หลายเส้นทาง หลายเรื่องราว พบกับเรื่องราวชีวิตของเหล่ามนุษย์ ที่พบเจอเรื่องแปลก ระทึกขวัญ รวมถึงความแฟนตาซี ที่ไม่มีมนุษย์คนใดเคยเจอมาก่อนผ่านบันทึกมนุษย์
ดราม่า,แฟนตาซี,ลึกลับ,เรื่องสั้น,พารานอมอล,สะท้อนสังคม,ดราม่า,แฟนตาซี,ชีวิต ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Human Diary บันทึกมนุษย์หลายเส้นทาง หลายเรื่องราว พบกับเรื่องราวชีวิตของเหล่ามนุษย์ ที่พบเจอเรื่องแปลก ระทึกขวัญ รวมถึงความแฟนตาซี ที่ไม่มีมนุษย์คนใดเคยเจอมาก่อนผ่านบันทึกมนุษย์
ในวันที่ฟ้าครึ้ม ผมกำลังรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ใจกลางเมือง สภาพของผมดูไม่จืดเสียเลย ผมสวมเสื้อเชิ้ตยับ ๆ กางเกงสแล็กส์สีดำ รองเท้าคัตชูสีดำ และสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊ก เป็นเครื่องแบบประจำตัวของพนักงานบริษัทที่พบเห็นได้ทั่วไป ที่ต่างออกไปมีแต่ทรงผมกระเซอะกระเซิงไร้การดูแลและหนวดเคราสาก ๆ ที่ขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ ไม่ใช่เพราะตั้งใจจะไว้เพื่อความเท่ แต่เป็นเพราะผมไม่สนใจจะโกนมันต่างหาก
ผมมองนาฬิกาบนข้อมือจึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว โชคดีหน่อยที่มาทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย แต่ผมไม่รู้สึกยินดียินร้ายเลยสักนิด ผมรู้สึกหดหู่เสียมากกว่า หลังจากเช็กรอบรถแล้ว ผมวางกระเป๋าไว้ข้างกายและนั่งพิงป้ายโฆษณาด้านหลัง ผมเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำทะมึนพลางคิดถึงเธอคนนั้น ทันใดนั้นปลายจมูกผมก็ได้กลิ่นของไอฝน และไม่นานนักฝนก็ตกลงมาตามที่จมูกของผมทำนายเอาไว้ กลิ่นของเมฆฝนทำให้ผมนึกถึงวันนั้น…วันที่ภรรยาจากไป
...
ภาพในความทรงจำของผม เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก ผมดำยาวของเธอเข้ากับชุดนอนกระโปรงยาวสีเรียบเป็นอย่างดี แม้เธอจะกำลังท้องอยู่แต่ในสายตาผมความสวยของเธอไม่หายไปไหนเลย
“ที่รักคะ พรุ่งนี้มีนัดตรวจครรภ์ เค้าวานขับรถพาไปโรงพยาบาลหน่อยสิคะ?”
“พรุ่งนี้เหรอ แป๊บนะครับ” ผมเปิดตารางเวลานัดที่จดไว้ในแอปพลิเคชันปฏิทิน “ขอโทษนะ พรุ่งนี้ผมมีนัดกับลูกค้าน่ะ แถมเลื่อนนัดก็ไม่ได้อีก ฝั่งนั้นขู่มาว่าถ้าเลื่อนนัดอีกจะไม่จ้างผมน่ะสิครับ”
“งั้นเหรอคะ...เค้าต้องไปคนเดียวสินะเนี่ย” ผมจับสังเกตได้ว่า น้ำเสียงของเธอแฝงถึงความรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ที่จริงแล้วผมอยากไปกับเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยภาระงานสิ่งที่ผมทำเพื่อเธอได้มากที่สุดในตอนนี้คือการอยู่เคียงข้างและคอยปลอบประโลมเธอ
“ครั้งหน้าเดี๋ยวผมไปด้วยนะครับ อย่างอนผมเลยนะ” ผมออดอ้อนและส่งสายตาให้เธอเหมือนกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์…แน่นอนว่าได้ผล
“กะ..ก็ได้ค่ะ ที่รักสัญญาแล้วห้ามโกหกนะ” เธอพูดพลางหลบสายตาผมด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
“ครับ สัญญาด้วยใจเลย” ผมจูบไปที่หน้าผากของเธอเพราะอดเอ็นดูความน่ารักของคนตรงหน้าไม่ไหว
...
