เมื่อเติบโตขึ้น ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไป เหมือนน้องสาวที่เคยน่ารักกลับดื้อขึ้นซะอย่างนั้น หรือนี่คือ...วัยต่อต้านของกระต่าย!!!

เขาว่ากันว่า กระต่ายน่ะเชื่อฟัง - 2 ติดต่อ โดย จิ้งจอกราตรีกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แฟนตาซี,วัยว้าวุ่น,ย้อนยุค,ตะวันตก,ครอบครัว,ฟีลกูด/feelgood,ฟีลกู๊ด,ชีวิตประจำวัน,ชีวิต ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เขาว่ากันว่า กระต่ายน่ะเชื่อฟัง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แฟนตาซี,วัยว้าวุ่น,ย้อนยุค,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ครอบครัว,ฟีลกูด/feelgood,ฟีลกู๊ด,ชีวิตประจำวัน,ชีวิต

รายละเอียด

เขาว่ากันว่า กระต่ายน่ะเชื่อฟัง โดย จิ้งจอกราตรีกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อเติบโตขึ้น ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไป เหมือนน้องสาวที่เคยน่ารักกลับดื้อขึ้นซะอย่างนั้น หรือนี่คือ...วัยต่อต้านของกระต่าย!!!

ผู้แต่ง

จิ้งจอกราตรีกาล

เรื่องย่อ

มนุษย์ไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวบนโลกใบนี้ มีทั้งเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่าอย่างแวร์บีส เผ่าพันธุ์นักรบผู้ทรงพลังที่สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายได้ตามใจปรารถนา เอลฟ์ผู้เพียบพร้อมด้วยเวทมนตร์และอายุยืนยาว คนแคระผู้ชำนาญงานช่าง หรือกระทั่งสัตว์อสูรที่แม้จะดุร้าย แต่ก็มีอารยธรรมและดินแดนเป็นของตนเอง ทุกเผ่าพันธุ์ต่างอยู่ร่วมกันบนโลกนี้ภายใต้กฎเกณฑ์และข้อตกลงที่วางไว้

แต่ขณะเดียวกัน ในความสงบสุขของทุกเผ่าพันธุ์ ก็มีกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีที่ยืนในสังคม พวกเขาถูกปฏิเสธจากทั้งสองฝ่าย ไม่เป็นที่ยอมรับจากทั้งสองเผ่าพันธุ์ผู้ให้กำเนิด

เดมี่...สิ่งมีชีวิตลูกครึ่งระหว่างแวร์บีสและมนุษย์ ไม่ใช่ทั้งแวร์บีสหรือมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ในความก้ำกึ่ง พลังที่มีในตัวเป็นเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะลุกโชนหรือมอดดับ แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่อาจรู้ว่าพลังจะแสดงออกมาในรูปแบบใด

การเกิดมาของเดมี่คือความผิดพลาดของธรรมชาติ เป็นการท้าทายกฎเกณฑ์ของโลก ต่อให้ถูกขับไล่จากดินแดน ถูกล่าจนต้องหลบซ่อนตัว หรือถูกฆ่าตายอย่างทารุณ ก็ไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องผิด

"ก็มันช่วยไม่ได้ ในเมื่อเกิดมาเป็นเดมี่เองนี่นะ"

 

 

.....................

 

เปิดบทนำของนิยายอย่างเป็นทางการค่ะ!!!

นิยายเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซี อบอุ่นหัวใจเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องพี่น้องต่างสายเลือดที่ต้องเผชิญเรื่องราวบางอย่างเพื่อให้ทั้งคู่ได้เติบโต ฟังดูดีใช่ไหมคะ

แต่อยากบอกว่า คนพี่เป็นจิ้งจอก และคนน้องเป็นกระต่ายค่ะ (หัวเราะ)

ต้องมีรี้ดหลายคนคิดแน่นอนละ ว่าจิ้งจอกกำลังขุนกระต่ายใช่ไหม

วีรา (จิ้งจอกตัวที่ว่า) : ใช่ค่ะ กระต่ายต้องอ้วนกว่านี้

คีน่า (กระต่ายตัวที่ว่า) : ...//หูลู่ มองวีด้วยสายตาปริบ ๆ

 

