ชัดเจนผู้ครองตำแหน่งขวัญใจหลานสาวมาโดยตลอด อยู่ ๆ หลานสาวก็มีขวัญใจคนใหม่อย่างสัตวแพทย์หนุ่มนามว่าเดียร์ ที่น้องชมพูถึงกับพูดว่าเขาคือเจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ เขาคงต้องลงมือกำจัดกวางให้พ้นทางเสียแล้ว
        ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,รัก,ไทย,อื่นๆ,นิยายเกย์,นิยาย18+,boylove ,#BL,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี,  นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
        
        
      
          “ไงจ๊ะ พ่อกวางหนุ่มของพี่ บอกแล้วว่าอย่ารับเคสผ่าไปหมดคนเดียว เป็นยังไง เยินล่ะสิ” พี่จิ๊บส่งแก้วน้ำดื่มมาให้ เมื่อผมผ่าเคสสุดท้ายของสัปดาห์เสร็จ 
 “ขอบคุณครับ” ผมรับมาดื่มพร้อม ๆ กับรุ่นพี่สาวท้องแก่ที่ค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างกัน
 
 “หรือให้พี่ถามน้องใหม่อีกทีดูไหม ว่าเข้ามาทำงานเร็วขึ้นได้หรือเปล่า”
 
 “ไม่ต้องหรอกครับ อีกสองอาทิตย์เอง ว่าแต่พี่จิ๊บทำไมยังไม่กลับล่ะครับ วันนี้คิวถ่ายรายการถึงแค่บ่ายกว่า ๆ เองนี่ครับ” ผมที่เพิ่งจะนึกได้เอ่ยถามคนข้าง ๆ ออกไป
 
 วันนี้เป็นอีกวันที่มีคิวย่อยของรายการเข้ามาถ่าย เพราะมีเด็ก ๆ สองสามตัวที่มีคิวนัดฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 วันนี้ ซึ่งพี่จิ๊บอาสารับคิวฉีดเองทั้งหมด เนื่องจากผมยกเอาเคสผ่ามากองไว้กับตัวเสียยกตาราง
 
 “นี่ เกินไปแล้วนะเราน่ะ พี่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่นี่นะจ๊ะ จะให้พี่กลับก่อนเลิกงานได้ไง ถ่ายเสร็จไว พี่ก็ทำงานต่อสิจ๊ะ”
 
 “เดียร์บอกแล้วว่าเดียร์ดูคลินิกให้ไงครับ ดูสิเท้าบวมหมดแล้วพี่” ผมจงใจเอ่ยเสียงนิ่งขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตามที่คุยกันไว้เมื่อต้นอาทิตย์ผมเพิ่งบอกให้พี่จิ๊บกลับบ้านได้เลยหลังคิวถ่ายรายการของอาทิตย์นี้เสร็จ ไม่ต้องห่วงงานที่คลินิก
 
 “แหม ใส่ใจจังนะเรา ดูแลดีแบบนี้ พี่อยากเปลี่ยนสามีเลยเนี่ย” และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง พี่จิ๊บไม่เคยกลัวคำดุเด็ก ๆ ของผมเลยสักครั้งเดียว
 
 “เอาน่า ๆ เข้าใจแล้ว อย่ามาทำคิ้วขมวดใส่พี่ เพราะมันน่าเอ็นดูมากกว่าน่ากลัวจ้ะ แล้วนี่รู้ตัวไหมเนี่ยว่ามีแต่คนถามหาไปทั้งกอง พี่เนี่ยตอบคำถามเรื่องเรามากกว่าเรื่องหมาแมวอีก ไปน่ารักใส่ใครมาบ้างบอกพี่มาเลย”
 
 “แล้วใครล่ะครับที่ถามหาเดียร์”
 
 “หลัก ๆ ก็เจ้าเดิมแหละ คุณแฟรงค์ คู่จิ้นคนดีคนเดิมเธอไง” พี่จิ๊บตีไหล่ผมเบา ๆ
 
 ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับชื่อนั้น รู้สึกดีขึ้นมากับคิวผ่าที่แน่นของวันนี้ที่ทำให้ไม่ต้องเจอกัน ผมไม่อยากจะเป็นตัวสร้างกระแสให้ใคร หรือสิ่งใดทั้งนั้น แค่รักษาสัตว์ก็ใช้พลังชีวิตมากพอแล้ว อย่าให้ผมต้องไปควบตำแหน่งเป็นนักการตลาดอีกอาชีพเลย
 
 “ดูทำหน้าเข้า ถามจริงเดียร์ยังชอบเขาหรือเปล่า พี่รู้สึกว่าช่วงนีหลัง ๆ เดียร์ดูห่าง ๆ และก็ดูหลบ ๆ เขานะ หรือพี่คิดไปเอง แต่…เขาก็ดูสนใจเดียร์อยู่นะ ถามหาตลอดเลย”
 
 “นั่นสินะครับ”
 
 ผมเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้ยังมีเท่าเดิมไหม แล้วที่ผ่านมามันเรียกว่าชอบหรือเปล่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจ
 
 “อย่าทำหน้าเครียดสิ พี่ไม่ถามแล้วดีกว่า อย่าถือสาพี่เลยนะ พี่ก็ปากไวพูดไปเรื่อย จนบางทีก็ลืมคิดถึงคนฟัง” พี่จิ๊บลูบแขนผมไปมาอย่างที่มักทำบ่อย ๆ เวลาปลอบผมเมื่อผมบ่นว่าเครียดตอนช่วงใกล้สอบสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
 
 “บ้าน่าพี่จิ๊บ เดียร์ไม่ได้โกรธ แค่…มันตอบยากน่ะครับ”
 
 “เออ จันทร์หน้าช่วงบ่ายพี่ลานะจ๊ะ ฝากเราเรื่องงานเปิดตัวรายการแล้วกันนะ ไม่อยากออกงานตอนท้องโตเท่าไหร่ เดี๋ยวไม่สวย” พูดจบคนท้องก็ค่อย ๆ ยกตัวเองขึ้นลุกยืนโดยมีผมช่วยประคองหลังให้
 
 “งานเปิดตัว?”
 
 “ตายจริง พี่ยังไม่ได้บอกเดียร์หรือ ว่ารายการเขาอยากให้เดียร์ไปแถลงข่าวด้วย แล้วมันดันมาตรงกับคิวตรวจครรภ์ที่พี่เลื่อนมาพอดี พี่เลยตอบตกลงเขาให้เดียร์ไปคนเดียวแทนแล้ว”
 
 “ยังครับ พี่จิ๊บยังไม่ได้บอก เดียร์นึกว่าพี่จิ๊บจะไปเหมือนรอบก่อน”
 
 “เอ่อ…เอาเป็นว่ารู้แล้วเนาะ” ต้นเรื่องหัวเราะแห้งกลบเกลื่อน
 
 “พี่จิ๊บ วันจันทร์เช้าเดียร์มีเชิญบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ตอนเย็นต้องไปรับน้องเบลล์ที่สนามบินด้วย”
 
 “ตายแล้ว งั้นเอาไงดี ให้พี่ปฏิเสธเขาไปดีไหม”
 
 “แถลงข่าวบ่ายโมงครึ่งใช่ไหมครับ” พี่จิ๊บพยักหน้ารัวๆ
 
 “งั้นน่าจะพอทัน แต่เดียร์อาจจะต้องขอกลับก่อนงานจะจบ เพราะน้องเบลล์เครื่องลงสี่โมง” ผมเปิดปฏิทินในมือถือที่ลงตารางงานที่ต้องทำในแต่ละวันขึ้นมาดูพร้อมกับลงรายการไปแถลงข่าวรายการแทนที่รายการเข้าคลินิก
 
 “ขอโทษน้า พี่ผิดไปแล้ว” เสียงแตรรถดังมาจากหน้าประตูคลินิก พอมองออกไปก็เจอเข้ากับสารถีประจำกายพี่จิ๊บว่าที่คุณพ่อเดินลงจากรถมารับภรรยา
 
 “ไว้พี่เลี้ยงกาแฟนะ ไปก่อนล่ะ” ว่าเสร็จสามีภรรยาก็พากันเดินประคับประคองท้องใหญ่กันไปที่รถ เป็นภาพที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำเมื่อใกล้เวลาปิดคลินิก
 
 ยิ้มอยู่ได้ไม่นานผมก็ต้องกลับมานั่งคิดแผนการเดินทางเตรียมไว้สำหรับวันจันทร์ ว่าจะทำยังไงให้ไปสามที่ที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลยได้ทัน
 
 แค่คิดก็เห็นภาพตัวเองตาลีตาเหลือกล่วงหน้าแล้ว
 
 
 
 กว่าจะผ่านสัปดาห์ไปได้ร่างสัตวแพทย์หนุ่มก็แทบแหลก ไหนจะงานที่คลินิก ไหนจะคิวรายการ ยังไม่รวมเรื่องวิ่งวุ่นดูหอพักให้น้องสาว แต่ต่อให้พลังงานชีวิตจะเหลือน้อยแค่ไหนก็ยังพักไม่ได้ โดยเฉพาะตอนนี้
 
 
 
 (ครับๆ เดียร์ออกจากมหาวิทยาลัยมาสักพักแล้วครับ น่าจะครึ่งทางแล้ว แต่รถติดมากเลยครับพี่)
 
 (ได้ครับ ครับๆ)
 
 
 
 สัตวแพทย์หนุ่มตอบคนปลายสายที่โทรมาสอบถามการถึงเดินทาง เมื่อเห็นว่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมงดีจะได้เวลาแถลงข่าวเปิดตัวรายการ
 
