ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ANOTHER PART OF LOCKLYNถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น
และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด
#แซลลี่ผู้พิชิต
การได้พบชายแปลกหน้าที่มีดวงตาสีฟ้าเข้มคนนั้นทำให้แซลลี่ไม่ได้หลับเลยทั้งคืน แม้ว่าเธอจะไม่ได้สนทนากับเขาสักเท่าไร แต่การที่ได้พบว่าเธอไม่ได้เป็นคนเดียวที่รู้ว่าล็อกลินเป็นสถานที่ในหนัง มันทำให้เธอว้าวุ่นใจไปทั้งคืน และสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือเขาสลายกลายเป็นฝุ่นสีดำไปต่อหน้าเธอตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง โดยทิ้งความสงสัยไว้เต็มไปหมด เพราะก่อนที่เขาจะหายไป เธอเห็นว่าเขามีท่าทีประหลาด เขาพูดอะไรบางอย่าง แต่แซลลี่กลับจับใจความไม่ได้เลย มันเหมือนบทสนทนาในฝันที่พูดวกไปวนมาชวนให้สับสน และบางครั้งก็ดูเหมือนคนละเมอ
กว่าแซลลี่จะกล้าโผล่ออกมาจากกระท่อมก็สายจนตะวันโด่ง เธอเดินถือดาบออกมาจากป่ามุ่งตรงกลับไปยังกระท่อม ระหว่างทางเธอเอาแต่พะวงถึงทามาร่าและโมนา แต่เมื่อมาถึงที่หมายก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งออกันอยู่หน้ากระท่อม หลังเธอปรากฏตัวเพียงครู่เดียวโจเซฟีนก็พุ่งตัวเข้ามาหาเธอในทันที
“แซลลี่! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” แม่มดสาวถามพลางสำรวจเพื่อนของตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่เป็นอะไรเลย” แซลลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะชะเง้อมองเข้าไปในกระท่อมพร้อมกับความคิดไม่ดีที่ผุดขึ้นมาในหัว “คุณยายล่ะ คุณยายปลอดภัยหรือเปล่า” น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่เอ่ยถาม
“ปลอดภัยดี นางอยู่กับเทียน่า” โจเซฟีนบอกก่อนเสียงถอนหายใจของแซลลี่จะดังขึ้นเบา ๆ “แต่เจ้าต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังนะ”
“พี่ชายเธอล่ะ” เธอถามพร้อมกับกวาดสายตามองหาจอมเวทที่เพิ่งเอ่ยถึง รวมถึงจอมเวทอีกคนด้วยเช่นกัน
“เคนเนธกับคริสออกไปตรวจพื้นที่รอบนอก เผื่อจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นบ้าง”
“งั้นไว้คุยกัน ฉันเข้าไปหาคุณยายก่อน”
แซลลี่รีบเข้าไปในกระท่อม แล้วได้พบว่าทามาร่าและโมนาปลอดภัยดี อาการที่เหมือนมีของหนัก ๆ อยู่บนอกของเธอจึงหายไปหมดสิ้น ทางด้านหญิงชราเองก็โล่งใจไม่น้อยที่แซลลี่กลับมาได้อย่างปลอดภัย
ตลอดทั้งวันโจเซฟีนและเทียน่าจึงอาสาที่จะอยู่ดูแลความปลอดภัยให้กับทั้งสามคน กว่าทามาร่ากับโมนาจะได้พักผ่อนก็เกือบเที่ยงวัน แต่ทางด้านของแซลลี่นั้นยังไม่สามารถพาตัวเองไปเข้านอนได้ เธอและอีกสองสาวจึงพากันมานั่งคุยกันที่สวนหลังกระท่อม
“เจ้าหายไปไหนมาทั้งคืน” โจเซฟีนเป็นคนเปิดบทสนทนา
“กระท่อมกลางป่า กระท่อมที่เราเคยใช้ขังคาซ ดราเวนน่ะ จำได้ไหม”