แค็ก ขอเล่าเพิ่มเติมงับ

เรื่องนี้มีนักเขียน 2 คน เป็นนิยายคู่พี่น้องกันค่ะ

- เขาว่ากันว่า จิ้งจอกน่ะ เจ้าเล่ห์ โดย คุณกระต่ายหลงทาง #จิ้งจอกไม่เจ้าเล่ห์ //อันนี้เราขอเถียงสุดใจ จิ้งจอกน่ารักจะตุย เจ้าเล่ห์ตรงไหน!!!

- เขาว่ากันว่า กระต่ายน่ะ เชื่อฟัง โดยจิ้งจอกราตรีกาล #กระต่ายไม่เชื่อฟัง //ยิ่งโตยิ่งดื้อ แง้

 

ฝากติดตามทั้ง 2 เรื่องด้วยนะคะ (จิ้งจอกไม่เจ้าเล่ห์ สามารถจิ้มชื่อเรื่องได้เลยค่ะ)

สารบัญ

เขาว่ากันว่า กระต่ายน่ะเชื่อฟัง-0 บทนำ,เขาว่ากันว่า กระต่ายน่ะเชื่อฟัง-1 หมู่บ้านเดมี่,เขาว่ากันว่า กระต่ายน่ะเชื่อฟัง-2 ติดต่อ

เนื้อหา

2 ติดต่อ

หลังรับอาหารเช้าเสร็จ สองสาวก็ออกมาจากบ้านไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เล็ก ๆ วีราต้องทำงาน ส่วนคีน่าวางแผนไว้ว่าจะไปเรียนทำขนมที่โรงเรียนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แสงแดดอ่อน ๆ ของเช้าวันใหม่ทอประกายกระทบกับหยดน้ำค้างบนใบไม้สีเขียวสด

วีราเป็นจิ้งจอกซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อก็จริง แต่เธอชอบของหวานมาก ๆ ดังนั้นคีน่าเลยอยากทำเค้กก้อนใหญ่ ๆ อร่อย ๆ ให้พี่สาวผู้ทำงานจนตัวเป็นเกลียวสักหน่อย ไว้หลังจากที่พี่กลับมาจะได้กินของโปรดและพักผ่อนอย่างมีความสุข

กระต่ายน้อยในชุดกระโปรงพร้อมเสื้อคลุมสีขาวคิดถึงก้อนเค้กสามชั้นโรยน้ำตาลเยอะ ๆ หน้าตาน่ารับประทาน เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ และพี่สาวคนสวยที่กินเค้กฝีมือเธออย่างมีความสุขก็เผยยิ้มออกมา แก้มขาวนวลขึ้นสีระเรื่อแล้วกึ่งเดินกึ่งกระโดดเดินตามหลังพี่อย่างร่าเริง หูกระต่ายยาวสีชมพูอ่อนกระดิกดุ๊กดิ๊กอย่างน่าเอ็นดู ลมเย็น ๆ พัดให้ขนฟู ๆ ของเธอพลิ้วไหวเบา ๆ

"อารมณ์ดีจังนะกระต่ายน้อยของพี่" วีราเอ่ยทักยิ้ม ๆ เผยเขี้ยวเล็กๆ สีขาว ดวงตารีสีม่วงเข้มเห็นหูกระต่ายกระดิกไปกระดิกมาก็รู้สึกอยากเข้าไปงับเล่นเหลือเกิน มือเรียวสวยกำลังยกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่ต้องห้ามใจไว้ก่อนที่น้องจะตกใจ

แต่กระต่ายน้อยตัวนุ่ม ๆ ขนฟู ๆ สีขาวอมชมพูมันน่าจับฟัดจริง ๆ นะ เหมือนตุ๊กตาขนนุ่มที่พร้อมให้กอด