 หลังจากฟังเรื่องสถานที่จัดงานเป็นรอบที่นับไม่ถ้วนจบ คุณหมอจึงกดวางสาย ทิ้งตัวลงกับเบาะรถ ที่จอดแช่กับการจราจรในเมื่องหลวงประเทศไทยมาเกือบชั่วโมง
 
 
 
 ตากลมดำสนิทก้มมองเวลาที่นาฬิกาบนข้อมือ เครื่องปรับอากาศภายในรถยังคงทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นกลับดับความร้อนใจของเจ้าของรถไม่ได้เลยสักนิด
 
 “เอาไงดีเดียร์ คิดสิคิด”
 
 นิ้วเรียวเคาะพวงมาลัยครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า
 
 “เอาแบบนี้แหละ สภาพไหนไว้ว่ากันหน้างาน”
 
 เมื่อการจราจรเคลื่อนตัวอีกครั้ง พวงมาลัยจึงถูกหมุนเลี้ยวเข้าซอยชุมชนด้านหน้า วนหาที่จอดอยู่ไม่นานก็ได้ที่เหมาะสมใจ คุณหมอเดินลงไปพูดคุยเรื่องขอจอดรถกับคุณยายที่นั่งฟังวิทยุอยู่หน้าบ้าน
 
 “คุณยายครับ ตรงนี้จอดรถได้ไหมครับ”
 
 “จอดได้ จอดไปเถอะหนุ่ม ลูกยายเขาไปต่างจังหวัด ไม่มีใครมาจอดหรอก”
 
 “งั้นผมรบกวนขอจอดรถไว้หน่อยนะครับ เสร็จธุระผมจะรีบมาขยับออกให้ อันนี้เบอร์ผมนะครับ ถ้ามีอะไรโทรเรียกผมได้เลยครับ”
 
 หลังเคลียร์เรื่องที่จอดและทิ้งเบอร์ติดต่อไว้เรียบร้อย ขายาวก็รีบสาวกลับไปหน้าปากซอย โบกมือเรียกวินมอเตอร์ไซค์ก่อนจะบอกจุดหมายปลายทางแล้วก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายแบบไม่ลังเล
 
 
 
 
 
 “หมอเดียร์! ตายแล้ว ทำไมสภาพเป็นแบบนั้นละคะ”
 
 ทีมงานเอ่ยทักแทบจะในทันทีที่ผมมาถึงหลังเวที ผมเองก็ไม่ทันได้เช็กสภาพตัวเองว่าเป็นอย่างไร แค่มาให้ทันเวลางานก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ถึงจะเปิดประสบการณ์ใหม่ในการนั่งวินที่เร็วแรงทะลุนรกยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่องโปรดของเบลล์ก็เถอะ แต่ก็ต้องขอบคุณความสามารถของพี่วินคนนั้นที่พาผมฝ่าทุกช่องแคบระหว่างรถจนผมมาถึงก่อนเวลางานได้สำเร็จ
 
 “แล้วสูทละคะ หมอจะเปลี่ยนเลยไหม”
 
 สูทงั้นหรือ?
 
 ตายล่ะ ผมรีบจนลืมว่าต้องเอาสูทที่ทีมงานส่งไปให้มาด้วย อุตส่าห์แขวนไว้ในรถ เตรียมการอย่างดีว่าไม่ลืมแน่ ๆ สุดท้ายก็ลืมหยิบมาจนได้
 
 “เอ่อ ขอโทษครับ ผมลืมหยิบออกมาจากรถ”
 
 ทีมงานหน้าตาตื่นหลังจากผมเอ่ยออกไป ก่อนที่ปัญหาจะถูกส่งต่อไปยังทีมงานคนอื่น ๆ ผ่านทางวิทยุสื่อสาร เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไข
 
 ความจริงแล้วชุดผมไม่ได้จัดว่าแย่ เพราะเมื่อช่วงเช้าผมมีบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัย เพียงแต่สีมันอาจจะไม่เข้ากับงานที่จัดในโทนสีลูกกวาดน่ารัก รู้แบบนี้เปลี่ยนชุดมาตั้งแต่สอนเสร็จเลยดีกว่า พอสำรวจตัวเองดี ๆ ก็รู้สึกปลงกับความคิดตัวเองเมื่อครู่ เพราะพบความจริงที่ว่าต่อให้เปลี่ยนชุดมาเลย สุดท้ายก็คงต้องมีจุดจบเดิมอยู่ดีคือ หาชุดเปลี่ยนใหม่ ดูจากรอยเปื้อนฝุ่นหรืออะไรสักอย่างของกางเกงตรงบริเวณหัวเข่าแล้ว บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าการเดินทางครั้งนี้ ผมผ่านมาหลายช่องแคบเหลือเกิน ต่อให้จะเป็นชุดใหม่หรือชุดเก่าก็คงไม่รอด
 
 “ขอโทษนะครับ พอดีผมมีร้านประจำอยู่ที่นี้ น่าจะพอหาชุดสูทให้หมอทันนะครับ”
 