“เจ้าหนีพวกมันไปถึงที่นั่นเลยเหรอ” โจเซฟีนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินที่แซลลี่บอก เพราะระยะทางจากกระท่อมของทามาร่าไปถึงที่นั่น นับว่าไม่ใกล้เลย
“เปล่า” แซลลี่สั่นหน้า
“อ่าว แล้วเจ้าไปที่นั่นได้อย่างไร” เทียน่าถาม
แซลลี่ถอนหายใจก่อนจะกวาดสายตามองรอบ ๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีบุคคลอื่น “มีคนพาไป”
“ใคร”
คำถามสั้น ๆ ถูกเอ่ยออกมาจากปากสองสาวอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้แซลลี่จะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของชายผู้มีดวงตาสีฟ้าประหลาดคู่นั้น แต่เพราะเขาคือปริศนาที่เธอคิดไม่ตก และคงไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยตนเอง แซลลี่จึงจำเป็นต้องบอกให้สองแม่มดได้รู้
“ไม่รู้เหมือนกัน เขาปิดหน้าเอาไว้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ฉันเจอเขา”
“ครั้งที่สองอย่างนั้นเหรอ” โจเซฟีนทวนคำพูดของแซลลี่ด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ใช่ ครั้งแรกก็คืนที่เราไปที่ทะเลสาบกัน เขาบุกมาที่ห้องของฉัน น่าจะเข้ามาขโมยดาบ ก็ว่าอยู่ทำไมโมนาถึงเตือนให้ฉันเอาดาบไปด้วย” แซลลี่ว่า
“แล้วเมื่อคืนเขาทำร้ายเจ้าหรือไม่” เทียน่าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เปล่าเลย” เธอส่ายหน้า “เขามาช่วยฉันไว้”
“แปลก” โจเซฟีนทำหน้าครุ่นคิด
“ใช่แปลก แต่ที่แปลกกว่าคือฉันเคยเจอเขาในฝัน ไม่สิ...” แซลลี่ขมวดคิ้วเมื่อพยายามหาคำมาอธิบายให้หญิงสาวได้เข้าใจ “มันไม่ใช่ฝัน มันเป็นความทรงจำสุดท้ายก่อนที่ฉันจะมาที่นี่”
“เอาล่ะ ข้างงไปหมดแล้ว” โจเซฟีนยกมือขึ้นเกาหัว
“มาถึงตอนนี้แล้วฉันคิดว่าควรจะพูดกับพวกเธอตรง ๆ ได้แล้ว คืออย่างนี้” แซลลี่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อเตรียมจะเล่า “ฉันประสบอุบัติเหตุจากที่แห่งหนึ่ง มันค่อนข้างรุนแรงและตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนใกล้จะตาย แต่ก่อนที่จะหมดสติฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เขามีดวงตาสีฟ้าเข้ม มันเป็นสีฟ้าที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ก็ได้เห็นเขาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแหละ พอร่างของเขาสลายไปฉันก็หมดสติ แล้วพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”
“เจ้ามาจากที่ใดกันแซลลี่” ยังคงเป็นโจเซฟีนที่ตั้งคำถาม
“ขอโทษนะ แต่เรื่องนี้ฉันบอกไม่ได้จริง ๆ” แซลลี่บอกด้วยสายตาวิงวอน ขอให้โจเซฟีนข้ามคำถามนั้นไป
“มาจากไหนไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือชายคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมถึงต้องการดาบฮาโรลด์” เทียน่าว่า
“ยังไม่พอ สิ่งที่แปลกไปมากกว่านั้น” แซลลี่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วค่อยพูดต่อ “ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากที่เดียวกันกับฉัน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เทียน่าถามต่อ