จิ้งจอกสาวคิดแล้วยิ้มจนเห็นเขี้ยว พวงหางสีทองพลิ้วไหวเป็นจังหวะตามอารมณ์

"ก็วันนี้อากาศดีนี่คะ" คีน่าตอบแล้วเข้ามาควงแขนอ้อนพี่สาว แก้มนุ่มนิ่มสีขาวอมชมพูแนบกับต้นแขนของวีรา ดวงตากลมโตสีชมพูประกายวิบวับเหมือนอัญมณี "พี่ไปส่งคีที่โรงเรียนหน่อยได้ไหมคะ" เสียงใสขอร้องน่ารัก

"เอาสิ แต่พี่คงคุยงานไปด้วยนะ น้องโอเคไหม" จิ้งจอกสาวลูบหัวน้องเบา ๆ ด้วยมือเรียว นิ้วยาวสัมผัสขนนุ่มอย่างทะนุถนอม

"ไม่มีปัญหาค่ะ" คีน่ายิ้มอย่างดีใจจนตาหยี แล้วเอาหน้าถูไถแขนเรียวเนียนของคนพี่อย่างออดอ้อน จิ้งจอกจึงก้มมาฟัดกระต่ายอย่างมันเขี้ยว จมูกชมพูเล็ก ๆ แนบกับใบหน้านุ่มนิ่ม เรียกเสียงหัวเราะสดใสจากคนน้องดังกังวานไปตามถนนปูหินที่ทอดยาว

"อ้อนใหญ่เลยนะคุณหนูคี" เสียงง่วง ๆ ทุ้มต่ำเอ่ยทัก คีน่าหันไปมองก็เห็นกริมม์ นกฮูกร่างสูงใหญ่ในชุดทางการสีน้ำตาลเข้ม ผู้เป็นรองหัวหน้าหมู่บ้านกำลังยืนง่วงจนเผลอแทะเอกสารในมือจนมันชุ่มน้ำลาย ดวงตาโหล ๆ ดำคล้ำทั้งสองวงกำลังจ้องมายังพวกเธอพี่น้อง ขนตาหนาตกลงครึ่งหนึ่งเหนือดวงตาทำให้เห็นดวงตาสีเหลืองทองของเขาแค่ครึ่งเดียว ท่าทางจะหลับแหล่มิหลับแหล่พร้อมล้มลงไปเข้าสู่ห้วงฝันได้ทุกเมื่อ

คีน่าเห็นสภาพหัวฟูของอีกฝ่ายแล้วอดยิ้มไม่ได้ เธอกอดเอวอวดพี่อัดหน้าซะเลย

"โธ่ ก็มีพี่ให้อ้อนนี่ เนอะพี่วี" วีรายิ้ม รอยบุ๋มเล็ก ๆ ปรากฏที่แก้ม ไม่ตอบอะไรนอกจากก้มลงจุ๊บหัวน้องสาวเบา ๆ แตะริมฝีปากลงบนขนนุ่มระหว่างหูทั้งสอง พวงหางสีทองแกว่งไปมาบ่งบอกว่าเธออารมณ์ดีสุด ๆ กริมม์เห็นแล้วกลอกตาด้วยความรู้สึกแสลงแปลก ๆ ขนคอลุกซู่ ดูยังไงนกฮูกก็รู้สึกเหมือนจิ้งจอกกำลังขุนกระต่ายให้อ้วน ๆ ก่อนจับกิน ปีกใหญ่กระพือเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด

แค่เห็นแล้วคันลูกตา ไม่ได้อิจฉานะ บอกก่อน!

"เนี่ยกริมม์ดูซิ พี่วีทั้งสวยทั้งนุ่มนิ่ม..." คีน่าเอ่ยเสียงใสพลางลูบแขนพี่สาว

"จ้า แม่คนติดพี่" เขาเอ่ยแซวเสียงขรึมแล้วยื่นเอกสารชุ่มน้ำลายให้จิ้งจอก รอยฉีกขาดเล็กๆ ปรากฏบนกระดาษ แต่วีราแค่ปรายตามองก่อนเอ่ยเนิบ ๆ เสียงนุ่มแต่มีอำนาจ