 คุณชัดที่ไม่แน่ใจว่ามาจากไหนเข้ามาในวงสนทนาปัญหาเรื่องชุดของผมกับทีมงาน และเหมือนที่เกิดขึ้นกับผมแทบจะทุกครั้งคือ ผมไม่ทันได้ตอบอะไร ทีมงานก็หนุนหลังผมให้เดินตามคุณชัดไปด้วยสีหน้าปลื้มปีติ
 
 “ไปครับหมอ ดูจากเวลาน่าจะทัน ถ้าเรารีบหน่อย”
 
 สามสิบนาทีเนี่ยนะ แต่เอาเถอะ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้แล้ว ไม่ทันก็ต้องทัน
 
 ว่าแต่ทำไมต้องจูงมือผมด้วยล่ะ ขาผมไม่ได้สั้นขนาดจะเดินตามคุณไม่ทันหรอกนะครับคุณชัด
 
 
 
 “อ้าว คุณชัด สวัสดีครับ มาตัดสูทเพิ่มหรือครับ หรือมารับชุดที่ตัดไว้ เหมียวเช็กให้คุณชัดหน่อย ว่าสูทเมื่อวานก่อนเสร็จเรียบร้อยดีหรือยัง” คนที่ดูเป็นเจ้าของร้านเอ่ยทักทายคุณชัดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
 
 “เปล่าหรอกครับ พอดีผมมีเรื่องจะรบกวนคุณวุฒิให้ช่วยหน่อยครับ” คุณชัดตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีเสียงหอบสักนิดทั้ง ๆ ที่แทบจะเรียกว่าเหมือนเราวิ่งมาที่ร้าน ผิดกับผมที่หายใจเข้าออกแรงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
 
 “ด้วยความยินดีเลยครับ ว่าแต่คุณชัดจะให้ผมช่วยอะไรครับ” คุณชัดดึงมือที่จับผมมาตลอดทางให้ผมเดินขึ้นมายืนข้างกัน
 
 “ช่วยหาสูทที่เข้ากับคุณหมอให้หน่อยครับ ขอเร็วที่สุด เอ่อ…ขอโทนสีอ่อนนะครับ”
 
 จบประโยคผมก็ถูกพาไปโซนห้องลองชุด และไม่นานสูทสีฟ้าอ่อนพร้อมเสื้อด้านในสีขาวสะอาดตาก็ถูกนำมาให้ ผมถูก
 จับแต่งตัวราวกับเป็นตุ๊กตา ทำได้แค่หมุนและบิดตัวตามคำบอกของคุณวุฒิเจ้าของร้านตามที่เจ้าตัวแนะนำอย่างรวดเร็วตอนเดินนำไปห้องลองชุดเท่านั้น ความเป็นมืออาชีพและความชำนาญของคุณวุฒิทำให้ทุกอย่างไวอย่างไม่น่าเชื่อ และที่น่าประทับใจคือสูทพอดีกับผมแบบที่ไม่ต้องเปลี่ยนไซซ์ให้เสียเวลา
 
 เมื่อถูกจับแต่งตัวเสร็จผมก็ถูกพาออกมาหน้าร้านอีกครั้ง คุณชัดนั่งรออยู่ที่โซฟารับรอง
 
 “ขอบคุณคุณวุฒิมากนะครับ ยังไงลงบิลรวมกับสูทตัดรอบก่อนได้เลยนะครับ”
 
 คุณชัดลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาคว้าข้อมือผมเตรียมออกจากร้านกลับไปยังโซนจัดงาน ถ้าไม่ติดว่าข้อมืออีกข้างผมโดนรั้งไว้ด้วยมือคุณเจ้าของร้านที่จับผมแต่งตัวอยู่เมื่อสักครู่
 
 “เดี๋ยวครับคุณชัด ไหน ๆ ก็ใส่สูทร้านวุฒิเสียเต็มยศขนาดนี้ ขอจัดองค์ประกอบให้ส่งเสริมกันสักหน่อยนะครับ ปล่อยไปแบบนี้มันค้างคาใจ”
 
 ผมไม่มั่นใจนักในเรื่องที่คุณวุฒิเอ่ยว่าหมายถืงอะไร แต่เมื่อคุณวุฒิเห็นคุณชัดยิ้มรับ ผมก็ถูกพามานั่งที่โซฟารับรองพร้อมกับพนักงานชายหญิงที่มารุมล้อมจัดการนู่นนี่ให้ผมอีกรอบด้วยความรวดเร็ว
 
 ทั้งทรงผม ใบหน้า ริมฝีปาก ผมถูกจัดแต่งแต้มด้วยบุคลากรของร้านหลายอัตรา ที่มาพร้อมอาวุธครบมือจนผมเองก็สงสัยว่าทำไมมีของพวกนี้ในร้านขายสูทได้ เมื่อรองเท้าคู่เก่งของผมถูกเปลี่ยนเป็นรองเท้าหนังสีอ่อนเข้าโทนกับสีชุดก็ถือเป็นอันเสร็จพิธีกรรมบูชายัญครั้งนี้
 