“จากลักษณะการพูด แต่เขาดูสับสน”
“สับสนอย่างไร” โจเซฟีนถาม เธอดูสนใจอกสนใจเรื่องที่แซลลี่กำลังเล่าเป็นอย่างมาก
“เขาคุยน้อย ไม่ค่อยตอบคำถาม แรก ๆ ก็พูดรู้เรื่องดี แต่หลัง ๆ เหมือนคนละเมอ”
“หมายถึงพึมพำไม่ได้ศัพท์อย่างนั้นเหรอ” คิ้วเรียวของเทียน่าเลิกขึ้นเล็กน้อยขณะถาม
“ใช่ แล้วนั่นแหละ เขาหายไป”
เสียงถอนหายใจของโจเซฟีนดังขึ้น เธอลุกขึ้นยืนเท้าเอวแล้วเดินไปเดินมาอยู่สองสามรอบ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าแซลลี่ค้างไว้อยู่ครู่หนึ่ง
“หรือเขาจะเป็นความฝัน”
“ใครฝัน ฉันเหรอ คิดว่าไม่นะ” แซลลี่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่โจเซฟีนกล่าว
เทียน่าที่ก้มหน้าคิดอะไรคนเดียวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองแซลลี่ “ความฝันในคำทำนายยังไงล่ะ”
“ใช่” โจเซฟีนว่าเสียงดัง แล้วหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ แซลลี่อีกครั้ง “เขาอาจจะเป็นความฝันที่ถูกกล่าวถึงในคำทำนาย”
“แต่คำทำนายบอกว่าความฝันจะมาช่วยไม่ให้ฉันหลงทาง ซึ่งนั่นแปลว่าเขาต้องมาอย่างเป็นมิตรหรือเปล่า และใช่ อย่างที่ฉันบอก ครั้งแรกที่เจอกันเขาจะมาฉกดาบฉันนะ” แม้แซลลี่จะคล้อยตามความคิดของสองสาวอยู่บ้าง แต่มันก็ยังมีสิ่งที่ทำให้เธอต้องค้านความคิดเหล่านั้น
“เพราะบางครั้งความฝันนั้นก็เลือนราง” เทียน่าคลี่ยิ้ม เมื่อปริศนาคำทำนายนั้นดูเหมือนจะลงล็อกตามความคิดของพวกเธอ “เจ้าเคยเจอความฝันแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นหรือเปล่าล่ะ มันชวนสับสน ไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนฝัน”
“จะว่าไปข้าว่าข้าเคยนะ แต่ต่อให้เขาจะเป็นความฝันที่ว่านั้นจริง ๆ มันก็ยังมีเรื่องให้สงสัยอีกอยู่ดี ถ้าเขามาจากที่เดียวกันกับเจ้า แล้วเขามาทำไม มาได้อย่างไร แล้วเขาต้องการอะไร” โจเซฟีนว่า
“ตอนแรกก็เข้าใจว่าอยากได้ดาบ แต่เมื่อคืนเขาไม่มองดาบเลยสักนิด แต่ฉันงงนิดหน่อย ความฝันบ้าอะไรทำไมถึงกลายร่างเป็นคนได้ล่ะ” แซลลี่บอก
“เฮ้ แซลลี่ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอเพราะที่นี่ดินแดนเวทมนตร์” โจเซฟีนว่า
“เรื่องทั้งหมดนี่คิดว่าโมนาจะรู้ไหม”
คำถามของเทียน่าทำให้แซลลี่นึกขึ้นได้ว่านั่นน่าจะเป็นหนทางที่จะได้คำตอบมาอย่างรวดเร็วที่สุด แต่เธอคงต้องหาเวลาอยู่กับเด็กหญิงเพียงลำพัง เพราะแซลลี่อยากให้คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยที่สุด และแน่นอนว่าสองจอมเวทไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เรื่องพวกนี้อีกตามเคย
นับตั้งแต่วันที่มีกลุ่มคนแปลกหน้าบุกมาที่ล็อกลิน หญิงต่างวัยทั้งสามแทบไม่ห่างจากกัน ขณะที่สองจอมเวทนั้นก็ออกไปตรวจตราความเรียบร้อยตามเขตรอบนอกไม่เว้นวัน ตั้งแต่เกิดเรื่องมาเธอจึงไม่ได้เจอกับพวกเขาเลย แม้จะไม่ได้ยินข่าวคราวจากสองคนนั้น แต่แซลลี่ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ปกติที่กำลังเกิดขึ้นที่ล็อกลิน นอกจากสองจอมเวทจะอยู่ไม่ติดที่แล้ว บรรดานักเวทเองก็จัดเวรยามดูแลหมู่บ้านกันอย่างเข้มงวด
