเถอะ! ถือว่าเป็นการปฐมนิเทศจากฉันก็แล้วกัน”
“เพราะยังไง หลังจากนี้ พวกเธอก็จะได้เจอกับนรกของจริง”
“3 เดือนต่อจากนี้ เชิญดื่มด่ำกับบทเรียนของฉันให้เต็มที่”
“ขอให้พวกคุณ โชค ดี”
ในประโยคสุดท้าย เกลเน้นย้ำที่สองคำหลังช้าๆ แม้จะดูเหมือนเป็นการอวยพร แต่จริงๆแล้ว…
1 สัปดาห์ต่อมา
เหมือนนรกบนดินที่มียมทูตคือ ครูเกล เป็นเจ็ดวันที่ให้ความรู้สึกเหมือนเจ็ดปี เมื่อเทียบกับการฝึกในอาทิตย์แรกของครูดี นี่คือการทรมานมากกว่าการฝึกเสียด้วยซ้ำ เพราะอะไรน่ะเหรอ
“ไง หมดแรงแล้วรึไง ทำไม่ไหวแล้วเหรอ?”
เพราะมึอุปสรรค์เข้ามาเพิ่มคือเสียงที่ได้ยินทุกเช้าหล้งจากเสียงไซเรนปลุกยังไงล่ะ
คนหนึ่งออกแรงวิ่งพร้อมเสียงหอบหายใจกระเส่า โดยมีเชือกผูกมัดเองเอวซึ่งมีล้อรถยนต์สามอันถ่วงน้ำหนักอยู่ด้านหลัง ทำให้การก้าวฝีเท้าในแต่ละทียิ่งยากเข้าไปอีก บวกกับทางลาดชันแนวเนินภูเขาแล้วนั้น..บอกได้เลยว่า ขิต
ส่วนอีกคนหนึ่ง คอยเดินตามประกบข้าง คล้ายกับห่วงใยกอปรกับคำพูดที่เอ่ยถามออกมา แม้รูปประโยคและน้ำเสียงจะแสดงออกไปในทางน้้น แต่ความเป็นจริงแล้ว นี่คือบททดสอบระหว่างการฝึกของเกล
เธอทำตัวเหมือนเป็นแมงหวี่แมงวันตามรังควาน เด็ก พวกนั้นทุกครั้งที่เริ่มสังเกตุเห็นถึงความล่าช้า อาทิเช่น
“อยากพักแล้วเหรอ พักหน่อยมั้ย พักหน่อยน้าา” วิ่งเหยาๆเคียงค้างพลทหารหนุ่มคนหนึ่ง ที่วิ่งช้าลงจนทิ้งห่างจากคนอื่นไปเรื่อยๆ โช๊คคค ยังดีย์ ที่มีเกลมาให้ กำ ลัง ใจ อยู่ข้างๆ
“ไม่ แฮ่ก..ไม่ครับ” เขาตอบกลับสลับเสียงหอบหายใจก่อนจะฮึดแรงสู้ออกตัววิ่งไปให้ทันคนด้านหน้า ด้วยรู้ว่าหากหยุดพักจริงอย่างที่ครูเกลบอก
‘วิ่งรอบสนาม 50 รอบ ปฏิบัติ’
นั่นคือสิ่งที่จะมาทดแทนการวิ่งขึ้นลงเขาโดยมีห่วงยางรถยนต์ หากหยุดพักกลางทาง
กำลังกายก็ต้องฝึกฝน กำล้งทางจิตใจก็ถูกทดสอบ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เกลไม่มีแม้แต่คำด่าทอให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่เหมือน ถูกควักเอาหัวใจออกมาย่ำยีมากกว่า
‘เธอทำไม่ได้หรอก เมธี อีกตั้งห้ารอบเชียวนะ’
‘ขาสั่นไปหมดแล้ว ไม่ไหวก็พักเถอะนะริสา’
‘ห่วงยางนี่มันหนักไปใช่มั้ยกันต์ ความสามารถเธอมันมีแค่นี้สินะ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ’
อีกหลากหลายคำพูดที่ออกมาจากปากเกล ทั้งกวนประสาท กวนสมาธิ ในช่วงแรกพวกเขาโดนลงโทษกันไปหลายคนจนแทบหมอบ ฝึกในค่ายธรรมดาว่ายากแล้ว แต่การฝึกในหน่วยนี้เหมือนเอาตัวเองมาตายชัดๆ
To be con…