 “คุณหมอหล่อมาก รู้ตัวไหมครับ” คุณชัดเอ่ยชม เมื่อผมถูกพามาส่งให้ถึงมืออีกครั้ง ก่อนคุณชัดจะเอ่ยขอบคุณคุณวุฒิแล้วรีบพาทั้งผมและเขากลับไปยังงาน
 
 
 
 วันนี้ผมคิดว่าผมคงค่อนข้างเบลอนิดหน่อย จากตารางชีวิต รวมถึงการถูกส่งตัวจากคนนั้นไปคนนี้ ถูกจูงโดยคนนี้และคนนั้น ทำให้ผมไม่ทันได้คิดปฏิเสธการเดินจูงมือไปกลับของคุณชัด จนกระทั่งโดนเอ่ยทักเมื่อเราเดินกลับมาถึงหลังเวทีอีกครั้ง
 
 “เดียร์เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมคุณชัดต้องพาเดินมาแบบนั้น”
 
 คุณแฟรงค์เดินเข้ามาทัก และนั่นก็เพิ่งทำให้ผม อันที่จริงน่าจะคุณชัดด้วยที่เพิ่งสังเกตว่าเราจับมือกันอยู่ พอรู้ตัวจึงรีบปล่อยออกจากกันแบบอัตโนมัติ
 
 “เอ่อ…เปล่าครับ” ผมตอบไปตามจริง คุณชัดเดินแยกออกไปนั่งใกล้กับผู้จัดการของคุณใบพลู
 
 “งั้นไปนั่งรอก่อนไหม ใกล้ถึงคิวขึ้นเวทีแล้ว” คุณแฟรงค์ขยับมายืนคู่กับผมแล้วโอบไหล่อย่างเมื่อก่อนที่เขาชอบทำเสมอ
 
 มีเสียงกรี๊ดแว่วขึ้นมาจากกลุ่มคนที่มารายล้อมด้านหลังเวทีเล็กน้อย เมื่อมือหนาวางบนไหล่ผม พอมองไปรอบ ๆ ผมเองก็เพิ่งสังเกตจริง ๆ ว่ามีคนมารอเยอะมากแล้ว อาจจะเป็นเพราะมัวแต่รีบร้อนก่อนหน้านี้จนไม่ทันได้สังเกต หลายคนยกกล้อง ไม่ก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศงานและดาราศิลปินที่ชื่นชอบ และถ้าผมไม่ได้คิดไปเองเกินไปนักผมว่ามีกล้องหลายตัวที่หันโฟกัสมาทางผมและคุณแฟรงค์ รวมถึงสื่อมวลชนบางสำนัก
 
 “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” ผมเบี่ยงตัวออกจากการโอบไหล่การตลาดนี้ และเหมือนโชคช่วยทีมงานรันคิวเอ่ยเรียกขึ้นเวทีพอดี
 
 แต่วันนี้คงไม่ใช่วันของผม เพราะกลายเป็นว่าผมต้องมานั่งติดกับคุณแฟรงค์อีกครั้งบนเวที ความจริงผมก็พอจะเดาได้จากรายการซีซั่นก่อน ๆ ว่ามันมีกระแสอะไรระหว่างผมกับคุณแฟรงค์ การที่จะขายโมเมนต์เลี้ยงกระแสแม้จะไม่ได้เป็นดาราศิลปินกันทั้งคู่แต่ก็ยังมีเรื่องให้ดึงคนมาดูรายการได้บ้างไม่มากก็น้อย
 
 มันคือกลไกการตลาดแบบที่เราพบเจอกันเสมอ
 
 
 
 งานดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน พิธีกรและทีมงานดำเนินงานได้ราบรื่นเป็นไปตามตารางเวลาและสคริปต์ที่วางไว้
 
 “ว่าแต่ซีซั่นนี้ คุณหมอเดียร์คงหนักใจน่าดูนะครับ” พิธีกรหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขี้เล่น
 
 “ครับ?”
 
