‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
หลายๆ จุดไม่ได้เฉลย เป็นปลายเปิด เหมาะกับคนหานิยายแนวขบคิดอ่าน
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
เสียงซุบซิบระหว่างแขกที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่แว่วดังเข้าหู ทั้งคำกล่าวชื่นชมนักแสดง ไอดอล หรือแม้กระทั่งรีบรุดตัวไปขอลายเซ็นกันอย่างไม่เหนียมอาย โดยเฉพาะสายตาแทะโลมของหญิงสาวผู้แต่งตัวดูภูมิฐาน เดรสสีขาวเนื้อดีและมีขนมิ่งคลุมไหล่ที่ส่งไปยังนัทสึมิยิ่งทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี
“ไปกันเถอะ”
ว่าพลางเดินนำไนน์ที่แอบหันมองเหตุการณ์ด้วยความเป็นห่วง แต่เพราะคนมีอำนาจไม่ได้ว่าอะไรจึงไม่ได้คิดจะกลับไปจัดแจงความเรียบร้อยด้วยเช่นกัน ร่างผอมเดินผ่านกลุ่มหญิงสาวสองกลุ่ม แต่กลับไม่มีทีท่าว่าพวกเธอจะรู้จักอะไรเขาแม้แต่หางตา หนำซ้ำยังพากันกระซิบกระซาบและเตรียมเปิดกล้องทิ้งไว้ ราวกับตั้งใจจะเดินไปขอเซลฟี่กับเหล่านักแสดง
“เออนี่ กูเอาของไปวางห้องมึงได้ไหม?” เรมี่ถามขึ้น ทั้งยังกดปุ่มจากจอ smart display เพื่อเลือกชั้นลิฟต์ ด้านในมีกระจกรอบด้านทั้งสี่ทิศ พื้นถูกปูด้วยพรมแดง และประตูที่เลื่อนเปิดปิดแบบธรรมดา
“ทำไมอะ? ห้องมึงมีอะไร?”
“เอาเถอะน่า...”
ลิฟต์จอดที่ชั้น 5 โดยทีเด็กผู้ชายอายุราวๆ 12 ปีในชุดเสื้อยืดสีขาว ลายจานบินสีเขียวตรงกลางอก ไว้ผมซอยสั้นสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาด้านใน และทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง ความเงียบก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง
“อะ...คุณเรมี่เหรอครับ?”
เด็กน้อยถามขึ้นหลังจากไล่สายตามองคนที่ยืนพิงกระจกเงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่
“ครับ น้องรู้จักพี่ด้วย?”
“รู้สิ พี่เป็นศิลปินแห่งชาติเลยนะ ผมพึ่งทำรายงานเกี่ยวกับพี่ไปหยกๆ”
เรมี่เบิกตาโพลน เขารีบกลับมายืนตรงแล้วจับไหล่สองข้างของเด็กน้อยไว้
“ทำข้อมูลลึกแค่ไหน?”
“ครับ? ก็...ตามที่เซิร์ชได้ในอินเทอร์เน็ต”
ผู้กำกับหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลับตาลงคล้ายปลอบประโลมตนเอง ไม่นานก็พูดต่อด้วยท่าทีปกติเช่นเดิม
“อื้อ เอาลายเซ็นไหม?”
“ได้ครับ ขอบคุณนะครับ”
เด็กน้อยเอี้ยวตัวไปหยิบบางอย่างในกระเป๋า มันดูเหมือนกรอบสี่เหลี่ยมสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ ก่อนที่จะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นแท็บเล็ตขนาดเท่าสมุดโน้ต
“เห ยังใช้ Tablet กันอยู่แหะ”
เรมี่ลอบยิ้มมุมปาก แล้วเซ็นลงบนหน้าจอของเด็กน้อย ก่อนที่ลิฟต์จะเปิดอีกครั้งที่ชั้น 28 เสียงดังติ้ง เป็นเหมือนสัญญาณสากลที่รู้โดยทั่ว
“อะ ผมต้องลงชั้นนี้ครับ”
“เสร็จพอดีเลย”
เขายื่นอุปกรณ์กลับไปให้ผู้เป็นเจ้าของ ดวงตาก็มองตามร่างของเด็กน้อยที่วิ่งตรงออกไป เขาโบกมือให้สองสามครั้ง ทว่ามีแวบหนึ่งที่ประตูลิฟต์ปิดลงที่เขาสังเกตเห็นเงาของใครสักคนที่ยืนอยู่บริเวณสุดทางเดินที่เด็กน้อยกำลังวิ่งไปหา แต่ครั้นจะสำรวจให้ดีประตูลิฟต์เจ้ากรรมก็ดันปิดสนิทแล้ว
“กูว่ามันแปลกๆ ...” เขาหรี่ตามองพลางขยี้ตาตัวเองอีกหน
“ไรมึง?” ไนน์หันมาถามด้วยดวงตาเหนื่อยหน่าย
“ที่นี่ออกแบบให้เป็นทรงวงกลม ทำไมทางเดินเมื่อกี้เป็นทางตรง.......................”