“สามีของคุณนาถหรือเปล่าครับ” ปลายสายพูดขึ้นทันทีหลังจากที่ผมรับโทรศัพท์
“ใช่ครับ คือ..คุณเป็นใครครับ”
“ผมเป็นตำรวจครับ…” นี่อาจจะเป็นคำเดียวในชีวิตที่ผมไม่อยากได้ยินเมื่อเกี่ยวกับนาถ เหมือนกับเป็นการการันตีว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับนาถแน่นอน
“มีเรื่องแจ้งให้ทราบครับว่าคุณนาถเสียชีวิตแล้ว สาเหตุคือวูบหลับขณะขับรถ ทำให้รถเสียหลักเกิดอุบัติเหตุชนรถบรรทุกครับ ตอนนี้กำลังนำส่งร่างไปที่โรงพยาบาลบำรุงชลครับ”
หลังบทสนทนาจบลง ผมรู้สึกถึงความชาไปทั่วใบหน้า หูไม่ได้ยินเสียงเรียกเตือนของเพื่อนร่วมงาน ไม่รับรู้แม้กระทั่งความหนาวเย็นของร่างกายที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝน ร่างกายของผมขยับไปที่รถเอง รู้ตัวอีกทีก็ประสบอุบัติเหตุรถชนเสียแล้ว กว่าจะฟื้นแม่ของนาถก็จัดงานศพเสร็จสิ้นแล้ว
...
“แม้แต่ครั้งสุดท้ายผมก็ยังไปพบคุณไม่ได้…ผมคิดถึงคุณจังเลย..นาถ” ขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด ผมรู้สึกถึงสัมผัสบางอย่างบริเวณขาขวา เมื่อมองลงไปก็พบกับเจ้าแมวลายวัวตาใสแป๋วกำลังทำท่าออดอ้อนอยู่
“หง่าว” เจ้าแมวลายวัวกระโดดขึ้นมานั่งบนตักและจ้องมองผมไม่วางตา พฤติกรรมของมันทำให้ผมสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะพอรู้มาว่าแมวมักทำพฤติกรรมที่มนุษย์เข้าใจยากเสมอ
ผมจ้องมันกลับและสังเกตเห็นลวดลายบนตัวของมัน เจ้าแมวตัวนี้คล้ายกับแมวของนาถที่ตายไปไม่มีผิด
ตอนนั้นนาถเสียใจมาก ร้องไห้ฟูมฟายจนเกือบจะไม่ยอมฝังร่างไร้ลมหายใจ เธอบอกว่าจะเอาไปนอนกอดด้วยตลอดชีวิต ผมรีบห้ามแทบไม่ทัน กว่าจะปลอบใจเธอได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง ท้ายที่สุดเธอยอมฝังร่างนั้นด้วยมือที่เปรอะด้วยคราบน้ำตา
พอคิดถึงเรื่องนั้น ก็เริ่มรู้สึกอยากเลี้ยงแมวตัวนี้เสมือนเป็นตัวแทนของนาถ แต่ก็ต้องหยุดความคิดนี้ลง เพราะเมื่อผมลองลูบขนของมันก็รู้ได้เลยว่าไม่ใช่แมวจรจัดอย่างแน่นอน
เพียงครู่เดียวเจ้าแมวก็กระโดดลงจากตักและเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าซอยเล็ก ๆ แถวนั้น มันมองผมสลับกับซอยตรงหน้าเหมือนต้องการสื่อว่าให้เดินมาด้วยกัน ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเพราะอยากรีบกลับบ้าน แต่เจ้าแมวก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมจึงตัดสินใจยอมลุกขึ้นไปจับแมวให้มานั่งหลบฝนด้วยกัน แต่เจ้าแมววิ่งเข้าซอยไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องวิ่งตามมันเข้าไปในซอยนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ในที่สุดมันก็ยอมหยุดให้จับ ผมอุ้มมันขึ้นมาและเพิ่งจะรู้ตัวว่าเจ้าแมวพามาหยุดอยู่หน้าตึกหลังหนึ่ง ผมมองขึ้นไปจึงได้รู้ว่าตึกนี้สร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมบาโรก ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปประเภทหนึ่งที่มีความหรูหราและสวยงาม โดยเน้นความโค้งมนที่ประณีตและไม่เน้นความสมมาตร อีกทั้งภายในมีจุดหลอกตามากมาย เช่น เพดานโค้งลึกที่สร้างความรู้สึกโอ่อ่าและกว้างขวาง
ก่อนที่จะชื่นชมความงามของตึกไปมากกว่านี้ ผมก็ย้อนคิดได้ว่าแถวนี้มีตึกรูปทรงสะดุดตานี้อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะจำได้ว่าไม่กี่วันก่อนยังคงเป็นตึกร้างที่ไม่มีใครอาศัย ถึงจะให้เหตุผลว่าเป็นการรีโนเวตตึกใหม่ แต่การสร้างตึกที่มีรายละเอียดมากมายให้เสร็จในระยะเวลาสั้น ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้