 “อ้าว คุณหมอไม่ได้ตามเทรนชาวโซเชียลหรือครับ หลังจากปล่อยตัวอย่างรายการไป เรือคุณหมอแล่นในน่านน้ำหลายลำเลยนะครับ” เสียงกรี๊ดดังขึ้นหลังจบประโยค
 
 “เอ่อ…ไม่ได้ตามเลยครับ”
 
 ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้กลับไป เพราะผมไม่ได้ตามข่าวหรือเทรนอะไรนั่นจริง ๆ แต่พอได้ยินคำว่าเรือ บวกกับป้ายกระดาษอันน้อย ๆ สามสี่อันท่ามกลางป้ายไฟชื่อดารานักแสดงท่านอื่น ๆ ก็พอจะเดาได้ เพียงแต่ผมมองไม่ชัดว่าเป็นชื่อใครบ้างที่โดนมาจับคู่กับผม
 
 “ช่วงนี้งานเดียร์เขาหนักนะครับ อย่าว่าแต่ตามข่าวเลย ตามตัวยังแทบไม่ได้เลยครับ” คุณแฟรงค์เอ่ยเสริมขึ้น ซึ่งก็เรียกเสียงกรี๊ดได้อีกรอบ
 
 “แหม รู้เยอะไปหมดคน ๆ นี้” พิธีกรรับต่ออย่างเป็นงาน
 
 “ก็ต้องรู้เยอะให้สมกับเป็นเรือหลักของคุณหมอจริงไหมครับ” เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกระลอก
 
 “จะเป็นแค่เรือหรือคะคุณแฟรงค์ นี่ซีซั่น 3 แล้วนะคะ พายนานจัง” คุณใบพลูที่นั่งถัดจากคุณชัดที่เก้าอี้แถวหน้าหันมาเอ่ยแซว ทุกคนในงานหัวเราะสนุกสนานกับคำพูดน่ารักขี้เล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
 
 “จะเป็นแค่เรือไหม อันนี้สงสัยต้องถามเดียร์เขาครับ อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่เขา” คราวนี้เสียงกรี๊ดดังจนก้องลานห้างที่จัดงานไปทั่วบริเวณและยาวนานกว่าทุกครั้ง ผมเห็นเด็กผู้หญิงบางคนหยิบตุ๊กตาพวงกุญแจขึ้นมากัดด้วย
 
 “หมอเดียร์ว่ายังไงครับ” พิธีกรหันกลับมาถามผม
 
 “เอ่อ…” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะใจเต้นกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว กลับกันมันกับทำให้ผมอึดอัดและทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า ผมไม่ถนัดการออกงานแบบนี้เท่าไหร่ยิ่งวางตัวไม่ถูกไปกันใหญ่
 
 “อย่ารีบให้คุณหมอตัดสินใจเลยครับ ไหนว่ามีเรือหลายลำ ให้ลำอื่นเขาได้ลองพายก่อนดีไหมครับ” เป็นคุณชัดที่ตอบแทรกขึ้นมา เกิดความเงียบชั่วครู่ก่อนที่เสียงกรี๊ดจะดังขึ้นอีกครั้ง
 
 
 
 หลังช่วงสัมภาษณ์บนเวทีเสร็จ ผมจึงขอตัวกลับก่อน เนื่องจากต้องไปรับเบลล์น้องสาวผมที่สนามบินต่อ
 
 “เดียร์ ไม่อยู่ถ่ายรูปรวมหรือ เดี๋ยวมีช่วงขอบคุณสปอนเซอร์บนเวทีอีกนะ ผมอยากให้เดียร์ขึ้นไปด้วยกัน” คุณแฟรงค์เข้ามาถาม เมื่อผมเอ่ยขอบคุณ ขอโทษ และลาทีมงานหลังเวที
 
 “เอ่อ…ผมมีธุระต่อน่ะครับอยู่จนจบงานไม่ได้ ขอตัวนะครับ” ผมรีบเดินเลี่ยงออกมาพร้อมทีมงานหนึ่งคนที่พาผมเดินแหวกฝูงชนมาส่งนอกวงล้อม
 
 “ขอบคุณนะครับ ยังไงก็ขอโทษทุกคนอีกครั้งนะครับที่อยู่จนจบงานไม่ได้” ผมเอ่ยขอโทษอีกครั้ง เธอยิ้มรับแล้วเดินฝ่าฝูงชนกลับเข้าไปหลังเวที
 
 
 
 “คุณหมอ กลับยังไงครับ” ผมที่เพิ่งหันหลังเดินแยกกับทีมงานเมื่อกี้หันกลับไปอีกรอบเมื่อถูกเอ่ยเรียก
 
 “คุณชัด”
 
 “เอาเป็นว่า เราไปจากตรงนี้ก่อนแล้วกันครับ” คุณชัดจูงมือผมเดินไปทางทางออกที่เชื่อมไปยังลานจอดรถ เพราะเรายังอยู่ใกล้บริเวณจัดงานทำให้การทักทายเมื่อครู่เริ่มมีคนหันมาสนใจบ้างแล้ว
 
 
 
 “กลับด้วยกันไหมครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” คุณชัดถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเราเดินห่างออกมาจากพื้นที่จัดงานพอสมควร
 
 “ผมต้องไปรับน้องสาวน่ะครับ นี่ก็น่าจะโทรตามแล้ว” มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก็พบว่าเลยเวลาลงเครื่องของเบลล์มานิดหน่อยแล้ว ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาน้องสาว
 