“กูว่ามึงหลอน” ไนน์ยังคงยืนกราน
“เมื่อกี้มึงไม่ได้มอง?” เรมี่เลิกคิ้วทันทีที่ได้ยิน
“ใช่ มัวแต่เปลี่ยนเพลงเมื่อกี้” เขาชี้ไปที่หูฟังตนเอง และหน้าจอ smart display ที่มีลิสต์เพลงปรากฎอยู่
ทันทีที่ลิฟต์จอดที่ชั้น 33 เรมี่กับไนน์ก็พากันเข้าไปเก็บกระเป๋าในห้อง ตามด้วยทีมงานคนอื่นๆ ที่โดยสารลิฟต์ตัวอื่นตามมาด้วยเช่นเดียวกัน ที่นี่ถูกออกแบบให้คล้ายโดนัทสองวงซ้อนกัน มีห้องส่วนรอบนอกและวงใน ซึ่งมีระเบียงที่โค้งบรรจบกันเป็นวงกลมและโหว่ตรงกลางหากมองลงมาก็จะเจอน้ำพุที่ตรงล็อบบี้ชั้น 1
ห้องในรัศมีวงใน จะไม่มีหน้าต่างแต่ราคาค่อนข้างสูงเพราะมีเฟอร์นิเจอร์ที่ล้ำสมัยไม่ต่างจากเมืองกรุง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลายๆ คอนโดมิเนียมในย่านดังอย่างอโศกเองก็มักนิยมแบบไม่มีหน้าต่างเพื่อกันมลพิษ เขาชะโงกหน้าออกมาริมระเบียง มองหากลุ่มทีมงานที่เริ่มทยอยเข้าห้องพักกันทีละคน รวมถึงคิริโนะ นัทสึมิที่หายไปจากทัศนวิสัยเสียแล้ว ทอดสายตามองสักพัก ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นร่างปริศนาที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างใหญ่ ผมเผ้ายาวรุงรังจนปกคลุมไปทั่วใบหน้า เสื้อผ้าเดรสสีกระสอบทรายสีมองคล้ำ มีรอยกระด้ำกระด่างบางจุด เนื้อตัวมอมแมมคล้ายขนมปังขึ้นรา
“เฮือก!”
“ไรมึง?” ไนน์หันมาถามคนที่สะดุ้งโหยงจนถอยหลังกรูด ทำเอาเขาที่กำลังรอให้ระบบประตูอัตโนมัติเปิดออกต้องเสียสูญไม่แพ้กัน
“เออ มึงไหว้เจ้าที่ยัง จะมาถ่ายทำอะ?”
ไนน์ถาม พลางตรวจสอบสภาพแวดล้อมในห้องสูทสีขาวด้านหน้า บนกำแพงห้องมีลายพาดตรงกลางสีแดง ซึ่งมีลวดลายสีทองซึ่งน่าจะเป็นภาพวาดที่คัดลอกมาจากพวกวรรณคดีต่างๆ โรงแรมแห่งนี้ไม่มีเตียงแคปซูล จะเป็นเตียงนุ่มสีขาวสะอาดตา และโคมไฟแบบวินเทจที่เรียกว่าโคมผัด โคมทรงกลมที่แกนชั้นในจะมีลวดลายเป็นเงาสัตว์ต่างๆ หากมองออกไปด้านนอกหน้าต่างก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขา มองลงไปด้านล่างก็จะเจอจุดขี่ช้างและตลาดนัดโต้รุ่งที่แทบจะเปิด 24 ชั่วโมง
“เฮ้อ ไม่ได้ถ่ายหนังผี ไม่ต้องหรอก”
เรมี่สวนพร้อมกับสไลด์กระเป๋าเข้าไปใต้โต๊ะทำงานข้างตู้เย็นที่ฝังติดกำแพงที่หน้าตาเหมือนตู้ขายน้ำอัตโนมัติมากกว่า
“มึงนิ...”