"เดินคุยระหว่างส่งคีน่าไปเรียนเถอะ" เธอกล่าวพลางก้าวเดินไปบนถนนปูหินที่ทอดยาวระหว่างแถวต้นไม้ใหญ่

"ได้ งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน" กริมม์เกริ่นก่อนที่ท่าทางง่วง ๆ นั่นจะเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น ดวงตาสีเหลืองฉายแววตื่นตัว ปีกใหญ่พับเข้าหาลำตัว

เสียงทุ้มของกริมม์พูดไม่หยุด คีน่าเดินกอดแขนวีราพลางฟังรายงานที่ยาวเป็นหางว่าวก็รู้สึกท้อใจแปลก ๆ หูยาวลู่ลงเล็กน้อย เพราะเรื่องที่รายงานมันมีตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างลูกชายเดมี่แพะเล่นซนจนพังรั้วเพื่อนบ้านไปจนถึงปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ที่รุนแรงจนถึงกับมีการฟ้องร้อง แน่นอนว่าเรื่องฟ้องร้องก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องถึงมือวีราอยู่แล้ว ดวงตาสีม่วงถึงกับฉายแววเหนื่อยหน่ายออกมา รอยย่นเล็ก ๆ ปรากฏระหว่างคิ้วเรียว

คีน่าฟังทั้งสองถกปัญหาแต่ละอย่างและวิธีการแก้ไขเบื้องต้นก็รู้สึกหมดแรงแล้ว ขาเล็ก ๆ ก้าวเดินช้าลง นี่แค่ฟังนะ ถ้าลงมือคิดเองทำเองจะหมดแรงขนาดไหนคงไม่ต้องพูดถึง แถมบางเรื่องยังเป็นแค่การแก้ไขเบื้องต้น ถ้าไกล่เกลี่ยไม่ลงตัว...แค่คิดคีน่าก็เวียนหัวแล้ว มือเล็กบีบแขนพี่สาวเบา ๆ ด้วยความเห็นใจ

เมื่อเหลือบมองนกฮูกที่ยังขยับปากพูดไม่หยุด จู่ ๆ กระต่ายน้อยก็อดนับถือกริมม์ขึ้นมาไม่ได้

คีน่าคิดขณะมองนกฮูกตัวใหญ่ที่กำลังพูดคุยกับพี่สาวอย่างจริงจัง ถึงอีกฝ่ายจะทำตัวเหมือนง่วงตลอดเวลา ขนสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงราวกับไม่เคยหวีและรอยคล้ำใต้ตาสีเหลืองคู่นั้นเด่นชัดจากการอดหลับอดนอนเพราะงาน แต่สมองเขาทำงานไวและแม่นยำแม้ร่างกายจะดูเหนื่อยล้าเขาก็ทำงานได้ดีจนพี่วียอมรับ ถึงขนาดแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าหมู่บ้านเลยทีเดียว

เรียกว่าทั้งคู่เป็นคู่หูบ้างานที่ขยันสุด ๆ วีราหิ้วแฟ้มเอกสารไปทั่ว กริมม์แบกเอกสารเป็นกอง ถ้าสักวันทั้งคู่พลีชีพคากองเอกสารคงไม่มีใครแปลกใจ

ดวงตาสีชมพูเหลือบมองพี่สลับกับกริมม์ที่ยังคงถกเถียงกันไม่เลิก ปากปีกนกฮูกขมุบขมิบไม่หยุดขณะที่จิ้งจอกฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งชี้นิ้วเรียวลงบนกระดาษ จนสุดท้ายคนพี่เลยบอกว่าให้เอาปัญหานี้ไปแก้ทีหลังแล้วเริ่มถกปัญหาเรื่องใหม่แทน มือเรียวของวีราปัดปอยผมทองที่ตกลงมาปรกหน้าออกด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย ยิ่งฟังหูกระต่ายยิ่งลู่ลงด้วยความมึน ปลายหูแตะกับแผ่นหลังเล็ก ส่วนคนทำงานทั้งสองก็ยังคงคุยกันอย่างเมามัน แววตาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น