แซลลี่ไม่ได้ไปที่หอฝึกนักเวทมาหลายวันแล้ว เธอเอาแต่เก็บตัวอยู่ในกระท่อม โดยมีสองแม่มดผลัดกันแวะเวียนมาหา และวันนี้เป็นเทียน่าที่มานั่งพูดคุยกับแซลลี่ตามประสาหญิงสาว รวมทั้งเรื่องเวทมนตร์ของแซลลี่
“ฉันนึกว่ามันจะง่าย แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่ใช่เลย ฉันคิดว่าฉันควรทำได้ดีกว่านั้น” แซลลี่บ่นรำพึง
“เจ้าจะหลับตาแล้วนิมิตเอาอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีท่าทางร่วมด้วย อีกทั้งสมาธิของเจ้าต้องแน่วแน่ว่าต้องการเรียกพลังพวกนั้นออกมาใช้ทำอะไร” เทียน่าแนะนำในฐานะผู้ใช้เวทมนตร์
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าต้องทำท่าแบบไหน”
“เจ้าอยากให้เวทมนตร์ออกมาแบบไหนล่ะ จินตนาการเอาว่าเจ้ากำลังควบคุมมวลน้ำ อยากให้มันม้วนเกลียว หรือพุ่งออกมาเป็นวงกว้าง เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะสอน” เทียน่าบอก
“แหม เดี๋ยวนี้เธอเก่งแล้วนี่” แซลลี่ส่งรอยยิ้มหยอกล้อ
“แค่ดีขึ้นกว่าเดิม ยังไม่ถึงขั้นเก่งกาจ” เทียน่าบอกอย่างถ่อมตัว
“เธอจะเก่งกาจอย่างแน่นอนเทียน่า เชื่อฉันสิ” มุมปากของแซลลี่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ขณะที่มองหญิงสาวอีกคน
“ข้าเชื่อเจ้าทุกอย่างแซลลี่”
“ว่าแต่...เรื่องนั้นล่ะ” แซลลี่ถาม
“เรื่องใด”
“เรื่องเธอกับคริส”
เทียน่าเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ไม่มีอะไร”
“เทียน่า” เธอเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยสายตาและน้ำเสียง ที่บ่งบอกว่าต้องการให้แม่มดสาวตอบคำถาม
แม่มดสาวถอนหายใจ ก่อนจะยอมสารภาพ “เขาบอกเจ้าเหรอ”
“เธอชอบเขาไหม”
“มีบ้าง แต่ข้ารู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าตกหลุมรักคริส โกเบอร์” เทียน่าตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“แล้วเธออยากให้มันเป็นยังไง”
“เจ้าว่ามันควรเป็นอย่างไร”
“หัวใจของเธอ เธอต้องตัดสินใจเอง” แซลลี่บอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แม้ในใจนั้นจะตะโกนค้านดังสนั่นก็ตาม
“ความเจ็บปวดใดๆ ในโลกนี้ข้าไม่เคยกลัว เว้นแต่ความเจ็บปวดจากความรัก ข้ามิอาจรับไหว” เทียน่าเอ่ยโดยที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้เป็นเพื่อน เพราะเกรงว่าแซลลี่จะเห็นความอ่อนแอที่ซ่อนเอาไว้ในดวงตากลมโตของเธอ
“เคยอกหักเหรอ” แซลลี่กระตุกยิ้มถาม
“อกหัก?” แม่มดสาวเงยหน้าขึ้นถามเพราะไม่เข้าใจคำที่แซลลี่พูด
“ผิดหวังในความรักน่ะ”
“เมื่อนานมาแล้ว มันเป็นครั้งแรกและทำให้ข้าเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส”
“โอ้ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย” แซลลี่พึมพำก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม มันเป็นอย่างที่เธอว่า เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเทียน่าเคยมีความรัก เพราะในหนังไม่ได้กล่าวถึงรักครั้งแรกของผู้เป็นนางเอก