ผู้กำกับศิลป์เริ่มขมวดคิ้ว ริมฝีปากเบ้เบะ
“ถ่ายนอกสถานที่มาตั้งเยอะ ไม่เป็นไรหรอก”
“แค่ไหว้ยังขี้เกียจ สมัยก่อนต้องบวงสรวงเลยนะ”
“เหรอ ดีนะ ไม่ได้เกิดมาในสมัยก่อน”
เขาประชดประชัน พลางเดินอาดๆ ไปจิ้มปุ่มเปิดตู้เย็น เลือกเมนูที่พอใจ รอสักครึ่งนาทีก็ได้กาแฟเย็นมาดื่ม
เสียงจิ้มปุ่มดังติ๊กๆ ไม่นานกระเป๋าสีขาวของเรมี่ก็เปิดอ้าออก เผยให้เห็นกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดแยกเอาไว้ ซึ่งระบุเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่เกาะนิชิซาว่า โดยเบื้องใต้มีปึกกระดาษหนาประมาณ 4 มิลลิเมตรซ้อนทับกัน
“บางที กูก็คิดนะว่ากูทำอะไรอยู่...”
“หืม?” ไนน์หันมามองพลางเลิกคิ้วใส่อีกคน
“ไอดอลนี่ดีจังเลยเนอะ คนไหนที่ถูกรักก็ราวกับเป็นพระเจ้า ส่วนคนไหนที่ไปไม่ถึงฝันก็กลายเป็นหินประดับวงการ เสริมให้เพชรงดงามากขึ้น” เรมี่เอ่ยเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังกระดาษใบเล็กที่ถูกแนบไว้หัวมุม ซึ่งเป็นประวัติของ ‘ฟุรุยะ อากิโนะ’ ไอดอลสาวผู้มีจุดจบสุดอำมหิต และแผลใจแสนสาหัสที่กลายเป็นชนวนให้ ‘เลม่อน’ ตัดสินใจก่อเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องในวันนั้น
โดยที่มีเพียงเขาและลูกทีมไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจความเจ็บปวดทั้งหมด...ท่ามกลางโลกภายนอกที่สาปส่งอย่างไม่มีวันอภัย
เขาหยิบตุ๊กตาแมวสีส้มที่ได้มาอย่างปริศนาแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่เจ้าของห้องที่ได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆ กับตนเอง
“คนเรามันแข่งวาสนากันไม่ได้นะ...” ไนน์บ่นอุบอิบกับตนเอง
ฉากต่างๆ ถูกเซ็ทให้เข้าที่ด้านนอก ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ มองเลยไปก็เป็นส่วนตีนภูเขาซึ่งเป็นป่ารกทึบ ห้องพักนักแสดงถูกจัดไว้เป็นสัดส่วน แม้ทางเข้าของมันจะพิลึกพิลั่นจนเด็กสาวยืนเก้ๆ กังๆ ด้านหน้าก็ตาม
“ป๊า เจเน่มาถึงตรงที่เป็นเขาวงกตแล้ว”
เจเน่พูดขึ้น เมื่อมองเขาวงกดพุ่มไม้ ที่มักเห็นในปราสาทในประเทศอังกฤษ ซึ่งทางเข้าก็แบ่งแยกออกเป็นสามแยก
“อ้อ เดินชนตรงหัวมุมเลย” เรมี่ตอบกลับในสาย
“ตรงหัวมุม? หัวมุมไหน?” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ พลางมองหาหัวมุมที่ผู้เป็นนายพูดถึง ซึ่งหากมองทะลุเข้าไปในพุ่มไม้ก็จะเจอโครงเหล็กดัดให้ไม้เลื้อยจนเกิดเป็นกำแพงธรรมชาติ
“ถ้ายืนตรงกลาง ด้านหน้าจะเป็นทางเดิน หันซ้าย หันขวาจะเป็นทางไปต่อถูกไหม? เพราะมันทำมุมตั้งฉากกันพอดี ทีนี้ มองไปตรงทิศเฉียงเหนือหรือทิศบ่าย 2 ตรงที่กำแพงต้นไม้ตัดกันและเป็นจุดเชื่อมระหว่างทางนั่นแหละ เดินเข้ามาเลย”
“ป๊าอย่าล้อเล่นนะ หมายถึงให้หนูเดินชนตรงหัวมุมทางแยกที่มันแหลมๆ เนี่ยนะ.... ไม่มีทางเดินมันจะไปได้ไง?”
“อื้อฮึ...”