 แต่…
 
 “หาอะไรครับหมอ” คุณชัดหยุดเดิน หันกลับมาถามผมที่หยุดยืนคลำหาของเสียดื้อ ๆ
 
 “โทรศัพท์น่ะครับ”
 
 “ให้ผมโทรเข้าให้ไหม”
 
 ผมพยักหน้าตอบรับ หลังจากคุณชัดกดโทรออก ไม่มีเสียงเรียกเข้าหรือการสั่นบ่งบอกว่าโทรศัพท์อยู่กับผมเลยสักนิด และรอสายอีกพักใหญ่ก็ยังไม่มีคนรับสาย
 
 “หรือว่าอยู่ที่ร้านสูทคุณวุฒิครับ” ผมพูดสิ่งที่คิดออก ณ ตอนนั้น กำลังจะกลับหลังหันเดินไปที่ร้านสูท คุณชัดก็รั้งข้อมือผมไว้เสียก่อน
 
 “เดี๋ยวผมโทรเช็กให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินมา”
 
 หลังจากคุณชัดโทรเช็กกับทางร้านคุณวุฒิให้แล้ว ก็พบว่าโทรศัพท์ผมไม่ได้ตกหล่นอยู่ที่ร้าน คราวนี้ถึงเวลาเครียดกับปัญหาใหม่จริง ๆ แล้ว
 
 โทรศัพท์ผมถ้าไม่หายก็คงลืมไว้ในรถเช่นเดียวกับสูท ในขณะเดียวกันน้องสาวผมก็รออยู่ที่สนามบิน โดยที่ไม่สามารถติดต่อผมได้
 
 “หมอ อย่าทำหน้าแบบนั้น ไปกับผมก่อน แล้วค่อยว่ากัน” คุณชัดจูงมือผมให้เดินตามเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วผมก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ผมมึนไปหมด
 
 เหมือนว่าการนอนน้อยที่สะสมกันมาหลายวันมันมาแสดงผลเอาวันนี้วันเดียว ระบบการประมวลผล การแก้ปัญหา หรือการจัดการตัวเองในสถานการณ์ต่าง ๆ ผมรวนไปหมด ภายในหัวผมยุ่งเหยิงแต่กลับว่างเปล่าคิดไม่ตกสักเรื่อง
 
 “หมอจะไปรับน้องสาวที่ไหนครับ”
 
 คุณชัดเรียกสติผมกลับคืนมา และผมเพิ่งค้นพบว่าผมเข้ามานั่งในรถคุณชัดเรียบร้อยแล้วโดยมาลุงโชคเป็นสารถีเช่นเดิม
 
 “เอ่อ…สนามบินดอนเมืองครับ”
 
 “ลุงโชค ไปดอนเมืองนะครับ”
 
 ผมยังเรียบเรียงสถานการณ์ไม่ถูก แล้วนี่คือคุณชัดจะไปรับเบลล์กับผมอย่างนั้นหรือ
 
 “หมอ โทรหาน้องสาวก่อนดีไหม” โทรศัพท์คุณชัดถูกยื่นมาให้จากมือเจ้าของเครื่อง
 
 “ขอบคุณครับ”
 
 ผมรับมากดเบอร์โทรหาน้องสาว และเป็นแบบที่คิด เบลล์ติดต่อผมไม่ได้อยู่หลายสาย แต่โชคดีที่ผมบอกน้องไว้แล้วว่าผมมีงานแทรกอาจจะมารับช้าหน่อย น้องจึงเลือกรอผมอยู่ที่สนามบินก่อนจนกว่าผมจะติดต่อกลับ เมื่อนัดที่เจอกันเสร็จจึงส่งโทรศัพท์คืนให้คุณชัดไป
 
 “เดี๋ยวผมลงข้างหน้าก็ได้ครับ คุณชัดไม่ต้องไปส่งถึงดอนเมืองหรอกครับ”
 
 “มาถึงนี้แล้ว อีกไม่กี่แยกก็ถึงแล้วหมอ” คุณชัดเอนหลังพิงเบาะหยิบขวดน้ำดื่มขวดเล็กใหม่เอี่ยมที่วางเสียบไว้ข้างประตูรถส่งมาให้
 
 “ขอบคุณครับ แล้วนี่คุณชัดไม่อยู่ช่วงขอบคุณสปอนเซอร์หรือครับ”
 
 “ติดธุระเหมือนคุณหมอแหละครับ อีกอย่างพี่สาวผมเขาขึ้นแทนน่ะครับ นี่หมอไม่เห็นน้องชมพูหรอครับ เขานั่งตักแม่เขาติดหน้าเวทีเลยนะ”
 
 ผมพยายามนึกภาพบรรยากาศหน้าเวที แต่อาจจะด้วยความตื่นเต้น นอนน้อย หรืออะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมเห็นคนที่รู้จักหน้าเวทีหรือเปล่า นึกออกแต่กลุ่มผู้คนที่มาล้อมคอยตามเชียร์ศิลปินและคนที่ชื่นชอบที่อยู่ถัดออกไปจากโซนหน้าเวทีที่เป็นแขกและสื่อที่ถูกเชิญมา
 