ระหว่างที่ผมจมอยู่ในห้วงความคิด เจ้าแมวก็ดิ้นจนต้องยอมปล่อย มันเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูและพยายามเขี่ยประตูเหมือนต้องการสื่อว่าเปิดซะเจ้ามนุษย์ ผมเดินขึ้นบันไดขั้นย่อม ๆ มาหยุดอยู่หน้าประตู ผมเหลือบมองป้ายสีดำด้านข้างประตู มีตัวอักษรสีทองอ่านได้ว่า “ร้านตกทอด ของเก่า & ของโบราณ” ถัดมาที่หน้าประตูมีป้ายแขวนไว้ว่าปิดอยู่ แต่แสงไฟที่ลอดผ่านหน้าต่างทำให้ผมรู้ว่าข้างในมีคนอยู่
ไม่คิดเลยว่าตึกบาโรกนี้จะเป็นร้านขายของเก่า ผมเคาะประตูนั้นสองสามครั้งแต่ก็ไม่มีใครตอบ ผมจึงลองบิดลูกบิดดูพบว่ามันไม่ได้ล็อกด้วยความอยากรีบคืนแมวและกลับไปที่ป้ายรถเมล์ไว ๆ เพราะวางกระเป๋าทิ้งไว้ บวกกับอยากชื่นชมภายในตึกบาโรกมาก ผมจึงเปิดประตูบานนั้นออก โดยที่ไม่รู้เลยว่าบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายกำลังรอผมอยู่
...
เสียงกระดิ่งดังลั่นตรงกับจังหวะประตูเปิด ผมมองไปรอบ ๆ ภายในสัมผัสได้ถึงความหรูหราและคลาสสิก มีของเก่าโบราณมากมายจากหลากยุควางอยู่เต็มห้อง ที่ว่างที่เดียวเห็นทีจะมีแค่ทางเดินแคบตรงหน้าเท่านั้น
เจ้าแมวเดินไปตามทางเดินโดยไม่ลืมส่งท่าทางเชิญชวนเดินไปด้วยกัน ทั้งผมและแมวเดินมาเรื่อย ๆ จนเจอเคาน์เตอร์ทรงกลมตั้งอยู่กลางห้อง เจ้าแมวกระโดดขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์และเลียทำความสะอาดตัวเอง
ผมไม่เข้าใจเจ้าแมวเลยสักนิดว่าพามาที่นี่ทำไม แต่มองไปรอบ ๆ ก็อดชื่นชอบความงามภายในร้านไม่ได้ จนเริ่มรู้สึกตัวว่าบริเวณที่ยืนกำลังสว่างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผมมองขึ้นไปก็พบว่า ด้านบนเป็นเพดานทรงกลมโค้งลึก ประดับด้วยลวดลายท้องฟ้ายามค่ำคืนและตรงกลางมีแชนเดเลียรูปนาฬิกากำลังเคลื่อนตัวลงมาช้า ๆ จนหยุดอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน
“สวยไหมครับ ผมออกแบบเองเลยนะ” ผมตกใจเล็กน้อยก่อนหันไปทางต้นเสียง เขาเป็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาวซีด แต่งตัวดูดีคุมโทนดำตั้งแต่หัวจรดเท้า สวมแว่นกันแดดและเซตผมอย่างเรียบร้อยซึ่งต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง แต่ที่แปลกก็คือชายคนนั้นยืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับว่าเขาวาร์ปได้อย่างไรอย่างงั้น
“สวัสดีครับ ผมคือเจ้าของร้าน คุณลูกค้ามีของชิ้นไหนเข้าตาเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
“อ่อครับ คือเจ้าตัวนั้นคือแมวคุณใช่ไหมครับ” ผมชี้ไปที่เจ้าแมวลายวัวที่กำลังนอนกลิ้งอยู่
เจ้าของร้านมองตาม “โอ้ ใช่ครับ ขอบคุณนะที่นำแมวมาคืน ผมหาเจ้าตัวแสบนี่ทั้งวันเลยล่ะ” เขาพูดขึ้นพลางลูบแมวไปด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็แค่เดินตามมันมาเท่านั้นเอง อีกอย่างมันคล้ายกับแมวของภรรยาผมมากเลย”
“คุณสลักคงรักภรรยามากเลยสินะครับ ถึงได้เห็นอะไรก็นึกถึงแต่เธอ” เขาพูดและยิ้มอย่างร่าเริง
เขาพยักหน้าตอบ “ครับ ผมรักเธอม-” ไม่ทันได้พูดต่อ เขาก็นึกทวนประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง
“คุณรู้ชื่อผมได้ไง” ผมมองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นด้วยแววตาที่หวาดระแวง ผมรู้สึกว่าที่นี่มันไม่ปกติอีกต่อไป ขาของผมก้าวถอยหลังอัตโนมัติและมองคนตรงหน้าอย่างไม่วางใจ
เขายังคงยิ้มและเดินเข้ามาใกล้และจ้องมองที่ใบหน้านั้นอย่างจัง “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เรามาคุยเรื่องของที่ผมจะตอบแทนคุณดีกว่านะ ซึ่ง..ผมคิดไว้แล้วล่ะว่าจะตอบแทนยังไงดี” เขาเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์หยิบบางอย่างที่คล้ายกับสมุดเมนูอาหาร และนำมายื่นให้
ผมรับมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ บนหน้าปกของสมุดเขียนว่า “บริการท่องเวลา” ผมแปลกใจกับคำบนหน้าปกเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็อดสงสัยไม่ได้จึงเปิดออกดู ในสมุดมีบริการเพียงแค่ 2 อย่าง ด้านบนคือ บริการท่องอนาคตและอันล่างคือบริการท่องอดีต
เขาชี้ไปที่อันล่าง “สำหรับคนรักภรรยา ผมแนะนำบริการนี้นะครับ” ผมหันขวับ “ผมสามารถช่วยภรรยาได้เหรอ”
เขายิ้มตอบ “นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณนะ”
ตอนแรกผมคิดว่าหมอนี้คงเพี้ยนไปแล้วแน่ แต่พอคิดถึงการกระทำและคำพูดที่ผ่านมาของเจ้าหมอนี่ ก็อดที่จะเชื่อไม่ได้ว่าเขาสามารถพาตนท่องอดีตได้
อาจจะไม่จริงก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นวิธีเดียวละก็..
“ผมเลือกอันนี้ครับ” ผมชี้ไปที่บริการอันล่าง
เขาส่งยิ้มอย่างมีเลศนัย ทันใดนั้นที่พื้นก็มีก้อนควันสีดำจากที่ไหนไม่รู้ ขึ้นมาพยายามจะโอบรอบตัวผม ผมตกใจและพยายามออกจากจุดนั้น แต่ร่างกายไม่ขยับเลยสักนิดแถมยังหายใจไม่ออก เหมือนมีก้อนบางอย่างอุดที่หลอดลม
“เดินทางปลอดภัยนะครับ” เขาโบกมือส่งยิ้มให้
“อึก…อ็อก” ผมจับไปที่คอตนเอง พยายามหนีออกจากความทรมานและภาพตรงหน้าก็ถูกตัดไป
.
วูบ
.
“เฮือก!” ผมเข่าทรุดลงไปที่พื้นและกลับมาหายใจได้อีกครั้ง สายตาที่พร่ามัวพยายามมองไปรอบ ๆ เพื่อปรับโฟกัสของสายตา ผมเห็นสถานที่ที่คุ้นเคย กลิ่นกาแฟยามเช้าเคล้าด้วยบรรยากาศอันอบอุ่น หูของผมได้ยินเสียงวิ้ง ๆ แต่ไม่นานก็แทนที่ด้วยเสียงของคนที่คิดถึงสุดหัวใจ
“ที่รัก…ที่รักคะ เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมตกใจสุดขีดกับภาพที่ได้เห็น ผมเห็นนาถยืนอยู่ตรงหน้าจริง ๆ ผมโผเข้ากอดเธอในทันที
นาถ…จริง ๆ
“ฮึก…ผมคิดถึงคุณมากเลยนาถ” ผมกอดเธอแน่นขึ้นและซบหน้าลงที่ไหล่ของเธอ กลิ่นเธอที่คุ้นเคยทำเอาน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
“นี่หลักเป็นอะไรเนี่ย…จู่ ๆ ก็มากอด” นาถพยายามแกะแขนที่โอบเธอแน่นออกจากเอว แต่ด้วยแรงที่ต่างกันราวกับฟ้าและเหว นาถจึงจำใจปล่อยให้ผมกอดและหันมาลูบหัวปลอบเขาแทน ถึงแม้ว่าเธอจะว่าแปลกก็ตาม แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ครู่เดียว ผมก็สงบลง นาถพาไปนั่งคุยที่โซฟาในห้องนั่งเล่น “ตกลงที่รักเป็นอะไรคะ ถึงได้ร้องไห้ฟูมฟาย” เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ผมส่ายหน้าและพูดสิ่งที่คิดออกมาทันที “วันนี้เดี๋ยวผมพาคุณไปโรงพยาบาลเองนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เอ๊ะ…แต่คุณบอกว่าวันนี้มีงานด่วนนี่คะ?” เธอเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“คุณสำคัญกว่างานครับ” ผมจ้องมองดวงตากลมโตของเธอและกุมสองมือเล็ก ๆ นั้นไว้แน่น เจ้าของมือเล็กสะดุ้งด้วยความเขินเล็กน้อย “เราไปกันเถอะครับ เดี๋ยวหมอรอนานนะ…ฮึบ” ผมอุ้มเธอท่าเจ้าหญิงทันที เพราะกลัวเธอเดินแล้วเหนื่อยจากการอุ้มท้อง อีกอย่างผมคิดว่าในเมื่อมีโอกาสครั้งที่ 2 ก็อยากจะดูแลนาถให้ดีที่สุดเพื่อทดแทนช่วงเวลาเก่าที่สูญเสียไป