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยเล่าให้ใครฟัง”
“ก็จริง...แล้วครั้งนี้อยากลองเสี่ยงดูหรือเปล่าล่ะ”
“ถ้ามันจบเหมือนเดิมล่ะ” แววตาของแม่มดสาวฉายแววกังวล
“อันที่จริงฉันก็เคย หลายครั้งด้วย เจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันไม่ตายเทียน่า ถ้าเราแบ่งความรักนั้นมาให้ตัวเราเองบ้าง เราจะไม่ตายเพราะอกหัก”
เรื่องราวความรักของเทียน่าที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ต่างไปจากที่แซลลี่เคยรู้ เดิมที่ปัญหาของแม่มดสาวคือความลังเลในการเลือกชายหนุ่มที่จะมาเป็นคนรัก แม้ว่าในครั้งนี้จะเป็นกรณีที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ความลังเลใจของเทียน่านั้นหาได้แปรเปลี่ยน
“ไว้ข้าจะคิดดู”
“ถ้าเธอเองก็ชอบเขา ลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าวันไหนเขาทำเธอเจ็บ วันนั้นเขาก็ต้องเจ็บ”
“เจ้าจะทำอะไร” คิ้วสวยของเทียน่าเริ่มขมวดเข้าหากัน เมื่อมิอาจคาดเดาความคิดของแซลลี่ได้
“ทำในสิ่งที่อยากทำ” แซลลี่ยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เมื่อจินตนาการว่าอาจจะได้ต่อยหน้าพระเอกของเรื่องสักครั้ง
“เจ้าไม่ได้จะฆ่าเขาใช่ไหม” เทียน่าเบิกตากว้าง เมื่อความคิดร้ายกาจผุดขึ้นมาในหัว
“จะบ้าเหรอ ฉันจะทำแบบนั้นทำไม” แซลลี่ปฏิเสธเสียงดัง ตามด้วยเสียงพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกของเทียน่า
“ไว้ข้าจะลองถามใจตัวเองดู”
เทียน่ากล่าว ขณะที่แซลลี่ได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับแม่มดสาว เดิมทีเทียน่าจะต้องสมหวังในความรักอยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์ที่ต่างจากเดิมนั้นทำให้แซลลี่ชักไม่ค่อยมั่นใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร
ในขณะที่สองสาวกำลังนั่งคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ คาซก็เดินเข้ามาในสวน นั่นทำให้ทั้งสองต้องชะงักไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะแซลลี่ที่เมื่อได้เจอหน้าคาซอีกครั้งก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก
“เจ้าขาดซ้อมอีกแล้วแซลลี่” เขาเอ่ยทันทีเมื่อได้เจอหน้าหญิงสาว
“ข้าว่าข้ากลับก่อนดีกว่า” เทียน่ากระซิบบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับ
“จะรีบไปไหนอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน” แซลลี่กระซิบบอกอีกฝ่าย ขณะที่คาซกำลังสาวเท้าเข้ามาหา
“เดี๋ยวจะมืดค่ำ” เทียน่าคลี่ยิ้ม หากแต่รอยยิ้มนั้นดูมีเลศนัยพิลึก “ยินดีที่ได้เจอ” เทียน่าเอ่ยทักทายคาซ
“เช่นกัน” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แม่มดสาวอย่างเป็นมิตรก่อนเธอจะเร่งเดินออกไป
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่” แซลลี่ถาม