"เรื่องต่อไปคือเรื่องเสบียงหน้าหนาวในปีนี้" กริมม์เริ่มประเด็นใหม่ เสียงทุ้มดังชัดขึ้นเล็กน้อย "ร้านค้าในเมืองมนุษย์ของเราถูกแวร์บีสกลั่นแกล้งจนรวบรวมไม่ถึงเป้า" ปีกสีน้ำตาลเข้มกระพือเบา ๆ ด้วยความกังวล "ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเสบียงและข้าวของเครื่องใช้เราขาดแคลนแน่และต่อให้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ เราก็อาจจะไม่มีสินค้าที่จะนำไปขายในปีหน้า ฉันคิดว่าปัญหานี้เราควรติดต่อกับร้านค้าโดยตรงน่าจะดีกว่า" เขาเสนอขณะพลิกดูบันทึกในมือที่เปียกชื้นด้วยน้ำลาย

"อืม งั้นฉันอาจจะต้องเดินทางเข้าเมืองมนุษย์สินะ" วีราพึมพำ นิ้วเรียวแตะที่คางอย่างใช้ความคิด ดวงตาสีม่วงหรี่ลงอย่างอันตราย เหมือนสัตว์นักล่าที่กำลังวางแผนจับเหยื่อ หางสีทองนิ่งสนิท เสียงเรียบเย็นแต่แฝงด้วยความเด็ดขาดเอ่ยขึ้น "ยังไงฉันก็ต้องไปดูแลเดมี่ที่ถูกมอบหมายในด้านการค้าขายด้วยล่ะนะ"

ได้ยินแบบนั้นหูกระต่ายของคีน่าก็กระดิก ตั้งขึ้นตรงอย่างตั้งใจฟัง ดวงตาสีชมพูจ้องพี่สาวอย่างไม่วางตา แก้มป่องขึ้นเล็กน้อยด้วยความกังวล

"คงจะอย่างนั้น แล้วเอ่อ...เธอจะไปเจรจากับพวกแวร์บีสไหม" กริมม์เอ่ยถามเบา ๆ อย่างกังวล ปีกใหญ่พับเก็บแนบลำตัว ขนคอตั้งขึ้นเล็กน้อย

แม้ตอนนี้เดมี่จะมีหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่พึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์และแวร์บีสจะยอมรับพวกเขาขนาดนั้น ถึงจะมีพวกที่เห็นใจและพวกที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ความเกลียดชังที่ฝังรากลึกก็ยังทำให้มีเส้นแบ่งระหว่างพวกเขาอยู่ดี ยิ่งกับพวกหัวรุนแรงที่เห็นเดมี่ก็พร้อมจะเข้ามารังแกพวกนี้รู้จักการเจรจาที่ไหนกัน

"ถ้าทางนั้นหนักข้อมาก ๆ ฉันก็ต้องลงไปจัดการสิ" วีราเชิดหน้าเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายอำมหิต หางสีทองแกว่งไปมาด้วยอารมณ์ "ยังไงซะเดมี่เหล่านั้นก็อยู่ในการดูแลของฉัน ถ้าฉันไม่ปกป้องคนของฉัน ใครจะทำล่ะ" ก่อนที่ประโยคหลังจะอ่อนเสียงลง นัยน์ตาสีม่วงมองนกฮูกอย่างจริงจัง "เพราะแบบนั้น ฉันอาจจะไม่อยู่สักอาทิตย์ เธอจะดูแลบ้านเราไหวไหมกริมม์"

นกฮูกเม้มปากเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ขมวดคิ้วเป็นปมใต้ขนยุ่งเหยิง ดวงตาสีเหลืองกลอกไปมาอย่างคิดหนัก เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าหนักแน่นก่อนจะเอ่ยเบา ๆ "จะพยายามให้ดีที่สุดแล้วกันนะ"

คีน่าที่เกาะแขนพี่สาวอยู่ก็นึกในใจ มือเล็กบีบแขนพี่แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

'พี่จะไปเมืองมนุษย์เหรอ แบบนั้นคีน่าก็ต้องอยู่คนเดียวสิ' ความหวาดกลัวและความกังวลทั้งหมดสะท้อนออกมาทางท่าทางและดวงตา ดวงตากลมโตสีชมพูเริ่มฉ่ำด้วยน้ำตา ริมฝีปากบางสั่นเล็กน้อย