“ว้าย! ดะ..เดี๋ยวสิ เค้าเดินเองได้” เธอร้องขอแต่ผมไม่สนใจแม้แต่น้อย ผมอุ้มเธอไปนั่งในรถ จากนั้นเดินไปนั่งอีกฝั่งและออกรถทันที
ระหว่างทาง ผมพูดคุยกับนาถในหลาย ๆ เรื่อง เธอดูแปลกใจเล็กน้อยกับการกระทำของผมที่เปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างนั้นผมรู้สึกว่าเธอยิ้มและมีความสุขมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาผมเอาแต่ทำงาน ทำงาน และทำงาน นาน ๆ ครั้งถึงจะมีวันว่าง ดังนั้นผมจึงตั้งใจไว้ว่าหลังตรวจเสร็จจะพาเธอไปทุกที่ที่เธออยากไปและใช้เวลาอยู่กับเธอให้นานที่สุดโดยไม่เสียใจทีหลัง
จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมา…
แปลกจัง
เปลือกตาผมรู้สึกหนักขึ้น ผมคิดในใจว่าอาการนี้เหมือนกับอาการในวันที่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำจนบาดเจ็บสาหัสซึ่งผมจำได้ไม่มีวันลืม ผมพยายามหยุดรถคันนี้ แต่ความพยายามก็กลายเป็นศูนย์เพราะจู่ ๆ ขาที่ใช้การได้กลับไม่ยอมขยับเท้าออกจากคันเร่งเลยแม้แต่น้อย กลับกันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นมากดที่หลังเท้าผม ให้ผมเร่งความเร็วรถขึ้นอีก
“ที่รักขับเร็วเกินไปแล้วนะคะ ช้า ๆ หน่อยค่ะ…ที่รัก?” เธอหันมาบอกผม สภาพผมในตอนนั้นใกล้จะหลับคาพวงมาลัยทันที ผมได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ จากด้านข้าง “หลัก! ตื่นสิ! ข้างหน้า!” เธอเขย่าตัวเขาพร้อมกับชี้ไปที่รถบรรทุก ผมพยายามมองไปข้างหน้าและต้องสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อได้เห็น
ยังไม่ทันที่จะทำตามสัญชาตญาณในการขับรถ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ
เอี๊ยด- ตู้ม! เสียงดังสนั่นกลางถนน เผยให้เห็นรถเก๋งที่ประสานเข้ากับรถบรรทุกคว่ำอย่างจัง ผมยังพอมีสติจึงพยายามมองไปรอบ ๆ ผมเห็นคนขับรถบรรทุกสลบคาที่นั่ง ได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนแว่ว ๆ ว่า บรรทุก..หลับใน
ความหนักของรถทำให้ขยับตัวลำบาก แต่ผมก็พยายามหันมามองดูความปลอดภัยของนาถพร้อมเรียกหาเธอซ้ำ ๆ “นาถ…นาถครับ…นาถ!”
ความเสียใจถาโถมเข้ามาในหัวผม ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือความตายของคนรัก คอของเธอหักพับไปด้านหลังอย่างสยดสยอง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นศพของนาถ ภรรยาผู้แสนดีของผม ผมสติหลุดในทันทีและตะโกนเรียกชื่อเธอซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นก่อนจะสลบไปเพราะพิษบาดแผล
.
วูบ
.
“เฮือก!” ความเจ็บเมื่อครู่หายหมดสิ้น ผมค่อย ๆ เงยหน้าลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ เห็นของโบราณวางกองกันมากมาย รวมไปถึงนาฬิกาแชนเดอเลียยังคงถูกแขวนไว้ที่เดิม ทุกอย่างดูเหมือนเดิมยกเว้นดวงตาที่มีน้ำใสไหลออกมา ความสับสนผุดขึ้นมาในใจ เมื่อครู่ผมเพิ่งรถคว่ำไม่ใช่เหรอ ร่างกายของผมควรจะมีบาดแผล ผมสำรวจร่างกายตนเองอย่างละเอียด บาดแผลที่ควรจะมีกลับไม่มี เมื่อกี้ผม…ย้อนเวลาได้จริง ๆ หรือผมแค่ฝันไปเองกันนะ?