“อยากมาดูด้วยตาตัวเอง ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ยอมไปที่หอฝึก” เขากล่าวพลางหย่อนตัวลงนั่งแทนที่เทียน่า
“ไม่รู้ข่าวเหรอ”
“ก็พอรู้”
“อ่าว แล้วยังจะถาม” เธอบ่นลอย ๆ
“แค่มาดูให้แน่ใจ ว่าเจ้ายังปลอดภัยดี”
“สบายอยู่แล้ว แต่จะดีมากถ้ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“เวลานี้ดินแดนไม่ค่อยมั่นคง อีกทั้งเจ้ายังมีชื่อเป็นสตรีในคำทำนาย เจ้าควรระมัดระวังตัวแซลลี่” คาซเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“ระวังจนแทบไม่ได้นอนแล้วคุณคาซ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงติดประชด
“หรือจะไปนอนที่โรงเตี๊ยมล่ะ ที่นั่นเจ้าหลับแทบไม่ฟื้น”
“นั่นเรียกว่าสลบค่ะ”
คาซหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ การแกล้งหยอกเย้าให้แซลลี่ได้ทำปากคว่ำนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เขาชื่นชอบ ท่าทีเหล่านั้นของแซลลี่มันทำให้เขารู้สึกเอ็นดู
“เวลานี้อันตรายอยู่รอบตัว เจ้าต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้”
แม้การฝึกฝนที่ผ่านมาจะหนักเอาเรื่องอยู่แล้ว แต่แซลลี่ก็เห็นด้วยกับที่คาซบอก เธอต้องฝึกฝนให้มากขึ้น และนั่นหมายถึงตั้งแต่การใช้ดาบไปจนถึงใช้เวทมนตร์
“คุณใช้เวทมนตร์ได้หรือเปล่า”
ชายหนุ่มจ้องหน้าผู้ถาม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงจะตอบ “ไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว”
“ทำไมล่ะ” เธอขมวดคิ้วสงสัย
“ไม่มีเหตุให้ต้องใช้”
“แล้วสอนได้ไหม”
“สอนใคร” คิ้วหนาเคลื่อนเข้าหากันเล็กน้อยขณะมองหน้าแซลลี่ “อย่าบอกนะว่าเจ้า...”
“ประมาณนั้น”
“ตั้งแต่เมื่อไร”
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ” เธอถาม เพราะเวทมนตร์ของเธอมีจุดเริ่มต้นที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงอยู่พอสมควร
“เจ้าใช้เวทมนตร์ได้ตั้งแต่เมื่อไร”
“เริ่มใช้ในคืนที่พวกอีแร้งมันบุกเข้ามานั่นแหละ”
“แร้ง?” คาซทำหน้างง อันที่จริงแล้วเขายังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเรื่องนี้สักเท่าไร
“กาก็ได้” แซลลี่ตอบด้วยเสียงที่เบาลง
“กางั้นเหรอ มันเป็นยังไง”
“เป็นคนที่แปลงร่างเป็นกา แล้วกาหนึ่งตัวก็เป็นคนหลายคน ฟังดูงงว่าไหม”
คาซเงียบไปอีกครั้ง สีหน้าของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “พวกนั้นมุ่งตรงมาหาเจ้าเลยเหรอ”
“เขาอยากได้ดาบของฉัน”
“พวกจอมเวทรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“ไม่รู้ว่าโจเซฟีนจะเล่าให้เคนเนธฟังหรือยัง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องฉันยังไม่เจอสองคนนั้นเลย”
“นอกจากเจ้าจะต้องระวังตัวแล้ว จงระวังดาบของเจ้าด้วย”
“รู้น่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องพกดาบไปดื่มด้วย”
ชายหนุ่มเอียงคอสงสัยเมื่อได้ยินที่แซลลี่บอก “แต่คืนที่เจ้าไปดื่มนั่นมันก่อนจะเกิดเรื่องนะ”