เจเน่หลับตาปี๋ แล้วเดินตรงไปชนกับหัวมุมทางแยก ร่างเล็กทะลุเข้าไปด้านในอย่างง่ายดายราวกับไม่มีกำแพงขวางกั้นตั้งแต่แรก
“อะไรเนี่ย?” เด็กสาวเอียงคอฉงน เบิกตาโพลนยามเห็นว่าร่างของเธอยังอยู่ดีมีความสุข ซึ่งด้านหน้าก็ปรากฎเป็นภาพกองถ่ายที่กำลังจัดฉากงานเลี้ยงในสวนที่เต็มไปด้วยคนรวยในชุดเดรส ซึ่งคิริโนะ นัทสึมิ เองก็ใส่ชุดสูทสีขาวและผูกไทน์สีน้ำเงินกรมท่า ดูรวมๆ แล้วก็สง่างามราวกับเจ้าชาย
“ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากด้วยอะป๊า?” กล่าวถามด้วยความใสซื่อ แล้วจึงเดินไปนั่งข้างคนที่นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟ
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ เดี๋ยวชาวบ้านก็กรูกันเข้ามาส่องเป็นสตอร์คเกอร์เลย เห็นไหม?”
เขาใช้นิ้วโป้งชี้ออกไปยังด้านหลัง ซึ่งสามารถมองทะลุออกไปนอกกำแพงพุ่มไม้ได้แค่ฝั่งเดียว มันเป็นเทคโนโลยีเดียวกับพวกแผ่นฟิล์มติดรถยนต์สมัยก่อน ด้านนอกมีหญิงสาวกับชายหนุ่มที่คาดว่าจะเป็นแฟนคลับนัทสึมิและนักแสดงคนอื่นๆ มาเดินด้อมๆ มองๆ อย่างมีพิรุธ แต่เพราะม่านภาพลวงตาเหล่านี้ ทำให้โครงสร้างของเขาวงกดบิดเบี้ยวไป แน่นอนว่าเรมี่เองก็คำนวนอย่างดีแล้วว่าจุดไหนที่จะไม่มีทางผุดขึ้นมาในหัวสมองของมนุษย์ตามธรรมชาติ
“มนุษย์มักกลัวอะไรแหลมๆ ไงเจเน่”
“ชะ ใช่... กลัวมากด้วย งื้อ..”
“ปะ รีบๆ ถ่ายก่อนแสงจะหมด” เรมี่ดันตัวเด็กสาวให้ลุกไปทำงาน ทันทีที่เขาหันมองทีมงานคนอื่นก็เผลอสบตาเข้ากับนัทสึมิที่ยืนสแตนด์บายรอตั้งแต่เมื่อครู่ เขารีบหันหน้าไปทางอื่น หลบสายตาอีกฝ่ายอย่างจงใจและกลับไปทำงานโดยใช้ ‘หน้ากากแห่งบุคลิก’ ที่ถูกเตรียมไว้อย่างช่ำชอง
และแม้ทุกอย่างจะราบรื่นมากเพียงไร มันก็ไม่อาจทำให้เจเน่รู้สึกสบายใจได้ เด็กสาวขมวดคิ้วมุ่น จับจ้องไปยังการถ่ายทำที่ดูเหมือนปกติสุข ทว่าเธอกลับรู้ดีที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
หลังการถ่ายทำจบลง ทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปตามอัธยาสัยของตนเอง เรมี่เดินตรงกลับเข้าโรงแรม โดยไม่พูดไม่จากับเพื่อนฝูงสักคน ทันทีที่ถึงประตูทางเข้าก็รีบปรี่ตัวตรงเข้าห้องน้ำชายในทันที เสียงเปิดน้ำจากก็อกระบบเซนเซอร์ดังแว่วกระทบหู นัยน์ตาสีชมพูเข้มสะท้อนมวนน้ำที่วนไปมาตามความโค้งของอ่างน้ำสีทอง แล้วจึงไหลลงท้อระบายที่ไม่น่าดูชม
มือซีดเซียวขัดถูปามาด้วยความรุนแรง เขาเอามือรองให้เครื่องจ่ายสบู่ทำงานจนมันเพิ่มพูนเกือบเท่าหนึ่งกำมือ สอดประสานตามง้ามนิ้วชะล้างราวกับจะกรีดเลือดเนื้อตนเองออกจากผิวหนัง
‘มลทินชัดๆ’
เขาไม่เข้าใจความรู้สึกกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ความสมบูรณ์แบบที่ไร้ความหมายนี้คาใจเขาจนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างห้อยติ่งอยู่ในสมอง และแม้จะอยากชะล้างออกไปเท่าไรก็ไม่มีทางกำจัดมันได้
“นัทสึมิ........”