“มันไม่ใช่ความฝันหรอกครับ” เจ้าของร้านที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาทักทายจากด้านหลัง เขายังคงทำหน้าปั้นยิ้มเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกค้าจะสับสน อีกทั้งคำพูดนั่นราวกับคาดเดาได้ว่าลูกค้าคิดอะไรอยู่
“ผมขอบคุณมากจริง ๆ ครับ งั้นกลับบ้านเลยไหมครับ ผมกำลังจะปิดร้านพอดี นี่ก็ดึกแล้วเดี๋ยวผมไปส่งคุณเองครับ” เขาหยิบกุญแจรถเตรียมตัวออกไปเอารถ
“ผมใช้บริการเมื่อกี้ได้อีกไหม” ผมส่งสายตาจริงจังไปที่เจ้าของร้าน “ถ้าเป็นเรื่องเงินผมมีจ่ายให้คุณแน่”
“มันแพงนะครับผมคงให้บริการคุณไม่ได้หรอก”
“เท่าไหร่ผมก็จะจ่ายครับ เป็นแสนเป็นล้านผมก็ยอม”
“ผมไม่ได้หมายถึงเงินครับ ผมหมายถึงนี่ต่างหาก” เขาผายมือไปที่นาฬิกาแชนเดอเลีย ผมมองตามแต่ก็ไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี
“เวลาครับ คุณต้องจ่ายเวลาชีวิตครึ่งหนึ่งของคุณ”
แม้ว่าเจ้าของร้านจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ผมสัมผัสได้ถึงความกดดันอะไรบางอย่างจากคำพูดนั้น ราวกับว่ามันเป็นทางเดียวที่เขาต้องเลือกเพื่อช่วยชีวิตนาถ
“คุณจะยอมแลกเวลาอนาคตที่ไม่แน่นอนเพื่ออดีตที่ผ่านมาเหรอครับ”
ผมลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของนาถ นั่นทำให้ผมมั่นใจ “ผมจะไปอดีตเพื่ออนาคตที่แน่นอน..เธอรอผมอยู่” ผมมั่นใจว่าครั้งนี้ผมต้องช่วยเธอได้
“มุ่งมั่นดีนะครับ ถ้าพร้อมแล้วไปยืนหน้านาฬิกาแชนเดเลียและพูด ‘ตกลง’ ได้เลยครับ”
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ปลายนิ้วเย็นสั่นระริก ผมเคลื่อนร่างกายไปอยู่ตรงหน้านาฬิกาเรือนนั้น มันหยุดเดินเพื่อรอคำตอบและแน่นอนว่าผมไม่ทำให้เจ้านาฬิกาผิดหวัง
“ตกลง” ทันใดนั้นเองนาฬิกาก็เดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนในที่สุดมันก็หยุดอยู่ที่เที่ยงคืนพอดี ควันแบบเดียวกับการย้อนเวลาครั้งแรกปรากฏขึ้น ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ชินกับอาการหายใจไม่ออกอยู่ดี
“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ” เขาโบกมือส่งยิ้มให้ แต่คราวนี้ผมรู้สึกแปลก ๆ กับรอยยิ้มนั้น ราวกับว่าเย้ยหยันอย่างไรอย่างนั้น
.
วูบ
.
“เฮือก!” แม้จะเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แต่ผมยังคงไม่ชินกับอาการหยุดหายใจนี่เสียที แม้ว่าจะไม่น่าเชื่อก็ตาม แต่ก็ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งและนาถยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตามภาพการเสียชีวิตของนาถเมื่อครู่ยังคงติดตาผมไม่หาย ครั้งนี้ผมจะไม่ทำให้นาถตกอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้ว
“วันนี้คุณอยู่บ้านเถอะนะครับ พรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอก็ได้” ผมกำข้อมือของเธอราวกับว่าไม่ต้องการให้ไปไหนด้วยใจที่ร้อนรุ่มและหวั่นกลัว
“แต่ว่านาถเลื่อนนัดมาแล้วสองครั้งนะคะ เห็นทีจะเกรงใจหมอที่ต้องมาถูกยกเลิกนัดอีกน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ครับ วันนี้คุณต้องอยู่บ้าน” ผมกำมือข้อมือเธอแน่นขึ้น
“แต่ว่านาถ-”
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ไง!” ผมรู้สึกตัวทันทีเมื่อรู้ว่าตนทำอะไรลงไป รีบคลายมือที่กำแน่นออกจากข้อมือของเธอทันที “เอ่อ คุณพักผ่อนที่บ้านเถอะนะครับ…ผมขอร้อง” ผมเอื้อมไปกุมข้อมือของเธออีกครั้ง แต่เธอกลับชักมือออก “ถ้าคุณว่าอย่างนั้น…ก็ได้ค่ะ”
นาถเบือนหน้าหนีและขึ้นไปห้องนอนพร้อมปิดประตูเสียงดังปัง ตั้งแต่ที่คบกันมาผมไม่เคยตะคอกและใช้ความรุนแรงใส่เธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้นึกถึงเรื่องที่นาถเคยเล่าให้เขาฟังว่า เธอโดนทำร้ายร่างกายจากพ่อเลี้ยงบ่อย ๆ นั่นทำให้เธอฝังใจและไม่อยากให้สามีในอนาคตเป็นแบบนั้น ซึ่งผมเสียใจกับสิ่งที่ทำมากขึ้นกว่าเดิม
ผมจำได้ว่าก่อนที่นาถเสีย เธออยากกินเลมอนพายฝีมือผม ทุกวันนี้ผมยังคงเสียใจที่ไม่ได้ทำให้เธอกิน แต่ตอนนี้คือโอกาสที่จะแก้ไขความผิดพลาดนั้น ผมตัดสินใจขับรถออกไปซื้อวัตถุดิบที่จดไว้เมื่อครู่ทันที
ครู่ใหญ่ ๆ ก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษใบใหญ่ที่มีวัตถุดิบอัดแน่นเต็มเปี่ยม เดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดีขัดกับสภาพอากาศอย่างสิ้นเชิง ก่อนทำอาหารผมอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกนี่ก่อน แต่เมื่อเปิดประตูผมก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนอยู่ที่ปลายบันได
“นาถ!” ผมรีบวิ่งไปประคองร่างที่ล้มอยู่ คอของเธอบิดผิดรูป คาดว่าเธอตกจากบันไดจนคอหักเสียชีวิต ผมร่ำไห้กอดร่างของภรรยา ได้แต่คิดว่ามันผิดพลาดตรงไหนกัน ทำไมถึงช่วยชีวิตเธอไม่ได้เสียที ทำไมเธอต้องตาย ทันใดนั้นความคิดที่หลั่งไหลออกมาก็ได้หยุดลงจากเสียงหล่นของโคมไฟดวงใหญ่ที่ตกใส่หัวผมอย่างแรง
“นะ…นาถ” ผมพูดชื่อเธอเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนจะสลบไป
.
วูบ
.
“เฮือก!” ความรู้สึกแปลกประหลาดเหมือนครั้งที่แล้วหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อกี้จำได้ว่าตัวเองสลบจากการทนพิษบาดแผลไม่ไหว แต่ตอนนี้ความเจ็บปวดนั้นหายไปหมดแล้ว ผมกลับมาอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งผมไม่ชอบทั้งสถานที่และคนคนนั้นเอาเสียเลย
คนโดนเกลียดปรากฏกายข้างหลังผมอีกครั้ง “ใช้เวลากับอดีตก็สนุกดีนะครับ” เจ้าของร้านนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์จ้องที่ผมแล้วยิ้มอย่างยียวนกวนประสาท
“แก..ทำอะไรกับนาถ”
“ผมไม่ได้ทำนะ คุณต่างหาก”
“แล้วทำไมรอบนี้นาถถึงตายได้ล่ะ!” ผมตะคอกเสียงดังด้วยความโมโห “ถ้าไม่ใช่แกแล้วใครจะทำวะ”
“คุณก็ลองนึกดูดี ๆ สิครับ” รอยยิ้มนั้นกลับมาอีกครั้ง “ว่าคุณ ‘ต้อง’ ทำอะไร”
ผมค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เจอตั้งแต่เข้ามาในร้านนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดผมก็คิดวิธีช่วยนาถขึ้นมาได้ ถึงจะเป็นวิธีที่เสี่ยงแต่เพื่อชีวิตใหม่ของเธอผมจะยอมทำทุกอย่าง
“คุณช่วยส่งผมไปที่นั่นอีกทีได้มั้ย” ผมมองตรงไปที่ใบหน้าของเขาอย่างแน่วแน่
“คุณต้องจ่ายเวลาชีวิตอีกครึ่งที่เหลือนะครับ คุณจะตายนะครับ จะไม่เป็นไรแน่เหรอ” เขาเอียงคอถามด้วยความสงสัย แต่ผมมองออก ว่านั่นเพียงเป็นการแกล้งทำเพื่อกวนประสาทผมมากกว่า
“จะอีกกี่ชาติก็เอาไปให้หมดเลย” ถึงจะเจอการกวนประสาทของเขามากขนาดไหน ผมก็ไม่สั่นไหวแม้แต่นิด
“คุณเนี่ยไม่มีอารมณ์ขันเลยนะครับ แต่ผมชอบลูกค้าแบบคุณนะ” ผมเดินไปที่นาฬิกาเรือนเดิมโดยไม่สนคำพูดจากเจ้าของร้าน
“ตกลง” ผมยืนอย่างมั่นคงพร้อมเปล่งคำพูดนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกกลัวและตื่นเต้นหายไปจนหมดสิ้น เวลาเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนมันหยุดอยู่ที่เที่ยงคืน แม้ผมเคยสงสัยว่าทำไมต้องหยุดอยู่ที่เที่ยงคืน แต่การช่วยนาถคือสิ่งที่สำคัญกว่าการตั้งคำถามไร้สาระนี้
อาการนั้นกลับมาอีกครั้งพร้อมกับหมอกควันสีดำ แต่ผมแปลกใจตัวเองที่ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย สีหน้าของผมเรียบเฉยกับอาการทรมาณนั่น ผมเหลือบไปเห็นเจ้าของร้านยิ้มอย่างสนุก
“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ” ผมและหมอกควันสีดำได้จางหายไป
.
วูบ
.
ณ สถานที่เดิม เวลาเดิม และผมผู้มีประสบการณ์ย้อนเวลาถึงสองครั้ง แต่ครั้งนี้ผมตั้งมั่นว่าจะไม่พลาดเหมือนกับครั้งก่อนและเดินตรงไปที่รถทันทีเมื่อรู้สึกตัวโดยไม่สนใจเสียงเรียกของนาถ
บรืน! บรืนนน ฝนที่ตกลงมาก็มิอาจกลบเสียงความเร่งรีบได้ ผมเหยียบคันเร่งจนสุด พยายามควบคุมรถยนต์ท่ามกลางถนนอันเปียกปอนพร้อมด้วยความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาก่อนจะย้อนเวลา ผมคิดว่าการที่นาถจะรอดชีวิตได้ อาจจะต้องมีตัวตายตัวแทนให้ตรงกับเวลาที่เธอเสียชีวิต ซึ่งเวลาที่ว่าคือหลังฝนตกประมาณ 3 นาที
ที่จริงผมสามารถฆาตกรรมใครสักคนก็ได้ แต่ผมสังเกตว่าการตายของนาถแต่ละครั้งมักเป็นอุบัติเหตุทั้งสิ้น เท่ากับว่าผมจะต้องพรากชีวิตโดยใช้อุบัติเหตุเท่านั้น แต่จะใช้คนอื่นให้ประสบอุบัติเหตุ ก็ไม่ได้การันตีว่าเหยื่อจะเสียชีวิต ณ เวลานั้นจริง ๆ ดังนั้นผมจึงวางแผนชนท้ายรถบรรทุกคันเดิมเพื่อให้การตายของผมกลายเป็นอุบัติเหตุ
ตอนนี้แหละ–
ตู้ม!!
เม็ดฝนกระจายทั่วฟ้า เมฆสีดำโอบกอดเมือง คุณสลักขับรถมาด้วยความเร็วสูง พุ่งชนเข้ากับท้ายรถบรรทุกขนเหล็ก ด้วยแรงชนและความประมาทของคนขับทำให้เชือกหลุดออก เหล็กเหล่านั้นไหลมาทับร่างของคุณสลักจนเสียชีวิต แต่อีกไม่ไกลกันนัก มีรถเก๋งสีดำประสบอุบัติเหตุพุ่งชนเข้าเขตก่อสร้าง ภายในมีคนอยู่สองคนคือ คนขับที่สลบจากศีรษะกระแทกบางอย่างและด้านหลังเขามีร่างของหญิงสาวตั้งครรภ์คนหนึ่ง เธอเสียชีวิตในสภาพคอหักน่าสยดสยอง เธอกำมือถือที่กำลังเปิดแอปพลิเคชันเรียกรถค้างอยู่ไว้แน่น
“ขอบคุณนะครับที่ให้ผมได้เพลิดเพลิน” ผมกล่าวกับศพของชายผู้โชคร้ายพร้อมหัวเราะเสียงดัง แม้จะหัวเราะดังแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ ราวกับว่าชายผู้นี้ไม่มีตัวตนอยู่ในโลก ใบหน้านี้ยิ้มอย่างสนุกสนานเหมือนกับเด็กขี้แกล้ง ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในซอยเปลี่ยวพร้อมกับแมวลายวัวตัวหนึ่ง