คำทักท้วงของคาซทำให้เธอนึกขึ้นได้ ว่าที่เธอเริ่มพบดาบนั้นไม่ใช่เพราะกลุ่มคนแปลกหน้าที่บุกมาในครั้งล่าสุด แต่เป็นเพราะชายปริศนาอีกคนต่างหาก
“เอ่อ อันที่จริงมีพรายกระซิบเตือนมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว คืนนั้นพวกเขาก็เลยยังไม่ได้ดาบไปยังไงล่ะ” แซลลี่ยังคงหาคำแก้ตัวได้ดี และเพราะชื่อเสียงเรียงนามของโมนาเป็นที่ลือเลื่อง เหตุผลที่เธอเพิ่งให้ไปนั่นจึงค่อนข้างที่จะฟังขึ้น
“กลับมาที่เรื่องเวทมนตร์ของเจ้าดีกว่า เจ้าบอกว่าเจ้าใช้เวทมนตร์ได้ แล้วมันเป็นอย่างไร”
“ตอนแรกคิดว่าง่าย แต่ไม่ง่ายเลย คิดอย่างทำได้อีกอย่าง มันวืดยังไงบอกไม่ถูก”
“เวทมนตร์ไม่ได้ควบคุมง่ายดั่งใจคิดขนาดนั้น อย่างไรก็ต้องผ่านการฝึกฝน”
“สอนฉันสิ” เธอคลี่ยิ้มพร้อมส่งสายตาเชิงอ้อน
“ได้ แต่อย่าขาดเรียนบ่อยก็แล้วกัน”
“ให้ไปนอนที่โรงเตี๊ยมไหมล่ะ จะได้ฝึกกันทั้งวันทั้งคืนไปเลย”
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าคมยื่นเข้าไปหาแซลลี่ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ “ทั้งวัน ทั้งคืน...ฝึกอะไร”
แซลลี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เธอยืดตัวนั่งตรง แล้วแกล้งเบนสายตาไปทางอื่น เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของคาซชักจะอันตรายขึ้นทุกวัน
“ก็...เวทมนตร์ไง”
“ไม่จำเป็นต้องหักโหมขนาดนั้น หากสภาพร่างกายหรือใจของเจ้าไม่มั่นคง ก็ใช่ว่ามันจะออกมาดี” เขาหยุดพูด แล้ววาดรอยยิ้มพรายขึ้นบนใบหน้า “ให้สิ่งที่ต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนนั้นเป็นเรื่องอื่นเถอะ”
“เช่น?”
“เช่นคิดถึงใครสักคน”
แซลลี่รู้สึกเหมือนเธอต้องใช้พลังมหาศาลในการแสดงสีหน้าให้เป็นปกติ เพราะในใจเธอนั้นได้ส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นไปเจ็ดยอดเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายที่แซลลี่จะพูดจาหยอกล้ออีกคนเพื่อแก้เขิน
“แล้วคุณเคยใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน เพื่อคิดถึงใครสักคนไหม”
“เมื่อก่อนไม่มี” เขาหยุดพูดแค่นั้น
“ตอนนี้ล่ะ”
คาซไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ข้าว่าข้ากลับก่อนดีกว่า”
“มาแค่เนี้ย?”
“แค่มาดูให้แน่ใจว่าเจ้ายังสบายดี ข้าจะได้ไม่ต้องคิด...ทั้งวันทั้งคืน”
พูดจบความเงียบก็ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ ทั้งสองได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้กัน ก่อนคาซจะเดินออกไป แซลลี่ทำเพียงแค่เดินตามชายหนุ่มไปห่าง ๆ จนกระทั่งแผ่นหลังกว้างหายลับไปจากเนินเขาแล้วนั่นแหละเธอจึงได้เผยรอยยิ้มออกมา แซลลี่จำไม่ได้เลยว่านานเท่าไรแล้วที่หัวใจของเธอไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ และดูเหมือนว่าบทสนทนาที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้นคงจะทำให้เธอคิดถึงเขา...ทั้งวันทั้งคืน