'คนเดียว' เป็นอะไรที่น่ากลัวมากสำหรับคีน่า เหมือนว่าช่วงเวลาที่เธอถูกทิ้งไว้กลางป่าในคืนนั้นจะหวนกลับมาอีกครั้ง ความมืดรอบตัว เสียงสัตว์ป่า ความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ากระดูก ความหวาดกลัวในตอนนั้นทำให้ร่างเล็กสั่นเบา ๆ เนื้อตัวเย็นยะเยือก แม้จะผ่านมาเป็น 10 ปีแล้วแต่มันก็ยังคงเป็นความทรงจำที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของเธอ เรียกว่าเป็นฝันร้ายที่กระต่ายน้อยไม่อยากนึกถึงอีกเลย

คีน่าซึมลงนิดหน่อย หูทั้งสองลู่ลงแนบศีรษะ สีหน้าหม่นหมอง แต่จิ้งจอกกลับมีญาณทิพย์ รับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของน้อง จึงยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีชมพูเบา ๆ นิ้วเรียวไล้ไปตามเส้นผมและหูนุ่มนิ่ม

เมื่อเงยหน้ามองพี่ เห็นดวงตาสีม่วงมองมาอย่างปลอบโยน ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่ แก้มเธอถูกลูบเบา ๆ ด้วยหลังนิ้วเรียวของจิ้งจอก ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อมองวีราความกลัวในใจของคีน่าก็หายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน ไออุ่นจากมือพี่สาวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใบหน้าและหัวใจ

เพราะเธอไม่ได้อยู่คนเดียวนี่นะ...ตอนนี้เธอมีพี่วี มีหมู่บ้านเดมี่แห่งนี้

"หนูไม่เป็นไร" คีน่ากระซิบเบา ๆ เสียงสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มบาง

เธอไม่เป็นไร เพราะยังมีพี่วีอยู่ พี่สาวจิ้งจอกคนนี้ จะไม่มีวันทิ้งเธอแน่นอน ต่อให้ท้องฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีพี่วีคอยปกป้องดูแลให้เธอปลอดภัย ดวงตาสีม่วงคู่นั้นมักจะมองเธอด้วยความรักและปกป้องเสมอ ตั้งแต่ที่เจอกันจนถึงวันนี้มันไม่เคยปลี่ยน

ไม่ใช่แค่กับคีน่าซึ่งเป็นน้อง แต่รวมถึงเดมี่ทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การดูแลของวีราก็คิดแบบนี้

เธอเชื่อแบบนั้น และมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ความมั่นใจเริ่มกลับมาอีกครั้ง หูกระต่ายตั้งขึ้นตามความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น

หลังเดินมาสักพักก็มาถึงบ้านไม้ขนาดใหญ่ที่มีถึงสามชั้น หลังคาสีน้ำตาลแดงตัดกับผนังสีครีมอ่อน หน้าต่างบานใหญ่เรียงรายโดยรอบ ที่อยู่ตรงหน้านี้คือโรงเรียน ลานกว้างด้านหน้ามีเดมี่เด็กหลากหลายชนิดวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังแว่วมาถึงพวกเขา

โรงเรียนแห่งนี้ฝึกสอนเดมี่เด็กแต่ 6-7 ขวบให้อ่านออกเขียนได้และพื้นฐานการใช้ชีวิต เดมี่เด็กหลายคนเป็นเหมือนคีน่าในวัยเด็ก ถูกกักขังและทอดทิ้งให้ตายอย่างโดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล เมื่อมาถึงหมู่บ้านเดมี่พวกเขาจึงไม่รู้อะไรเลยนอกจากการพูดจา บางคนยังหวาดกลัวผู้คนและซุกตัวอยู่ตามมุมห้อง