ล็อบบี้โรงแรมนั้นดูโหลงเหลงผู้คนกว่าที่เขาคาด เรมี่มองนาฬิกาในหน้าจอ แล้วจึงปัดมือพับมันลง นึกแปลกใจว่าเหตุใดเวลาประมาณสองทุ่มเศษผู้คนถึงบางตาผิดปกติ หุ่นยนต์กระป๋องหลากหลายรุ่นเลื่อนไปมา บ้างก็ถือถาดที่มีน้ำผลไม้แล้วขึ้นลิฟต์ไปชั้นอื่น บ้างก็ขยับเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าที่เป็นอิโมจิยิ้มแย้ม
“เออ นี่ ชั้นที่ 28 ออกแบบไม่เหมือนกับชั้นอื่นหรือเปล่า?” เขาว่าพลางเงยหน้ามองโครงสร้างอาคารและส่วนโหว่ล้อมรอบน้ำพุตรงส่วนใจกลางซึ่งเป็นจุดไฮไลต์หลัก
“ทุกชั้นถูกออกแบบเหมือนกันหมดครับ และชั้นที่ 28 ไม่ได้เปิดให้ใช้บริการนะครับคุณเรมี่” หุ่นยนต์ทรงกระบอกสีขาว ที่ส่วนหัวเหมือนถ้วยคว่ำหันมาตอบ พวกเขารู้จักชื่อของแขกทุกคนตามที่ระบบอัปเดทเข้าไป และคำตอบนั่นเองก็ทำเอาผู้กำกับหนุ่มถึงกับต้องเลิกคิ้ว สองแขนเท้าเอวแล้วเงยหน้ามองแต่ละชิ้นอีกครั้ง ไล่นับตั้งแต่ชั้นแรกถึงชั้นที่ 28 ซึ่งอยู่สูงจนเริ่มสับสนจำนวนชั้น เขาถอนหายใจเงียบๆ รู้สึกเหมือนตนเองกำลังล้อเล่นกับระบบ
“แล้วที่นี่มีที่เที่ยวอะไรดีๆ หรือเปล่า?”
“ถ้าที่ยอดฮิต คงเป็นร้านของขลังลึกลับกับศาลเจ้านางอมรินทร์ วันนี้เป็นวันพระและพระจันทร์เต็มดวง ทำให้แขกที่นี่ไปกันเยอะแยะเลยครับ”
เสียง Ai ตอบอย่างฉะฉาน แต่ก็ยังฟังดูสากหูไม่น้อย จนเรมี่ต้องยกนิ้วก้อยขึ้นแคะหู สีหน้ายุ่งยากใจ
‘ชื่อเหมือนดาราคนนึงที่เสียไปนานแล้วเลยแหะ’ เขาฉุกคิดขึ้นได้ เมื่อเจอกับสิ่งคุ้นเคย แต่ก็รู้ดีว่ามันเป็นชื่อที่มีความบังเอิญคล้ายกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เหรอ แล้วเขาไปทำไมกัน?”
“ไปขอพรเรื่องความรักครับ เพราะที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก”
“เฮ้อออออออออออ”
เขาถอนหายใจยาวจนแลดูคล้ายคนไม่มีมารยาท ดวงตาก็มองบรรยากาศรอบตัวที่มีชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมสุนัขสีขาวตัวหนึ่งในรถเข็น ตามมาด้วยคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่อิงแอบกันตั้งแต่หน้าประตูโดยไม่ต้องถามไถ่สถานะใดๆ
‘โลกนี้ มันจะแตกก็เพราะหมกมุ่นแต่เรื่องพวกนี้แหละวะ...’
เรมี่แสดงความรำคาญออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาเอามือล่วงกระเป๋าแล้วออกจากบริเวณดังกล่าว
“เดี๋ยวครับ คุณเรมี่ สนใจฟังตำนานของที่นี่ไหมครับ?” หุ่นยนต์ยังคงตั้งหน้าตั้งตาบริการ แม้คนเป็นลูกค้าจะเดินห่างออกไปได้หลายคืบแล้วก็ตาม
“ไม่อะ...” คำตอบห้วนๆ ถูกส่งออกไป ก่อนจะสะบัดตูดเดินหนีอย่างไม่ใยดี ประโยคแว่วๆ ยังคงส่งมาจากด้านหลัง จับใจความได้แค่งูและต้นไม้รูปหัวใจ ซึ่งใดๆ แล้วไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย ซึ่งถ้าให้เดาการหายหัวไปของทีมงานแบบไม่ได้นัดหมาย ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกออกอยู่แค่คำตอบเดียว ว่าคงหูผึ่งแล้วรีบตรงไปที่นั่นในทันที ไม่ต่างจากกระต่ายตื่นตูมแบบเป็นกองทัพ
รวมถึงหมอนั่นด้วยสินะ......