 “แล้วคุณชัดจะไปธุระของคุณชัดทันหรือครับ มาส่งผมแบบนี้” ในเมื่อคิดไม่ออกก็เปลี่ยนเรื่องเลยแล้วกัน
 
 “ทันสิครับ ก็ทำอยู่”
 
 “อะไรนะครับ”
 
 “ทันครับ ธุระผมไม่รีบเท่าคุณหมอหรอกครับ”
 
 พอได้สนิทกันมากขึ้นผมถึงรู้ว่าคุณชัดมักจะมีมุมยียวนแบบนี้หลุดออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ถึงส่วนใหญ่จะดูเป็นคนใจดี ออกไปทางนิ่ง ๆ ตามมาดนักธุรกิจก็เถอะ เวลาเจอมุมนี้มันก็อดจะหมั่นไส้สีหน้าและน้ำเสียงเสียไม่ได้ ถึงจะรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังช่วยผมอยู่ก็ตาม
 
 ถ้าไม่รีบแล้วทำไมไม่อยู่ให้จบงานล่ะ
 
 “หมอ หมอรู้ไหมว่าจริง ๆ หมอเป็นคนเก็บความลับไม่อยู่” ผมหันไปมองคนพูดด้วยความสงสัย
 
 นี่นอกจากเป็นนักธุรกิจแล้วยังเป็นหมอเดาด้วยหรือ
 
 “ก็หน้าหมอมันชอบแสดงความจริงออกมาไงครับ เนี่ยอย่างเมื่อกี้ กำลังบ่นผมในใจแน่ ๆ ”
 
 เป็นหมอเดาที่เดาแม่นเสียด้วย
 
 “ถึงกับถอนหายใจเลยหรือหมอ” หมอเดาหัวเราะออกมา
 
 “แล้วมีคนบอกคุณชัดไหมครับ ว่าจริง ๆ แล้วคุณชัดเป็นคนกวน ไม่ได้เป็นหนุ่มหล่อมาดนิ่งอย่างที่ใครเขาเข้าใจ”
 
 “มีแล้วครับ ก็พี่สาวผมไง” ผมถอนหายใจอีกครั้งกับความกวนของคุณชัด จะมีครั้งไหนบ้างที่ผมจะเถียงชนะใครเขาบ้างสักที
 
 “แต่ว่านะ เรื่องหล่อเนี่ยผมว่าทุกคนเข้าใจถูกแล้วนะครับ หรือคุณหมอว่าไม่จริง” คู่สนทนาของผมที่เพิ่งชมตัวเองไปหยก ๆ หันมาส่งยิ้มการค้าที่เห็นได้บ่อย ๆ ตามหน้าข่าวบันเทิง
 
 มันก็เถียงยาก เพราะความจริงที่ผมปฏิเสธไม่ได้เลยคือ คุณชัดเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาแบบที่สาว ๆ และคนส่วนใหญ่ต้องนิยมชมชอบแน่ ๆ แล้วยังพ่วงคุณสมบัติทั้งเรื่องบุคลิก การพูด หน้าที่การงาน และฐานะการเงินเข้าไปอีก เจอร้อยคนผมว่าหลงคุณชัดไปแล้วเสียเก้าสิบ
 
 “หมอไม่ตอบแบบนี้ผมเสียความมั่นใจนะครับเนี่ย” คุณพูดทำหน้าตาหดหู่ได้ปลอมที่สุดเท่าที่ผมเลยเห็นมา
 
 “ลุงโชคเจอแบบนี้ทุกวันเหนื่อยไหมครับเนี่ย” ผมตัดบทคนเศร้าแล้วหันไปถามลุงโชคแทน
 
 “ไม่เหนื่อยหรอกครับ ชินแล้ว” ผมกับลุงโชคหัวเราะพร้อมกันอย่างลืมตัวไปเลยว่าคนที่กำลังพูดถึงก็นั่งอยู่ในรถด้วย
 
 “หมอเดียร์”
 
 “หล่อครับหล่อ พอใจหรือยังครับ คุณชัดเจน” ผมหันไปตอบคำถามคุณชัดในที่สุด เพราะเกรงว่าแกล้งกลับนาน ๆ จะโดนโกรธขึ้นมาจริง ๆ คนรอคำตอบยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจราวกับเด็กเล็ก ๆ
 
 มีลักยิ้มด้วยนี่นา
 
 “แล้วหล่อพอให้ชอบหรือเปล่าครับ”
 
 “ผมว่าพอนะ วันนี้เห็นมีหนุ่ม ๆ สาว ๆ ถือป้ายไฟคุณชัดด้วย”
 
 “ผมหมายถึงหมอต่างหาก”
 
 “ครับ?”
 
 “หล่อพอให้หมอชอบหรือเปล่า”