เมื่อเรียนจนอายุครบ 13 ปีก็ถือว่าจบการศึกษาระดับพื้นฐาน ถ้าใครอยากเรียนต่อหรือสนใจวิชาเฉพาะก็มาเรียนระดับสูงได้ สำหรับเดมี่ที่เรียนจบแต่อายุเกินเล็กน้อยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร วีราค่อนข้างให้ความสำคัญกับการศึกษาของสมาชิกในหมู่บ้าน ดวงตาสีม่วงมักจะสอดส่องดูแลความเป็นอยู่ของทุกคนเสมอ หลายคนที่ไม่รู้จะต้องจัดการกับชีวิตของตัวเองยังไงก็สามารถไปขอคำปรึกษาจากวีราหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายได้ ประตูบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเปิดรับเสมอสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

แต่บางวิชาเช่น ทำขนม ทำอาหาร ก็สามารถลงเรียนเป็นคอร์สระยะสั้นหรือเรียนตัวต่อตัวได้ อย่างที่คีน่าจะมาเรียนทำขนมในวันนี้ กลิ่นหอมของขนมอบแว่วมาจากห้องครัวด้านหลังอาคาร แน่นอนว่าเธอต้องดูก่อนว่ามีอาจารย์ว่างหรือเปล่า ถ้าไม่ว่างก็สามารถนัดเรียนในเวลาอื่นก็ได้ตามแต่ที่จะตกลงกัน ดวงตาสีชมพูเป็นประกายเมื่อนึกถึงเค้กหอมกรุ่นที่จะได้ทำในวันนี้

ส่วนวิชายาก ๆ ที่อาจจะมีอันตรายอย่างวิชาหมอ สมุนไพร ปรุงยาหรือเวทมนตร์ระดับสูง วิชานี้ผู้เรียนต้องจบระดับสูงและเรียนกับอาจารย์อีกอย่างน้อยสองปีรวมถึงปฏิบัติงานจริงก่อนจะมีสิทธิ์สอบใบประกาศรับรอง ซึ่งจะต้องยื่นขอสอบกับแม่ใหญ่และคณะผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ อย่างน้อย 2 คน ทุกคนจะสวมชุดทางการสีดำขลับ บรรยากาศจะเคร่งขรึมและน่ากลัว

อันนี้พี่วีเป็นคนพิจารณาและทดสอบเองรายบุคคล คีน่าอยากเล่าว่ามีคนกลัวพี่วีจนร้องไห้สติเตลิดหนีไปกลางห้องสอบด้วย! ดวงตาสีม่วงที่มองด้วยความเย็นชาและคำถามที่คมคายจนเหมือนมีด ทำเอาหลายคนเข่าอ่อนถึงกับหมดสติ

เมื่อมาถึงทางเข้าคีน่าก็ทำท่าทางออดอ้อนพี่เล็กน้อยอย่างอาวรณ์ ร่างเล็ก ๆ โยกไปมา ขนฟู ๆ ไหวตามการเคลื่อนไหว เหมือนเด็กน้อยที่ไม่อยากห่างจากพี่สาวแต่สุดท้ายก็พูดลาออกมา

"เรียนเสร็จแล้วน้องจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดนะคะ อาจจะกลับบ้านเย็น ๆ เลย พี่ไม่ต้องห่วงน้องนะคะ" คีน่ากอดลาพี่สาว แก้มนุ่มแนบกับอกอุ่นของวีรา ซึ่งจิ้งจอกก็กอดน้องกลับแน่น ๆ มือเรียวลูบหลังเล็กอย่างอ่อนโยน ก่อนจะส่งน้องไปเรียนด้วยสายตา คีน่าหันมาโบกมือลาอีกครั้งที่ประตูก่อนจะปิดลง จิ้งจอกจึงหันกลับมาหาเจ้านกฮูก ใบหน้าเปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นจริงจังในทันที

"เอาล่ะกริมม์ เราไปทำงานกันต่อเถอะ" เสียงเรียบเข้มแข็งกลับมาอีกครั้ง วีราก้าวเดินนำอย่างมั่นคง หางสีทองแกว่งเป็นจังหวะตามการก้าวเดิน กริมม์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินตามไป ปีกใหญ่กางออกสะบัดเบา ๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุน